Skip to content

Lord of the Mysteries 1165

Lord of the mysteries

ตอนที่ 1,165 : ขุนพลสุดหรู

ขณะอามุนด์เปิดปากพูด วังวนกระแสน้ำขนาดใหญ่โผล่ขึ้นด้านหลัง หนวดรยางค์ล่องหนที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับพยายามโอบกอดด้ายวิญญาณแต่ละเส้นของอามุนด์

เพียงพริบตา กลุ่มก้อนด้ายมายาสีดำลอยขึ้นโดยไม่มีการขัดขืน

ส่งผลให้สัตว์ประหลาดพิสดารจำนวนหนึ่งลอยขึ้นไปแขวนในอากาศเหมือนแฮมตากแห้ง

ด้ายวิญญาณที่อยู่รอบอามุนด์เกือบทั้งหมด คือสิ่งที่มันขโมยมาได้สักพักแล้ว!

ขณะซาราธลงมือโจมตี หนวดรยางค์ที่ลื่นเหนียวได้เหยียดเข้าไปในอากาศว่างเปล่า พยายามดึงบางสิ่งออกมา

ผ่านไปสองสามหน ร่างหนึ่งถูกวาดอย่างรวดเร็ว

ผมยาวสีเกาลัดหยักศกตอนปลาย ดวงตาสีฟ้า จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง หนวดชายชาตรีที่ถูกตัดแต่งอย่างงดงามสองข้าง แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีแดงเข้มปักด้ายสีทอง ไม่ใช่ใครนอกจากอดีตจักรพรรดิแห่งอินทิส โรซายล์กุสตาฟ

ทันทีที่จักรพรรดิแห่งความรู้ย่างกรายเข้าสู่โลกความจริง มันจ้องลงไปทางอามุนด์ร่างยักษ์ ทันใดนั้น ดวงตาโรซายล์พลันควบแน่นไปด้วยอักขระมายาที่ดูซับซ้อน

มันมิได้กังวลว่าจะถูกอามุนด์ขโมยการโจมตี เพราะสิ่งที่โรซายล์เตรียมไว้คือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ จำนวนมหาศาลที่ทั้งมีและไม่มีประโยชน์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการฉีดเข้าไปโดยตรงหรือถูกอามุนด์ขโมยไป พวกมันก็จะยังทำหน้าที่ระเบิดสมองอีกฝ่ายตามเดิม

ขณะภาพฉายของโรซายล์คมชัด อีกร่างหนึ่งโผล่ขึ้นข้างซาราธในร่างหนอนโปร่งใส

ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผมยาวสลวยที่กว่าครึ่งเป็นสีขาว กำลังสะบัดพลิ้วท่ามกลางความมืดมิดในอากาศ ครึ่งหนึ่งถูกบดบัง แต่อีกครึ่งหนึ่งยังเห็นได้ชัดเจน

นี่คือเทวทูตนิรนามที่ไคลน์ไม่รู้จัก ดูคล้ายเพศชาย ดวงตามืดมนและเต็มไปด้วยประสบการณ์ ใบหน้าค่อนข้างดูดี แต่มีขนสั้นดกหนาสีดำอยู่สองข้างแก้ม มอบความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรง ดูเยาว์วัยแต่แก่ชรา บ้าคลั่งแต่มีเหตุมีผล

มันแปลงร่างเป็นกลุ่มหนอนดีดดิ้นทันที พลางเหยียดหนวดโปร่งใสและมันลื่นคล้ายกับซาราธออกมา

เห็นได้ชัดว่าเป็นอีกหนึ่งเทวทูตจากเส้นทางนักทำนาย

ปัจจุบันไคลน์ไม่กล้าแม้แต่จะแหงนมองสถานการณ์ด้านบนท้องฟ้า แต่เนื่องจากสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น มันเริ่มเกิดความคุ้นเคยบางอย่าง

เทวทูตตนที่สองซึ่งซาราธอัญเชิญออกมา ไม่ใช่ใครนอกจากต้นตระกูลอันทีโกนัส บุตรแห่งเทพบรรพกาล!

ภาพฉายทางประวัติศาสตร์นี้คือสมัยที่มันยังไม่กลายเป็น ‘ฮาล์ฟฟูล’

เห็นได้ชัดว่าซาราธเตรียมการมาเป็นอย่างดี

ทันทีที่อันทีโกนัสเผยร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง ความมืดทวีความเข้มข้น ราวกับมันมีชีวิตชีวาและพรั่งพรูไปทางอามุนด์ร่างยักษ์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำทรงโบราณ หมวกปลายแหลม และสวมแว่นตาขาเดียว

ท่ามกลางความมืดมิด สัตว์ประหลาดทั้งหมดกลายเป็นหุ่นเชิดทันที

คล้ายกับอันทีโกนัสย้ายส่วนหนึ่งของอาณาจักรทวยเทพในความทรงจำมายังโลกแห่งความจริง ส่งผลให้ไคลน์กับอามุนด์แยกออกจากกัน

นี่ก็เป็นปาฏิหาริย์เช่นกัน

หลังจากปาฏิหาริย์ถือกำเนิด หนวดโปร่งใสของซาราธทำการดึงบางสิ่งออกมาจากช่องว่างประวัติศาสตร์เป็นครั้งที่สาม

คราวนี้เป็นอัศวินในชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึก ครึ่งเทพแห่งอาณาจักรโซโลมอนจากยุคสมัยที่สี่ มันมิได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์มากนัก

อย่างไรก็ตาม มันยังมีอีกหนึ่งตัวตน นั่นคือสมาชิกของกองทัพ ‘สีชาดแห่งสงคราม’ และผู้นำของกองทัพนี้คือราชาเทวทูตเมดีซี

ภายในกองทัพ สมาชิกทุกคนจะเชื่อมต่อกับจิตใจเมดีซีโดยตรง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมดีซีสามารถรวบรวมพลังและส่งต่อให้กับมัน และสมาชิกก็สามารถส่งพลังไปรวมไว้ยังจุดใดจุดหนึ่ง

พลังของปราชญ์โบราณไม่สามารถอัญเชิญสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ออกมาได้ ต่อให้มีลำดับเพิ่มขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพก็ตาม นี่คือกฎเหล็กที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน อย่างไรก็ตามบรรดานักทำนายมักสรรหาวิธีแหกกฎและเอาชนะข้อจำกัดได้เสมอ จนกระทั่งค้นพบวิธีได้รับความช่วยเหลือบางส่วนจากเอกลักษณ์ของเส้นทาง

ไคลน์เคยแหกกฎโดยการอัญเชิญภาชนะของเทพธิดา ส่วนซาราธก็ทำโดยการอัญเชิญยอดขุนพลของกองทัพสีชาดแห่งสงคราม

ในวินาทีนี้ภาพฉายดังกล่าวมีค่าเท่ากับส่วนหนึ่งของเมดีซี!

อัศวินในชุดเกราะสีดำย่างกรายเข้าสู่สนามรบ ชำเลืองไปรอบตัวอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ

“ว่าไง…อีกาน้อย เส้นผมที่ไหม้เกรียมงอกขึ้นมาใหม่แล้วหรือ”

เนื่องจากภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของไคลน์ทำการอัญเชิญตัวตนระดับเทวทูตออกมาเพิ่มอีกสามภาพ พลังวิญญาณที่ใช้ในการคงสภาพจึงเพิ่มขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ไคลน์เชื่อว่าตนไม่น่าจะคงภาพไว้ได้นานเกินสิบวินาที

หากไม่ใช่เพราะมีข้อจำกัดด้านพลังวิญญาณ ไคลน์เชื่อว่าตนสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยการอัญเชิญเทวทูตสองตนออกมาพร้อมกับภาพฉายของตัวเองในอดีต จากนั้นก็ใช้ตัวเองในอดีตอัญเชิญตัวเองในอดีตออกมาเพิ่มพร้อมกับเทวทูตอีกสอง เมื่อทำซ้ำไปเรื่อยๆ ก็จะได้กองทัพภาพฉายที่ใกล้เคียงกับอนันต์

ทันใดนั้นอาเรียนน่า ผู้นำนักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล เลือนหายไปกับความมืดและเข้าสู่ภาวะถูกปกปิด จากนั้นก็โผล่ขึ้นอีกครั้งด้านหลังอามุนด์ยักษ์และฟันดาบกระดูกที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายพิสดาร

ไคลน์อาศัยจังหวะที่อามุนด์ถูกล้อมโจมตีด้วยฝีมือภาพฉายเทวทูตทั้งห้า แอบเปลี่ยนสัตว์ประหลาดให้กลายเป็นหุ่นเชิดของตนและบังคับให้เล็งโจมตีมายังร่างหลัก ตามด้วยการเปิดปากและส่งเสียง ‘ปัง’

ห่าฝนกระสุนปืนใหญ่ส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้ามาหาไคลน์อย่างเกรี้ยวกราด

ขณะเดียวกันไคลน์ยื่นมือออกไปและหยิบยันต์เพลิงสุริยันที่ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปแล้วและพร้อมใช้งาน

มันไม่เชื่อว่าภายใต้ชุดการโจมตีระดับนี้ ตนจะยังมีชีวิตรอด

ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ดังสนั่น ชายหนุ่มได้ยินเสียง ‘ติ๊ก’

คล้ายกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกลับเป็นปกติ

ไคลน์แหงนขึ้นไปเห็นหลุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้าที่มืดสนิท แสงแดดที่ร้อนระอุส่องผ่านเข้ามาและจุดประกายยันต์ทองคำ

ยันต์เพลิงสุริยัน แผ่นยันต์แปรสภาพเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเปลวไฟนับไม่ถ้วน

ทว่าเป้าหมายของการโจมตีกลับไม่ใช่ไคลน์ มันเกิดข้อผิดพลาดและโจมตีใส่ครึ่งเทพของกองทัพสีชาดแห่งสงครามแทน

ขณะเดียวกันทั้งมวลความรู้จำนวนมหาศาลที่โรซายล์กุสตาฟอัดฉีด ปาฏิหาริย์ที่สร้างโดยอันทีโกนัส ดาบแห่งการทำลายล้างที่อาเรียนน่ากวัดแกว่ง และหนวดรยางค์ล่องหนที่ยื่นออกจากตัวซาราธ ทั้งหมดกำลังโจมตีใส่เป้าหมายเดียวกัน แต่เป็นเป้าหมายที่ผิด ลูกน้องของเมดีซีในชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีดำ

ภาพฉายที่แฝงเจตจำนงบางส่วนของเมดีซีเผชิญการระเบิดทางจิต แม้แต่การตอบสนองทางสัญชาตญาณก็ดูเหมือนจะเลือนหายไป จากนั้นก็ถูกกระหน่ำโจมตีอย่างหนักจนกระทั่งสลายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

อามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมจอมเวทโบราณ กลับคืนขนาดปกติตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ปัจจุบันกำลังร่อนลงไปยังส่วนล่างของสนามรบ

มันยกมือขวาขึ้นเพื่อขยับกรอบแว่น จากนั้นก็มีลำแสงส่องสว่าง

ด้านหลังอามุนด์ ภาพมายาของนาฬิกาโบราณปรากฎขึ้นอีกครั้ง เข็มวินาทีซึ่งยาวที่สุด หมุนเป็นครึ่งวงกลมด้วยความเร็วมากกว่าปกติ

ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่เหตุการณ์บนทุ่งกว้างอันรกร้างกลับสูญเสียเวลาไปกว่ายี่สิบวินาที

ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของอันทีโกนัสหายไป ตามต่อด้วยภาพฉายของโรซายล์ สุดท้ายเป็นภาพฉายของซาราธและอาเรียนน่า

ระยะเวลาที่พวกมันสามารถคงสภาพไว้ได้ ถูกขโมยไปในพริบตา

ไคลน์ซึ่งกำลังจะฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สาม ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

มันคำนวณไว้แล้วว่าอามุนด์คงจัดการกับภาพฉายของเทวทูตห้าตนไหว เพราะพวกมันเป็นภาพฉายที่อ่อนแอกว่าร่างต้นพอสมควร แต่ไคลน์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้อย่างง่ายดายจนตนไม่มีเวลาแม้แต่จะฆ่าตัวตาย

มันยอมสละไพ่ตายเพื่อแลกกับผลลัพธ์อันน่าอดสู ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหดหู่และสิ้นหวัง

อามุนด์ขยับกรอบแว่น ขโมยระยะทางและก้าวมายืนตรงหน้าไคลน์พลางยิ้ม

“หากทั้งหมดเป็นร่างจริง ข้าคงลำบากกว่านี้มาก…แต่ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวง และการมองหาข้อบกพร่องก็เป็นงานถนัดของข้า”

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่แปรเปลี่ยนของเทวทูตกาลเวลา ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ จิตใจไคลน์ค่อยๆ ดำดิ่งประหนึ่งจมลงไปในห้วงลึก

สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น ฉากแล้วฉากเล่าสว่างวาบในใจ:

หลังจากเข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง อามุนด์ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้า จากเสื้อนอกสีเข้ม กางเกงขนสัตว์และหมวกทรงสูงสีดำตามสมัยนิยม เปลี่ยนเป็นชุดคลุมจอมเวทและหมวกปลายแหลม

จากนั้นอามุนด์เสนอให้เล่นเกมหลบหนีและขัดขวาง

เขามั่นใจมาก มิได้เกรงกลัวว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไคลน์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้งและอ่อนล้า

“คุณ…คือร่างต้น…หลังจากเข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง ร่างต้นได้ผสานเข้ากับร่างโคลน?”

มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า อามุนด์ตรงหน้าคือร่างจริง ผู้เย้ยเทพและราชาเทวทูตตัวจริงเสียงจริง!

มุมปากอามุนด์ข้างที่สวมแว่นค่อยๆ ขดขึ้น

“น่าสนุกดีใช่ไหมล่ะ? สีหน้าของเจ้าในตอนที่ทราบความจริง คือสิ่งที่ข้าอยากเห็นมากที่สุดในเกมนี้”

มันยอมรับอย่างชัดเจนว่าเป็นร่างต้น ร่างที่เกิดมาพร้อมเอกลักษณ์ของเส้นทางนักจารกรรม ตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นรองเพียงเทพแท้จริง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากไม่มีเทพเสด็จลงมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ว่าไคลน์จะพยายามสักเพียงใด ดิ้นรนมากแค่ไหน ก็จะไม่มีวันรอดพ้นจากเงื้อมมือของอามุนด์ไปได้ และที่นี่คือดินแดนซึ่งทวยเทพทอดทิ้งไปแล้ว ตัวตนเดียวที่ยังหลงเหลือคือพระผู้สร้างแท้จริง และอีกฝ่ายก็มิได้สนใจปราสาทต้นกำเนิดมากนัก

แม้จะสงสัยมาสักพักแล้วว่าอามุนด์ที่เดินทางมากับตน อาจเป็นร่างต้นที่สับเปลี่ยนกับร่างโคลน แต่ไคลน์ซึ่งเผชิญความหวังและถูกดับความหวังมาหลายครั้ง หลังจากได้รับการยืนยันแน่ชัด มันกำลังลิ้มรสความสิ้นหวังจากก้นบึ้ง หากไม่ใช่เพราะตนยังมีชุมนุมทาโรต์ ยังมีมิสจัสติส เลียวนาร์ด และคนที่เหลือ และหากไม่ใช่เพราะตระหนักว่าอามุนด์เป็นนักหลอกลวง ไคลน์คงยอมจำนนและเต็มใจที่จะเป็นข้ารับใช้ของอีกฝ่าย

เป็นเรื่องปกติที่จะเข้าร่วมกับศัตรูที่ไม่มีวันเอาชนะได้…ไคลน์รำพันพลางนึกทบทวนบางคำพูดในอดีตของอามุนด์

เดี๋ยวนะ…ดวงตาชายหนุ่มส่องประกายเล็กน้อยก่อนจะดับลง จ้องหน้าอามุนด์พร้อมกับผ่อนคลายร่างกายและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฆ่าผมเถอะ”

………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version