ตอนที่ 152 : คุ้มค่าแก่การทดสอบ
หมอกสีเทาลอยฟุ้ง รอบตัวชายหนุ่มมีดาวแดงหลายดวงกำลังลอยโคจรในระยะต่างกัน
ไคลน์นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ใจกลางสิ่งก่อสร้างคล้ายบ้านคนยักษ์ สายตากวาดมองฉากคุ้นตารอบตัวด้วยจิตสงบนิ่ง
หลายวินาทีถัดมา มันเสกแผ่นกระดาษหนังสีน้ำตาลขึ้นตรงหน้า ก่อนจะยกปากกาหมึกซึมเขียนขั้นตอนสำหรับประกอบพิธีกรรมโดยละเอียด
“จุดเทียนไขแทนตัวเอง”
“สร้างกำแพงวิญญาณเพื่อให้เกิดบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์รอบตัว”
“หยดวัตถุดิบแต่ละชนิดลงบนเปลวเพลิงเทียนไข ประกอบด้วยน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง น้ำค้างคาโมไมล์บริสุทธิ์ ผงหลับใหล รวมถึงส่วนผสมชนิดอื่น (*ไม่จำเป็นต้องทำตามโดยละเอียด เนื่องจากเป็นการทดสอบอัญเชิญตัวเอง)”
“ท่องคาถาตามนี้”
“ตัวข้า! (เป็นภาษาเฮอมิส คนยักษ์ มังกร หรือเอลฟ์ แต่ต้องเน้นหนักเสียง)”
“ขออัญเชิญ (เฮอมิส)”
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
…
หลังจากอ่านทบทวนและวิเคราะห์อย่างละเอียดสามรอบ ไคลน์ทำการเขียน ‘ประโยคทำนาย’ ไว้ด้านล่างสุด
“จะเกิดอันตรายหากประกอบพิธีกรรมข้างตนบนโลกด้านนอก”
ฟู่ว…ชายหนุ่มถอนหายใจผ่อนคลาย วางปากกาหมึกซึมลง ปลดโซ่เงินออกจากข้อมือและใช้มือซ้ายถือไว้
ปลายบุษราคัมลอยเหนือแผ่นกระดาษหนังเล็กน้อยในลักษณะหยุดนิ่ง ชายหนุ่มเพ่งสมาธิจดจ่อพร้อมเริ่มกับเข้าฌาน
“จะเกิดอันตรายหากประกอบพิธีกรรมข้างตนบนโลกด้านนอก จะเกิดอันตรายหากประกอบพิธีกรรมข้างตนบนโลกด้านนอก”
…
ไคลน์ลืมตาขึ้นหลังจากท่องครบเจ็ดครั้ง นัยน์ตาน้ำตาลเข้มเกือบดำสนิทจ้องมองไปยังลูกตุ้มวิญญาณตรงหน้า
มันกำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกา
หมายความว่าผลตรงกันข้าม
จะไม่เกิดอันตรายหากประกอบพิธีกรรมข้างต้นบนโลกความจริง!
“ลองทดสอบสักหน่อยคงไม่เสียหาย”
ไคลน์เสกบรรดาอุปกรณ์ตรงหน้าให้หายไป ก่อนจะส่งตัวเองดำดิ่งกลับสู่โลกความเป็นจริงเบื้องล่าง
ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งภายในห้องนอน
เนื่องจากได้สร้างกำแพงวิญญาณผนึกบรรยากาศไว้ล่วงหน้า ไคลน์จึงรีบเก็บกวาดโต๊ะและนำเทียนไขมาวางกึ่งกลาง
มันใช้ปลายนิ้วกดลงบนไส้เทียนอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน ก่อนจะลูบไล้ด้วยพลังวิญญาณจนเกิดเปลวไฟลุกโชน
ท่ามกลางแสงสลัววูบวาบ ไคลน์หยดน้ำมันสกัด สารสกัด และผงสมุนไพรหลายชนิดลงบนเปลวไฟเทียนไข
กลิ่นหอมกรุ่นโชยคลุ้งทั่วกำแพงวิญญาณ บรรยากาศห้องนอนสลับวูบวาบไปมาระหว่างความสว่างและมืดมิด
หลังจากเดินถอยหลังสองก้าว ไคลน์จ้องมองเทียนไขแทนตน พลางตะโกนเสียงเข้มข้นเป็นภาษาคนยักษ์
“ตัวข้า!”
จากนั้น มันสลับเป็นเฮอมิส
“ขออัญเชิญ”
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
เมื่อท่องจบ มันเริ่มสัมผัสว่า เทียนไขซึ่งเคยโยกโอนวูบวาบอย่างนุ่มนวลก่อนหน้า พลันกระเพื่อมรุนแรงและสร้างวังวนพายุมองไม่เห็นฟุ้งกระจายรอบตัว พลังวิญญาณถูกดูดกลืนออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว
“บุปผาหลับใหลและพฤกษาแห่งจันทร์สีชาดเอ๋ย…ช่วยเป็นพลังแก่คาถาของข้าด้วย”
ไคลน์อดทนต่อความรู้สึกอึดอัดซึ่งเกิดจากการสูญเสียพลังวิญญาณปริมาณมาก มันก้มหน้าท่องคาถาประกอบพิธีกรรมจนจบบท
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเหลือบเห็นเปลวไฟเทียนไขสงบนิ่ง รอบเทียนแผ่แสงสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือมนุษย์ออกมา
ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น…
จริงสิ หรือตนต้องขึ้นไปต้อนรับคำอัญเชิญบนมิติสายหมอกก่อน?
ทำไมการอัญเชิญตัวเองสักครั้งถึงได้ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้…ไคลน์รำพันพลางใช้มือลูบศีรษะซึ่งกำลังปวดแปลบ
หลังจากสงบสติลง มันเดินทวนเข็มสี่ก้าวและกลับขึ้นมิติสายหมอกเทาอีกหน ภาพแรกในการมองเห็นคือ คลื่นแสงกำลังสั่นกระเพื่อมเหนือเก้าอี้ประธานชุมนุมไพ่ทาโรต์
แหล่งกำเนิดคลื่นมาจากตราสัญลักษณ์บนพนักพิงเก้าอี้
สัญสักษณ์ประกอบด้วยเนตรไร้นัยน์ตา หมายถึงความลับ และเส้นตรงถูกบิดวนเป็นเกลียว หมายถึงการเปลี่ยนแปลง
ไคลน์เหยียดแขนออกไปสัมผัสตราดังกล่าว ทันใดนั้น ภายในหัวพลันได้ยินเสียง
“ตัวข้า! ขออัญเชิญ เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
ขณะเดียวกัน กระแสพลังวิญญาณเริ่มไหลไปรวมกับแสงกระเพื่อม ก่อตัวเป็นรูปร่างประตูมายาขึ้นเบื้องหน้า แต่ไม่สามารถคงสภาพสมบูรณ์ไว้ได้
บานประตูสั่นรุนแรงราวกับต้องการถูกเปิดออกเสียงเต็มประดา ไคลน์สัมผัสถึงความปรารถนาอันแรงกล้า มันคงต้องการให้ใครสักคนผลักเปิดออกโดยด่วน
แทบจะในพริบตา มิติสายหมอกไร้ขอบเขต รวมถึงวังสวรรค์โอ่อ่าเริ่มเกิดการสั่นคลอน บรรยากาศรอบตัวปรากฏคลื่นกระเพื่อมในหลายจุด
มวลพลังวิญญาณจำนวนมากพุ่งกรูเข้าหาประตูมายาซึ่งยังก่อตัวเป็นรูปร่างไม่ชัดเจน
ไม่ว่าไคลน์จะพยายามผลักอย่างไร บานประตูก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทุกการออกแรงเป็นไปอย่างสูญเปล่าและเงียบงัน
“ประตูอัญเชิญยังก่อตัวเป็นรูปร่างไม่สมบูรณ์สินะ…”
ไคลน์เพ่งสมาธิพลางขมวดคิ้ว มันก้มหน้าวิเคราะห์หาคำตอบว่า เหตุใดความพยายามในการเปิดประตูถึงล้มเหลว
ชายหนุ่มตั้งชื่อให้ประตูลึกลับตรงหน้าอย่างเรียบง่ายว่า ‘ประตูอัญเชิญ’
“หืม…คงเพราะเรายังมีพลังวิญญาณไม่มากพอ จึงไม่สามารถสร้างประตูอัญเชิญให้เป็นรูปร่างชัดเจนได้”
“ไว้กลายเป็นลำดับแปด ตัวตลก และผ่านช่วงอันตรายในตอนต้นเสียก่อน ค่อยกลับมาทดสอบพิธีกรรมนี้อีกครั้ง บางทีเราอาจสร้างประตูอัญเชิญสำเร็จ…”
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา มันพอจะทราบสาเหตุของความล้มเหลวอยู่บ้าง
ผลการทดลองในวันนี้ทำให้ชายหนุ่มอุ่นใจขึ้นจากเดิมมาก เพราะมิติสายหมอกถูกตอบสนองจากพลังภายนอกเป็นครั้งแรก หากไม่นับการจ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสจนเกือบฉิบหายล่ะนะ…
หมายความว่า ตัวมันกำลังศึกษาความลับของห้วงมิติแห่งนี้ได้มากขึ้นทีละนิด และปริศนาทั้งหมดจะถูกไขจนกระจ่างในสักวันแน่นอน
ไคลน์ลั่นวาจาหนักแน่น ก่อนจะรีบดำดิ่งกลับสู่โลกปรกติหลังจากได้ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจ
…
ชายหนุ่มรีบดับเทียนและเก็บกวาดแท่นบูชาให้เรียบร้อย จากนั้นก็สลายกำแพงวิญญาณทิ้ง
สายลมรุนแรงพัดผ่านทั่วห้อง ไคลน์อ้าปากหาวเนื่องจากง่วงนอนสุดขีด สังขารถูกทิ้งลงบนเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปกปิดเพื่อสร้างความอบอุ่น
มันหลับไปในเวลาไม่นาน
…
ความฝันพร่ามัวดำเนินอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ชัดเจน จนกระทั่ง จิตของไคลน์ถูกดึงกลับมาภายในห้องอาหารของบ้านครอบครัวโมเร็ตติ มือข้างหนึ่งกำลังถือหนังสือพิมพ์ทิงเก็นซื่อตรงฉบับล่าสุด
…ฝีมือหัวหน้าอีกแล้วหรือ?
ไคลน์ผงะครู่หนึ่ง สายตาเหลือบมองมุมหน้าต่างตามสัญชาตญาณ แล้วก็ได้พบภาพอันน่าขบขันของดันน์·สมิท
ประตูบ้านถูกผลักเปิดออก หัวหน้าเหยี่ยวราตรีสวมเสื้อกันลมดำสนิทเดินเข้ามาด้านใน ชายเสื้อลากยาวเลยหัวเข่า มือซ้ายถือไม้ค้ำ มือขวาถือไปป์อันโปรด
เหนือศีรษะสวมหมวกทรงกึ่งสูงโดยไม่ถอดออก ต่ำลงมาเป็นนัยน์ตาคู่สีเทาลุ่มลึก
ดันน์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น หย่อนก้นลงบนโซฟาตัวใหญ่และไขว้ขาซ้ายเหนือขาขวา
มันวางไม้ค้ำลงพร้อมกับถอดหมวก แผ่นหลังเอนพิงโซฟาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ก่อนจะจ้องมองมาทางไคลน์เขม็ง คล้ายกับพิจารณาว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใด
หัวหน้า วันนี้คุณจะมาไม้ไหนอีก…
ไคลน์นึกฉงน
เพื่อไม่ให้ความแตกว่าตนยังมีสติครบถ้วน ไคลน์รีบก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ตามกิจวัตรปรกติ
ผ่านไปหนึ่งนาที สองนาที และห้านาที
ชายหนุ่มใช้หางตาชำเลืองมองไปทางโซฟา ดันน์สมิทยังคงนั่งในท่าเดิม จ้องมองมาทางไคลน์ด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่กล่าวสิ่งใด
สิบนาที…สิบห้านาที…
ชายหนุ่มพลิกหนังสือพิมพ์หนแล้วหนเล่าจนไม่เหลือสิ่งใดให้อ่าน แต่ดันน์ก็ยังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หัวหน้า คุณกำลังทำให้ผมอึดอัด…!
ไคลน์นั่งไม่ติดเก้าอี้ มันตัดสินใจวางหนังสือพิมพ์ลงด้านข้างลำตัว ลุกขึ้นยืนและพยักหน้าให้ดันน์เล็กน้อย ก่อนจะยกจานชามเข้าไปล้างในครัว ภาพดวงตาแสนเยือกเย็นของอีกฝ่ายยังคงตราตรึงในความทรงจำ
หัวหน้า ความฝันของผมไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ฉะนั้นรีบกลับไปได้แล้ว!
ทำไมคุณถึงไม่ปลอมตัวเป็นผี ทางนี้จะได้แสร้งทำเป็นกลัว การสวมบทบาทเป็นฝันร้ายของคุณจะได้จบลงสักที!
ไคลน์สวดภาวนาในใจ แอบชำเลืองมองทางโซฟาเป็นระยะ แต่ทุกครั้งก็จะประสานกับสายตาเย็นเฉียบของดันน์เสมอ
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ หลังจากล้างจานเสร็จ ชายหนุ่มเดินกลับออกมาและใช้ผ้าเช็ดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้ กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำงานบ้านทั้งหมดจนเสร็จสรรพภายในฝัน
ทำไมการฝันถึงเหนื่อยแบบนี้…!
ปัจจัยของความเหนื่อยไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสายตาของดันน์·สมิท
เวลาล่วงผ่านไปนาน จนกระทั่งไคลน์เหลือบเห็นอีกฝ่ายขยับขาลุกขึ้นยืนจากโซฟา
ดันน์สวมหมวก หยิบไม้ค้ำ และเดินออกจากบ้านไคลน์โดยไม่เปล่งเสียงสนทนาแม้แต่พยางค์เดียว
ชายหนุ่มกลั้นหายใจเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินพ้นจากประตู จิตใต้สำนึกของมันสั่งให้โบกมือเพื่ออำลา
ฟู่ว…ทุกสิ่งกลับมาเป็นปรกติสักที ไคลน์ถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลายสุดขีด
นี่มัน…ฝันร้ายชัดๆ!
ชายหนุ่มหลั่งน้ำตาแห่งความปีติเมื่อได้รับเวลานอนคืนกลับมา
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันตก
ณ ห้างสรรพสินค้าฟิลิป
ฟิลิปคือแบรนด์ของห้างอันดับหนึ่งในอาณาจักรโลเอ็น ต้อนรับเฉพาะขุนนางชั้นสูงหรือบรรดาเศรษฐีเท่านั้น
ลานห้างมักเรียงรายด้วยรถม้าหรูหราประดับตราสัญลักษณ์ตระกูลใหญ่ของโลเอ็นตลอดเวลา ห้างฟิลิปไม่เพียงมีระดับความปลอดภัยสูง แต่ยังขึ้นชื่อด้านความเป็นส่วนตัว ไม่ถูกสามัญชนเกะกะรบกวนสายตาให้ขุ่นเคืองใจ
ออเดรย์เดินทางมาพร้อมสาวใช้ส่วนตัว แอนนา รวมถึงสุนัขตัวโปรด ซูซี่
เด็กสาวถูกต้อนรับเป็นอย่างดีจากพนักงานนับตั้งแต่ย่างกรายออกจากรถม้าหรูหราของตระกูลฮอลล์
ตลอดทางเดินภายในห้าง ออเดรย์พบปะบุตรสาวของไวเคาต์ เคาต์เทส และบุตรสาวของพ่อค้ามั่งคั่งจำนวนมาก เด็กสาวยังคงรักษากริยามารยาทคุณหนูตระกูลฮอล์อย่างไร้จุดตำหนิ ขุนนางแต่ละคนจะถูกปฏิบัติตัวต่างกันไป หากอีกฝ่ายเป็นเคาต์เทส เธอจะกล่าวชมเชยเครื่องแต่งกาย และพรรณนาว่ามีรูปโฉมงดงามมากเพียงใด
หากอีกฝ่ายเป็นบาโรเนส เธอจะชมเชยว่าสามีของพวกหล่อน มีบทบาทสำคัญอย่างมากภายในสภาขุนนาง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ออเดรย์ไม่เคยกระทำสิ่งเหล่านี้เลยสักครั้ง เนื่องจากโอหังและหัวรั้นตามประสาเด็ก แต่ปัจจุบัน การโต้ตอบเหล่าสตรีชนชั้นสูงอย่างเหมาะสมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในสายตาของ ‘ผู้ชม’ ประหนึ่งอารมณ์และความคิดของทุกคนถูกเขียนไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสอง เด็กสาวเดินตรงไปยังร้านค้าเสื้อผ้ากึ่งสำเร็จรูปแห่งหนึ่ง
พนักงานร้านเป็นสตรีร่างเล็ก สวมชุดทำงานสีขาวสลับดำ ผมทองยาวประบ่า
ผู้ตัดสิน ซิล·เดียร์ชา
ออเดรย์ชำเลืองหางตามองซูซี่โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ทันใดนั้น สุนัขขนทองฟูฟ่องพลันวิ่งหายเข้าไปในห้างด้วยความเร็วสูง เดือดร้อนให้สาวใช้ส่วนตัว แอนนา ต้องตามไปจับกลับมา
เจ๋งมากซูซี่!
เด็กสาวชมเชยในใจ ก่อนจะเดินไปยืนใกล้กับซิล·เดียร์ชาและแสร้งทำเป็นเลือกเสื้อผ้าตามปรกติ
“ทำไมถึงต้องนัดพบในห้างนี้…”
ซิลแอบสอดแทรกคำถามไว้ระหว่างประโยคแนะนำเสื้อผ้า สตรีผู้นี้มีเสียงแหลมเล็กเหมือนกับเด็ก
“แล้วพนักงานตัวจริงไปไหน”
ออเดรย์ย้อนถามด้วยคำถาม
ซิลกวาดสายตามองรอบตัว เสียงถูกหรี่ลงจนเกือบเป็นการกระซิบ
“ฉันใช้พลังโน้มน้าว บอกว่าเธอสามารถพักผ่อนช่วงครึ่งวันเช้าได้ตามใจชอบ”
ออเดรย์ยังคงทำทีเดินเลือกเสื้อผ้า ขณะเดียวกันแอบหยิบกระดาษออกจากกระเป๋าหนังแกะ จากนั้นก็ส่งให้ซิล
“พลเรือโทแห่งวายุ คีลิงเกอร์ ลอบแทรกซึมเข้ามาในเบ็คลันด์ มันคือตัวอันตรายอย่างแท้จริง กระดาษแผ่นนี้ใช้สำหรับอ้างอิงใบหน้า ภารกิจของเธอคือการค้นหาเบาะแสและนำมาบอกฉัน ห้ามทำให้อีกฝ่ายไหวตัวเด็ดขาด”
ซิลคลี่แผ่นกระดาษออกมากาง สายตารีบเหลือบมองรายละเอียดทั้งหมดด้านใน ภาพตรงหน้าถูกวาดด้วยมือ แต่กลับเหมือนจริงจนน่าเหลือเชื่อ
คีลิงเกอร์ โจรสลัดวัยสามสิบกว่า ลักษณะเด่นหนีไม่พ้นคางเหลี่ยมและกว้าง
อาจารย์สอนภาพวาดมักชมเชยพรสวรรค์ของฉันเสมอ…ออเดรย์พึมพำพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
เด็กสาวเสริม
“อาณาจักรตั้งค่าหัวคีลิงเกอร์ไว้ หนึ่งหมื่นปอนด์ หากมันถูกจับกุม ผู้แจ้งเบาะแสทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งค่าหัว และไม่น่าจะต่ำกว่ารายละหนึ่งร้อยปอนด์”
เมื่อพูดจบประโยค ออเดรย์เหลือบเห็นดวงตาของซิล·เดียร์ชากำลังเปล่งประกายอย่างมีความหวัง
…เป็นไปตามแผน
……………………