ตอนที่ 147 : ผู้มาเยือนยามดึก
“มิสเตอร์ งานของคุณเสร็จแล้ว”
นักสืบเฮนรีกล่าวกับลูกค้าหนุ่มตรงหน้าด้วยเสียงแหบพร่ากว่าปรกติ ไคลน์สัมผัสถึงท่าทีโล่งใจจากอีกฝ่าย
“งานนี้ไม่ง่ายเลย แต่ก็เรียกว่ายากได้ไม่เต็มปาก พวกเราเพียงสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรไปมาก ด้วยความสัตย์จริง ผมกำลังนึกเสียดาย น่าจะคิดค่าจ้างคุณให้แพงกว่านี้”
ไม่ว่านายจะพูดอะไร แต่ฉันไม่มีทางเพิ่มเงินให้เด็ดขาด!
ไคลน์เตือนสติตัวเองหนักแน่น สายตาชำเลืองมองเอกสารกองโตบนโต๊ะกาแฟ
“นั่นคือเอกสารสืบสวนของผมหรือ”
“ใช่”
เฮนรีใช้มือขวาวางบนปึกเอกสารมหึมาขนาดราวหกสิบหน้า ก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“ผมไม่เคยต้องทำเอกสารรายงานของลูกค้าคนใดซับซ้อนเท่านี้มาก่อน…”
เฮนรียังพูดไม่ทันจบประโยค หางตาเหลือบเห็นไคลน์ควักธนบัตรสี่ปอนด์ออกมาถือในมือ
มันพยายามเหลือบมองลายน้ำเพื่อแยกแยะระหว่างเงินจริงกับเงินปลอม
“ค่าจ้างงวดสุดท้าย”
ไคลน์โบกเงินไปมา · เฮนรีกระแอม
“คุณเป็นคนรักษาคำพูดมาก เฮ่อ…ผมไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีงานไหนต้องใช้กระดาษมากมายขนาดนี้ ขาดทุนแย่เลย”
ชายหนุ่มก้มตัวหยิบกองเอกสารตรงหน้า
มันก็รีบลุกขึ้นยืน ผงกศีรษะให้บรรดานักสืบตามมารยาท และหันหลังเดินออกจากสำนักงานพร้อมไม้ค้ำในมือซ้าย
เสียงนักสืบเฮนรียังดังไล่หลัง
คุณนักสืบ ค่ากระดาษควรถูกคำนวณอยู่ในค่าจ้างแล้วเฟ่ย! ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเพิ่ม!
ไคลน์กำธนบัตร ห้าปอนด์ แปดซูลแน่น นี่คือเงินเก็บก้อนสุดท้ายของมันแล้ว
ชายหนุ่มเร่งฝีก้าวเดินลงชั้นล่างและข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนเบซิก หลังจากเหลียวมองรอบตัวจนมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมา
มันใช้มือขวาดึงผ้าปิดปากลง
ไคลน์ยังไม่คิดตรงดิ่งกลับบ้าน มันต้องการหาร้านกาแฟสำหรับนั่งสำรวจกองเอกสารเบื้องต้นเสียก่อน เพื่อค้นหาว่าบ้านหลังใด เพิ่งเปลี่ยนผู้เช่าหลังจากตนทำนายเห็นนิมิตปล่องไฟแดง
เมื่อได้ทำเลบ้านน่าสงสัยมาจำนวนหนึ่ง มันจะรีบสำรวจบางส่วนให้เสร็จก่อนอาหารมื้อค่ำกับครอบครัว
ในย่านนี้มีร้านกาแฟค่อนข้างมาก แต่กลับไม่มีร้านใดเข้าตาไคลน์
นับตั้งแต่ย่างเข้าสู่ยุคสมัยจักรกลไอน้ำ ร้านกาแฟเปิดใหม่จำนวนมากได้ลดต้นทุนการตกแต่งในสไตล์เก่าแก่ลง ส่งผลให้สูญเสียบรรยากาศรื่นรมย์สำหรับนั่งดื่มชากาแฟ
เป้าหมายร้านกาแฟเริ่มเปลี่ยนไป เป็นการจัดหาเครื่องดื่ม ขนมปัง และอาหารอย่างง่ายให้กับชนชั้นแรงงานแทน
ด้วยเหตุนี้ บรรดาสุภาพบุรุษและสตรีทั้งหลายจึงเลิกใช้ร้านกาแฟเป็นจุดพบปะสังสรรค์ พวกมันมองว่าร้านกาแฟไม่ใช่เครื่องแสดงฐานะทางสังคมอีกต่อไป
จึงเกิดเป็นธุรกิจประเภทใหม่อย่าง ‘สโมสร’ สำหรับให้ชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง ใช้เป็นแหล่งสังสรรค์และพูดคุย
หลังจากเดินวนสักพัก ไคลน์ได้พบร้านกาแฟบรรยากาศเข้าตาเสียที
มันเลือกนั่งในมุมเงียบของร้าน สั่งกาแฟนานวีลล์ราคาหนึ่งเพนนีเพื่อไม่ให้น่าเกลียด
มือขวาพลิกหน้าเอกสารเปิดอ่าน
“ภายในเขตต่างๆ ของทิงเก็นประกอบด้วย เขตเหนือ เขตใต้ เขตตะวันออก เขตตะวันตก เขตไม้ฟินิกซ์ เขตท่าเรือ และเขตมหาวิทยาลัย ปล่องไฟสีแดงตามลักษณะคำบอกเล่าของลูกค้ามีจำนวนทั้งสิ้น หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าแห่ง หากนับรวมเขตชานเมืองของทิงเก็นเข้าไปด้วย จะมีจำนวนอาคารปล่องไฟคล้ายกันอีก ห้าร้อยสี่สิบหกหลัง ยังไม่รวมเขตหมู่บ้านรอบนอกเมืองทิงเก็น แต่เขตดังกล่าวค่อนข้างห่างไกล และอยู่นอกเหนือการปกครองของเมือง”
…
“ถัดจากนี้จะเป็นรายชื่อของผู้เช่าอาคารปล่องไฟสีแดง และจากความประสงค์ของลูกค้า ทุกกิจกรรมภายในระยะเวลาสามเดือนจะถูกบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด”
…
ไคลน์เปิดอ่านหน้าแล้วหน้าเล่า มือขวาจดบันทึกใส่กระดาษเป็นระยะ
เมื่อวิเคราะห์เอกสารทุกแผ่นจนครบ ชายหนุ่มพบว่า มีอาคารจำนวนยี่สิบห้าแห่งได้เปลี่ยนมือผู้เช่าหลังจากตนเห็นนิมิตปล่องไฟแดง
ไม่มากเท่าไร ยังพอตระเวนค้นหาได้ทั่ว
ไคลน์มีแผนจะตรวจสอบบ้านปล่องไฟสีแดงให้เสร็จภายในสองวัน
ในเมื่อมันเคยเห็นนิมิตมาแล้ว หากเฉียดใกล้บ้านในฝัน สัมผัสวิญญาณจะต้องร้องเตือนรุนแรงแน่นอน หรือไม่ก็บอกใบ้ในลักษณะเดจาวู เหมือนกับคดีสมัยอดีต
ตนคือสุดยอดเครื่องจักรสืบสวนเดินได้!
ไคลน์ฉีกยิ้มพึงพอใจ มือขวาเขียนจำแนกอาคารแต่ละหลังตามทำเล
ชายหนุ่มตั้งใจจะสำรวจให้ได้อย่างน้อยสิบห้าหลังภายในเย็นวันนี้ และพรุ่งนี้ค่อยจัดการอีกสิบหลังให้เรียบร้อย
ไคลน์ไม่จำเป็นต้องทำนายถามถึงอันตราย ในเมื่อผู้เช่าเดิมไม่อยู่แล้ว ผู้เช่ารายใหม่คงไม่ใช่ตัวการบิดเบือนโชคชะตาของตนแน่
หรือก็คือ ปลอดภัยหายห่วง
ได้หวังว่าผู้เช่ารายใหม่จะมีเบาะแสของผู้เช่าคนเดิมอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษลำดับสูง ถึงขั้นสามารถบิดเบือนชะตาตนให้ไม่กลมกลืน โดยไม่มีผู้ใดทราบหรือตระหนักได้นอกจากมิสเตอร์อะซิก
คงไม่มีเบาะแสเหลือทิ้งไว้สักเท่าไร
ได้แต่ภาวนาขอพรจากองค์เทพธิดารัตติกาล ดลบันดาลให้ไอ้ระยำนั่นหลงเหลือเบาะแสสำคัญโดยไม่ตั้งใจ
ไคลน์ทำได้เพียงสวดภาวนา ไม่สามารถคาดหวังได้มากกว่านี้แล้ว
ชายหนุ่มสวมหมวกกลับ เดินออกจากร้านกาแฟและเช่ารถม้าเหมารายชั่วโมง
มันสูญเงินไปสองซูลเพื่อตระเวนรอบอาคารปล่องไฟแดงจำนวน สิบห้าหลัง แต่โชคไม่ดีนัก ยังไม่พบอาคารตรงกับนิมิตความฝัน
หากผลลัพธ์ของวันพรุ่งนี้ลงเอยในแบบเดียวกัน นั่นจะเป็นสถานการณ์เลวร้ายสุดขีด
เหรียญสามารถออกได้หลายหน้ามาก
อีกฝ่ายอาจไม่ได้ย้ายบ้านหนีด้วยเหตุผลหลายข้อ เช่น มั่นใจในพลังของตัวเองอย่างมาก จนไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเหยี่ยวราตรี
หรืออาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าถูกใครบางคนทำนายถึง ถ้าเป็นกรณีนี้ หมายความว่าพลังพิเศษของอีกฝ่ายไม่สามารถหยั่งรู้การทำนาย
ไคลน์ยืนหน้าบ้านตัวเองบนถนนดารารัตน์ หัวสมองกำลังครุ่นคิดความเป็นไปได้ทั้งหมด
หลายนาทีถัดมา ชายหนุ่มตัดสินใจจัดระเบียบเครื่องแต่งกายตัวเอง ก่อนจะใช้มือซ้ายกดหมวก มือขวาบิดกุญแจไขเข้าบ้าน
ในค่ำคืนดังกล่าว ไคลน์ปรุงสตูว์เนื้อแกะพร้อมกับบาร์บีคิวเคลือบน้ำผึ้ง ให้เบ็นสันและเมลิสซ่าได้ทานอย่างเอร็ดอร่อย
…
ห้าทุ่มตรง สามพี่น้องโบกมือลา แยกย้ายกลับเข้าห้องนอนส่วนตัวแต่ละคน
ไคลน์ปิดประตูห้องนอนแน่นหนา
มันเดินไปยืนหน้าเก้าอี้อ่านหนังสืออย่างเหม่อลอย สายตาจ้องมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกมุขหน้าต่างด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียงแก๊ส
ถนนดารารัตน์ยามค่ำคืนมีบรรยากาศค่อนข้างมืด แซมด้วยแสงไฟจากตะเกียงถนนประปราย
ท้องฟ้ามีจุดสีขาวพร่ามัวจำนวนมาก สื่อถึงดวงดาวห่างไกลออกไป
“เมืองเบ็คลันด์จะมีสภาพแวดล้อมเป็นแบบไหนกันนะ ถึงถูกเรียกขานว่าดินแดนแห่งความหวัง หรือแม้กระทั่งเมืองหลวงแห่งเมืองหลวง…”
ไคลน์พึมพำ ฝ่ามือสองข้างยื่นออกไปด้านหน้าเตรียมรูดม่านปิดสนิท
ฟ้าว!
ทันใดนั้น สายลมกระโชกแฝงความรู้สึกอึดอัดพัดกระแทกร่างไคลน์โดยไม่บอกกล่าว แสงตะเกียงภายในห้องพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม
ไคลน์ผงะถอยหลังสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ ฟันกรามซ้ายถูกกระทบสองหนเพื่อเปิดเนตรวิญญาณจากจิตใต้สำนึก
ชายหนุ่มโน้มตัวติดเตียงพร้อมกับเอื้อมมือซ้ายไปยังใต้หมอน เตรียมหยิบปืนลูกโม่กระบอกเก่งออกมาถือ
หางตาไคลน์ชำเลืองเห็นใบหน้าปริศนา ลักษณะโปร่งแสง นูนยื่นออกจากผนังเหนือโต๊ะอ่านหนังสือ
ใบหน้าดังกล่าวไม่มีดวงตาและจมูก ปรากฏเพียงริมฝีปากขนาดใหญ่
“อย่ายิง” ปากปริศนาขยับส่งเสียง
พูดได้ด้วยหรือ…
ไคลน์รีบยกลูกโม่ในมือขึ้นเล็ง
“ต้องการอะไร” ชายหนุ่มถามเยือกเย็น
ใบหน้าลึกลับพลันฉีกยิ้มอบอุ่น
“ฉันเอง ดาลี่ย์”
ดาลี่ย์? ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์?
ไม่ใช่ว่าเธอถูกส่งตัวไปยังมุขมณฑลเขตเบ็คลันด์หรอกหรือ แล้วมาทำอะไรในบ้านตน
ไคลน์ขมวดคิ้วเคลือบแคลง
“มาดามดาลี่ย์?”
“ฉันทราบดี ว่าวิธีการติดต่อเช่นนี้ค่อนข้างเสียมารยาท ควรแจ้งเตือนคุณก่อน จะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมและจิตใจ แต่ขออธิบายตามตรง ฉันไม่มีเวลาว่างสำหรับแจ้งล่วงหน้า และไม่สะดวกนัดพบกัน จึงต้องส่งเจ้าหนูนี่มาหาแทน”
ใบหน้าโปร่งแสงเริ่มฉีกยิ้ม
แม้น้ำเสียงจะแตกต่างกันมาก แต่วิธีการพูดคล้ายคลึงกับมาดามดาลี่ย์หลายส่วน
ไคลน์ไม่มีทางลืมพฤติกรรมเย็นชาและสุขุมของผู้สื่อวิญญาณ เธอคือผู้วิเศษลำดับต้นๆ ในความทรงจำ
ชายหนุ่มยังไม่ลดปืนลง
“มาดาม คุณต้องการอะไรจากผม”
“ถ้าฉันเป็นคุณ อันดับแรกจะรีบกางกำแพงวิญญาณล้อมห้องไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น คนในบ้านคงคิดว่าคุณเสียสติไปแล้ว”
ใบหน้าโปร่งแสงแนะนำอย่างยียวน
“คิคิก…แล้วก็ไม่ต้องระแวงกันขนาดนั้น ฉันแอบกลับมาทิงเก็นอย่างลับๆ เพราะจดหมายของดันน์ คุณคงทราบดี เหยี่ยวราตรีจะไม่สามารถเดินทางออกจากมุขมณฑล หากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเสียก่อน”
“จดหมายของหัวหน้า?”
ไคลน์ยังคงไม่เดินเข้าใกล้โต๊ะหนังสือ เพียงใช้มือซ้ายคลำหาขวดบรรจุผงรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์ในกระเป๋าเสื้อ
“ดันน์และฉัน พวกเราต่างเริ่มต้นจากเหยี่ยวราตรีสาขาทิงเก็นทั้งคู่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราจึงค่อนข้างดี วันพฤหัสบดีล่าสุด เขาเขียนจดหมายถึงฉันด้วยเรื่องเกี่ยวกับคุณ โดยระบุว่า : คุณนำหลักปฏิบัติของผู้ส่องความลับมาปรับใช้กับตัวเอง โดยตั้งกฎของนักทำนายขึ้นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึงกำหนดพฤติกรรมให้สมกับเป็นนักทำนายตัวจริง นับแต่นั้น เสียงและภาพหลอนเริ่มเลือนหาย เหตุการณ์คล้ายกับกรณีของฉันในอดีต คิคิก…คุณจะไม่ผนึกห้องด้วยกำแพงวิญญาณจริงหรือ ฉันไม่ถือสาหรอกนะ หากพี่ชายและน้องสาวจะเข้าใจตัวคุณผิดไป…”
ใบหน้าโปร่งแสงกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
เรื่องนั้นเองหรือ…
ถ้าอย่างนั้น เธอคือมาดามดาลี่ย์ตัวจริง
ไคลน์ถอนหายใจด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง มือซ้ายหยิบขวดผงรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์ออกมาเปิดฝาและโปรยลงพื้น ก่อนจะเดินไปดึงลิ้นชักเพื่อนำมีดเงินออกมาสร้างกำแพงวิญญาณ
เมื่อเสร็จสิ้น ชายหนุ่มหันมาคุยกับใบหน้ายื่นนูนออกจากกำแพง
“มาดามดาลี่ย์ ในจดหมาย หัวหน้ายังเขียนถึงเรื่องอื่นอีกไหม”
“เขาบอกเพียงว่า ตัวเองเริ่มได้ข้อสรุปบางประการ และค้นพบความคืบหน้าในการย่อยพลังบ้างแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด จึงเขียนจดหมายถึงฉันเพื่อขอคำปรึกษา”
ดาลี่ย์เว้นวรรค ก่อนจะเล่าต่อ
“หลังจากอ่านจดหมายจบเมื่อช่วงเช้า ฉันทราบทันทีว่าคุณเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดี เพียงแต่แสร้งไม่เข้าใจขณะอยู่ต่อหน้าดันน์ คิคิก…มิสเตอร์โมเร็ตติ คุณตระหนักถึงการมีอยู่ของเทคนิคสวมบทบาทใช่ไหม”
“คุณมาหาผมเพราะเรื่องนี้หรือ”
ไคลน์ไม่ปฏิเสธหรือยอมรับ
เป็นไปตามคาด มาดามดาลี่ย์ทราบการมีอยู่ของเทคนิคสวมบทบาท
ไคลน์ครุ่นคิดในใจด้วยสีหน้าสุขุม
ใบหน้าโปร่งแสงของดาลี่ย์ยังคงฉีกยิ้ม
“ถูกต้อง ฉันคิดว่าพวกเราควรเปิดใจและพูดกันอย่างตรงไปตรงมา คุณทราบเทคนิคสวมบทบาท และยังทราบด้วยว่าฉันตระหนักถึงเทคนิคดังกล่าว เฮ่อ…เรื่องน่าเจ็บใจคือ ฉันเพิ่งค้นพบมันหลังจากผ่านไปแล้วสองปี แต่คุณกลับบรรลุได้ในเวลาเพียงเดือนครึ่ง”
ไคลน์เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจ
“เพราะผมมีคุณเป็นต้นแบบ”
ความจริงแล้ว ชายหนุ่มต้องการใช้สำนวนจากโลกเก่าว่า ‘ยืนบนไหล่ยักษ์ ’
แต่มันไม่ต้องการให้ชื่อของจักรพรรดิโรซายล์บัดซบนั่น สอดแทรกในการสนทนาแสนสำคัญระหว่างตนกับมาดามดาลี่ย์
……………………