ตอนที่ 137 : เมืองเงินพิสุทธิ์
เมืองเงินพิสุทธิ์
เขตสุสานใหญ่
เดอร์ริคกำลังยืนตัวตรงหน้าขั้นบันได สายตามันจ้องมองโลงศพคู่หนึ่งด้วยดวงตาแดงก่ำคล้ายกับเพิ่งผ่านการร้องไห้ยาวนาน
โลงศพของบิดาและมารดา
เบื้องหน้าเด็กหนุ่มคือแผ่นหินที่มีดาบเงินธรรมดาเสียบปัก เสียงท้องฟ้าคำรามส่งผลให้บ้านเรือนสั่นสะเทือนจนดาบเงินโยก
แม้สองสามีภรรยาตระกูลเบเกอร์กำลังนอนภายในโลง แต่ทั้งคู่ยังไม่ตาย พยายามดิ้นรนลืมตาด้วยเรี่ยวแรงที่แทบไม่หลงเหลือ
ลมหายใจถูกพ่นรวยรินจากจมูก แววตาพวกมันมัวหมองปราศจากกิเลสหรือความรู้สึก เผยเพียงความสิ้นหวังและเงียบสงบ
“เดอร์ริค! ลงมือเร็วเข้า!”
อาวุโสสวมชุดคลุมดำเฝ้ามองพฤติกรรมของเด็กหนุ่มพลางตะโกน มือข้างหนึ่งกำลังถือคทายาว
สีหน้าเดอร์ริคบิดเบี้ยวเจ็บแปลบ
“ไม่…ไม่! ไม่!”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลอมเหลืองส่ายศีรษะรุนแรงพร้อมกับก้าวถอยหลังทุกครั้งที่เปล่งเสียงตะโกนปฏิเสธ และท้ายที่สุด มันแหกปากโวยวายด้วยเสียงหวีดแหลม
ตึง!
อาวุโสคนดังกล่าวกระแทกคทาลงพื้น มันกล่าวกับเดอร์ริคด้วยเสียงเย็นชา
“เจ้าต้องการให้เมืองทั้งเมืองล่มสลายไปพร้อมกับพ่อและแม่อย่างนั้นหรือ ลืมแล้วหรืออย่างไร พวกเราคือพลเมืองแห่งความมืดที่ถูกเทพทอดทิ้ง มีชะตากรรมต้องดำรงชีวิตบนดินแดนต้องสาปแห่งนี้ ทุกคนที่ตายภายในเมืองจะกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง นอกเสียจาก…นอกเสียจากจบชีวิตลงด้วยฝีมือของสมาชิกครอบครัว”
“ทำไม! เพราะอะไร!?”
เดอร์ริคคำรามแหบพร่าสิ้นหวัง มันส่ายศีรษะอย่างไม่ยอมรับ
“ทำไมชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ถึงมีชะตากรรมต้องสังหารบุพการีนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก…”
อาวุโสหลับตาลง มันย้อนนึกถึงอดีตอันขื่นขมที่ตนต้องเผชิญเหมือนกับทุกคน
“สิ่งนี้คือชะตากรรม เป็นคำสาปที่พวกเราทุกคนต้องแบกรับ เป็นเจตจำนงของเทพ…”
“ชักดาบได้แล้วเดอร์ริค เพื่อแสดงความเคารพต่อบุพการีของเจ้า! เมื่อจิตใจเริ่มเย็นลงหลังจากนี้ เจ้าลองพิจารณาการเป็นนักรบเทพโลหิตดู”
เดอร์ริคพยายามกล่าวบางสิ่ง แต่มันทำเพียงพะงาบปากโดยมิได้เปล่งเสียง หัวใจกำลังหนักอึ้งอย่างไร้คำบรรยาย
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเดินกลับไปยังจุดเดิมด้วยย่างก้าวแสนยากเข็ญ มันหยุดยืนข้างดาบยาวสีเงินเรียบง่าย ฝ่ามือสั่นเทาถูกยื่นออกไปด้านหน้าเตรียมหยิบจับ
ทันใดนั้น ภาพในอดีตโลดแล่นเข้ามาในหัว ความทรงจำสมัยยังเด็ก เมื่อครั้งบิดานำโลหิตน้ำแข็งขนาดเท่ากำปั้นติดมือกลับบ้านหลังเสร็จภารกิจ บ้านของตนจึงมีบรรยากาศเย็นสบายนานหลายวัน
ภาพใหม่ฉายเข้ามาแทนที่
บิดาผู้เข้มงวดกำลังสอนสั่งวิชาดาบ บิดาผู้อ่อนโยนช่วยปัดฝุ่นออกจากหลังขณะตนโหมฝึกดาบอย่างหนัก
มารดาแสนใจดีก้มหน้าเย็บปักเสื้อผ้าที่ขาดเป็นรูโหว่ มารดาแสนกล้าหาญที่ใช้ร่างกายของตัวเองบังเด็กน้อยเดอร์ริคขณะสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์บุกจู่โจม
ภาพครอบครัวสุดอบอุ่นพร้อมหน้าท่ามกลางแสงเทียนสลัว คนทั้งสามแบ่งปันอาหารด้วยบรรยากาศแสนวิเศษ
เสียงครางบางเบาจากลำคอเด็กหนุ่มเล็ดลอด ทั้งที่มันพยายามระงับไว้อย่างสุดความสามารถแล้ว
เดอร์ริคออกแรงกระชากดาบจากแผ่นหิน
ตึก ตึก ตึก!
มันพุ่งตัวไปข้างหน้าในท่ายกดาบขึ้น ก่อนจะหยุดข้างโลงศพพร้อมกับปักดาบเงินเรียบง่ายลงไปด้วยพละกำลังทั้งหมด ภายในใจสวดภาวนาให้อีกฝ่ายเจ็บปวดทรมานน้อยที่สุด
ไม่รู้สึกได้เลยยิ่งดี
อั่ก!
โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนร่างกายและใบหน้าของเดอร์ริค·เบเกอร์ ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวด
ภาพการมองเห็นของเด็กหนุ่มพลันกลายเป็นสีแดงฉาน มันออกแรงดึงดาบขึ้นและแทงใส่อีกหนึ่งโลงศพด้านข้าง
หลังจากได้ยินเสียงโลหะเสียบผ่านเนื้อหนังมนุษย์ เด็กหนุ่มปล่อยมือจากด้ามพลางพยุงร่างกายอย่างโงนเงน
มันไม่มองด้วยซ้ำว่าบุคคลด้านในโลงตายสนิทแล้วหรือยัง เดอร์ริควิ่งออกจากสุสานเต็มฝีเท้าคล้ายกับกำลังหนีจากวิญญาณร้าย หมัดสองข้างถูกกำแน่นจนเส้นเลือดปูด ใบหน้ายังปรากฏคราบโลหิตที่มันไม่คิดเช็ดออก
อาวุโสยืนมองเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง มันถอนหายใจอย่างสงสาร
ถนนทางเดินภายในเมืองเงินพิสุทธิ์มีเสาหินหลายต้นตั้งเรียงราย ยอดเสาเป็นตะเกียง ภายในตะเกียงมีเทียนไขซึ่งยังไม่ถูกจุด
ท้องฟ้าของดินแดนแห่งนี้ปราศจากดวงอาทิตย์ ดวงดาว และดวงจันทร์โดยสิ้นเชิง ปรากฏเพียงพายุสายฟ้าเป็นระยะ สลับกับความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง
ตามปรกติแล้ว ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จะอาศัยแสงสว่างของพายุสายฟ้าช่วยนำทางขณะสัญจร แต่หลังจากพายุสายฟ้าสงบลงราวสองสามชั่วโมง ท้องฟ้าจะเข้าสู่ภาวะที่ถูกนิยามไว้ตามทำนานว่า ‘รัตติกาลเที่ยงแท้’
ถึงตอนนั้น พวกมันจะช่วยกันจุดเทียนไขบนเสาหินเพื่อรักษาแสงสว่าง อีกทั้งยังช่วยข่มขู่เหล่าสัตว์ประหลาดด้านนอกมิให้ย่างกรายเข้ามา
เดอร์ริคเดินเหม่อลอยไปตามเส้นทางจนกระทั่งหยุดยืนหน้าบ้านโดยไม่รู้ตัว
มันหยิบกุญแจไขเปิด
ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านยังคงสภาพเดิมเหมือนเมื่อเช้า แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินเสียงมารดาไต่ถามอย่างอ่อนโยนอีกแล้ว หรือกระทั่งเสียงตำหนิจากบิดาว่าตนยังฝึกไม่พอ
บ้านกลายเป็นสถานที่เย็นชาและอ้างว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เดอร์ริคกำหมัดแน่นอย่างเจ็บแปลบ มันเดินตรงไปยังห้องนอนพ่อและมองหาบอลคริสตัลสีใส บิดาเคยกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นสมบัติจากหมู่บ้านที่ถูกทำลาย ชาวท้องถิ่นจะใช้มันสวดภาวนาหาเทพของพวกตน
เดอร์ริคคุกเข่าลงก้มกราบลูกแก้วใส เด็กหนุ่มเปล่งเสียงอ้อนวอนอย่างไร้ซึ่งความหวัง
สีหน้าของมันกำลังขื่นขมเจ็บปวด
“ข้าแต่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดเหลียวแลดินแดนที่ท่านทอดทิ้งแสนนาน”
“ข้าแต่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดช่วยให้พวกเรา ประชาชนแห่งความมืด เป็นอิสระจากคำสาปแห่งชะตากรรม”
“ตัวข้ายินดีสละชีพเพื่อกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้ท่าน เชิญนำเลือดเนื้อของข้าไปใช้ได้ตามพระประสงค์”
…
หลังจากกล่าวซ้ำไปซ้ำมาหลายหน ขณะบรรยากาศกำลังเงียบงันและอ้างว้าง เด็กหนุ่มพลันเห็นประกายแสงสีแดงเข้มพรั่งพรูออกจากบอลคริสตัลใส
แสงแดงชาดหลั่งไหลประหนึ่งสายลำธารเชี่ยวกราก โอบกอดกลืนกินร่างเดอร์ริคทุกซอกมุมอย่างเท่าเทียม
ภาพการมองเห็นดำมืดไปครู่หนึ่ง
เมื่อสติกลับคืนมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบกวาดสายตามองรอบตัวอย่างประหลาดใจ
มันตระหนักว่าตนกำลังยืนบนดินแดนลึกลับ ข้างกายมีเสาหินยักษ์หลายต้นเรียงชิดติดกัน ตรงหน้าเป็นโต๊ะทองแดงยาวลักษณะเก่าแก่ เก้าอี้วางเป็นระเบียบเรียบร้อยราวยี่สิบตัว ตำแหน่งหัวโต๊ะมีร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องมันด้วยมาดองอาจสง่างาม รอบกายมีกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นบดบัง
แต่นอกเหนือจากสรรพสิ่งข้างต้น มิติแห่งนี้กลับว่างเปล่าไร้ก้นบึ้ง มองไปทางใดก็พบเพียงทุ่งสายหมอกไกลสุดลูกหูลูกตา พื้นใต้ฝ่าเท้ามีควันหนาปกคลุม สลับกับแสงสีแดงระยิบระยับเป็นระยะ
เดอร์ริคพลันสัมผัสถึงเปลวเพลิงแห่งความหวัง มันยืนจ้องมองบุคคลหลังม่านหมอกด้วยสีหน้าฉงนหนัก
“ท่านคือเทพหรือ”
เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มพลันตระหนักได้ว่า ตนหลงลืมข้อห้ามสำคัญที่สุดซึ่งถูกระบุไว้ในพระคัมภีร์เงินพิสุทธิ์
ห้ามจ้องมองเทพโดยเด็ดขาด!
มันรีบก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าหวาดผวาปนลนลาน เนื้อตัวสั่นเทาชนิดมิอาจระงับ
ไคลน์ยังคงเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย มันเปล่งเสียงอ่อนโยนตอบคำถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยภาษายักษ์
“เรามิใช่เทพ เป็นเพียงเดอะฟูลผู้ฝักใฝ่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกใบนี้”
ไคลน์เปิดเนตรวิญญาณด้วยการกระทบฟันกรามซ้ายสองหน มันสำรวจสีออร่าของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลอย่างใจเย็น
อีกฝ่ายมีวิญญาณดาราและกายจิตแตกต่างจากปรกติ หมายความว่าไม่ใช่ผู้วิเศษ
เดอะฟูล…เดอร์ริคพึมพำพลางสลักวลีดังกล่าวลงในใจ หลังจากปล่อยบรรยากาศเงียบงันไหลผ่านสักพัก มันตัดสินใจบอกกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“ผมไม่สนว่าท่านจะเป็นเทพหรือเดอะฟูล แต่ความปรารถนายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมต้องการให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นอิสระจากคำสาปแห่งชะตากรรม ผมหวังให้ท้องฟ้าสดใสและดวงอาทิตย์ในตำนานปรากฏบนแผ่นดินเงินพิสุทธิ์สักครั้ง และหากเป็นไปได้…ผมต้องการให้ท่านพ่อกับท่านแม่คืนชีพ”
เจ้าหนู…ฉันไม่ใช่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย
ไคลน์วางแขนลงพลางอมยิ้ม
“ช่วยเจ้าแล้วเราจะได้สิ่งใดตอบแทน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายเดอร์ริคพลันแข็งทื่อดุจดังรูปปั้น
“ผ…ผมยินยอมมอบดวงวิญญาณให้ รวมถึงเลือดเนื้อ ร่างกาย หวังว่าท่านจะยินดี”
“เราไม่ต้องการดวงวิญญาณและเลือดเนื้อสามัญชน”
ไคลน์ส่ายศีรษะแผ่วเบา เนตรวิญญาณบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังสิ้นหวังสุดขีด
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด ไคลน์กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงแฝงเลศนัย
“แต่เรามอบโอกาสให้เจ้าได้ เราคือเดอะฟูลผู้ชื่นชอบการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ยิ่งเจ้าให้มาก ก็ยิ่งได้รับกลับไปมาก สิ่งที่ได้จากเรา จะช่วยให้เจ้าพัฒนาตนเองจนแข็งแกร่งขึ้น แล้วสักวัน เมืองเงินพิสุทธิ์จะเป็นอิสระจากคำสาปดังปรารถนา”
จากคำอธิบายของเด็กหนุ่ม ไคลน์มั่นใจหลายส่วนว่าเมืองเงินพิสุทธิ์อาจตั้งอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง
แต่มันยังไม่กล้าฟันธง เนื่องจากเคยมีตำนานกล่าวไว้ ท้องฟ้าในยุคสมัยที่หนึ่งมืดมนเพราะปราศจากแสงเดือนแสงตะวัน จึงถูกเรียกว่ายุคสมัยแห่งความวุ่นวายโกลาหล
บางทีอาจยังมีดินแดนไร้แสงหลงเหลืออยู่บนทวีปเหนือ โดยสถานที่ดังกล่าวยังไม่ถูกค้นพบโดยบุคคลภายนอก ไม่ใช่เฉพาะดินแดนเทพทอดทิ้งเพียงแห่งเดียว
เดอร์ริคตั้งใจฟัง มันก้มศีรษะลงต่ำก่อนจะเอ่ยความปรารถนาถัดไป
“ผมต้องการเป็น ‘สุริยัน’ ผมปรารถนาครอบครองสูตรผลิตโอสถเส้นทางดังกล่าวจากท่าน”
เส้นทาง.โอสถ.สุริยัน.
หมายถึงเส้นทางที่โบสถ์สุริยันเจิดจรัสถือครองอย่างนั้นหรือ ไคลน์พยายามจับใจความด้วยภาษาคนยักษ์ที่ไม่แข็งแรง
หากพิจารณาจากปัจจัยข้างต้น หมายความว่าตนและเด็กหนุ่มกำลังอาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน
วลี ‘เส้นทาง’ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากมีการค้นพบ ‘ปฐมแผ่นศิลาเย้ยเทพ’ ในช่วงสิ้นสุดยุคสมัยที่สอง ยุคแห่งความมืด
หรืออีกนัยหนึ่ง เมืองเงินพิสุทธิ์คือดินแดนเทพทอดทิ้งอย่างที่ตนเข้าใจไม่ผิดแน่ และดินแดนดังกล่าวถูกตัดขาดจากทวีปเหนือกับใต้หลังจากยุคสมัยที่สอง
จะเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติในยุคสมัยที่สามรึเปล่า เพราะจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ เทพธิดารัตติกาล พระแม่ธรณี และเทพแห่งสงคราม เสด็จลงมาบนโลกเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากหายนะ โดยร่วมมือกับเทพแห่งวายุสลาตัน เทพสุริยันเจิดจรัส และเทพแห่งความรู้และปัญญา
ไคลน์พยายามปะติดปะต่อข้อมูลใหม่เข้ากับสิ่งที่เคยเรียนมา แต่ปัญหาคือ ตนชำนาญภาษาคนยักษ์เพียงผิวเผิน และจุดที่ยากยิ่งกว่าฟังคือการถ่ายทอดให้อีกฝ่ายเข้าใจ
ค่อนข้างโชคดีที่ภาษาฟุซัคโบราณแตกแขนงจากภาษาคนยักษ์ ตนซึ่งเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์จึงเรียนรู้ได้เร็ว ส่งผลให้ไม่ปล่อยไก่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผมน้ำตาล
ไคลน์ยังรักษามาดองอาจ มันตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ไว้คุยเรื่องแลกเปลี่ยนกันภายหลัง ภายในสองวันนับจากนี้ ห้ามเจ้าออกไปไหนไกลจากบ้านเด็ดขาด และพยายามไม่อาศัยร่วมห้องกับผู้อื่น”
ไคลน์ไม่ทราบว่าเมืองเงินพิสุทธิ์ใช้หน่วยนับเวลาประเภทใด และวันเวลาผ่านไปรวดเร็วเท่ากับอาณาจักรโลเอ็นหรือไม่ มันจึงบอกช่วงเวลาไปอย่างคร่าว
วันพรุ่งนี้บ่ายสามตรงจะมีชุมนุมไพ่ทาโรต์ ไคลน์จะส่งเสียงแจ้งกับเด็กหนุ่มก่อนการชุมนุมเริ่มเล็กน้อย และเมื่อชุมนุมจบค่อยนัดแนะว่าจะมีครั้งหน้าเมื่อไร
แต่ไคลน์ย่อมทราบ ในภาษาคนยักษ์นั้นมีคำศัพท์ ‘วัน’ ถูกบัญญัติไว้ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ตนสื่อ
“ได้ครับ ผมจะปฏิบัติตาม”
เดอร์ริคไม่คัดค้านสิ่งใด เอาแต่ก้มหน้า
ไคลน์ถอนหายใจโล่งอกเมื่อผลลัพธ์เป็นไปตามคาดหวัง มันใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางกล่าว
“ก่อนเจ้าจะถูกส่งกลับ พวกเรามาแลกเปลี่ยนสิ่งบางสิ่งกันดีกว่า อย่างที่เคยกล่าวไปข้างต้น เราจะมอบโอกาสให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น และเจ้าต้องตอบแทนอย่างเสมอภาค ตัวเราชื่นชอบอดีตและความเร้นลับของโลก สิ่งที่เราอยากได้ยินคือประวัติศาสตร์เมืองเงินพิสุทธิ์ ทั้งหมดที่เจ้าทราบ”
เดอร์ริคทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“ด้วยความเต็มใจขอรับ”
“เมืองเงินพิสุทธิ์ถือกำเนิดขึ้นนับตั้งแต่พระผู้สร้าง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลังเหนือหมู่เทพทั้งหมด ทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้ไป อันที่จริง เมืองเงินพิสุทธิ์มีตัวตนก่อนหน้านั้นนานแล้ว แต่ใช้ชื่อว่าอาณาจักรเงินพิสุทธิ์”
……………………