Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 210

Lord of the Mysteries 210

ตอนที่ 210 : เรื่องราว

เขตชานเมืองทิงเก็น

ณ บ้านสนามหญ้าสีเขียวหลังหนึ่ง

บ้านเดี่ยวมาพร้อมสวนสวย แต่เริ่มเหี่ยวเฉาลงเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน เอกลักษณ์โดดเด่นของบ้านหลังนี้คือปล่องไฟสีแดงเข้ม

ภายในห้องนอนหลัก โต๊ะอ่านหนังสือตัวหนึ่งถูกวางชิดติดริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีสมุดบันทึกรูปลักษณ์แสนธรรมดาถูกเปิดค้างไว้

ฝ่ามือสีขาวซีดพลิกสมุดไปยังหน้าแรกสุด จากนั้นก็เปิดอ่านทีละหน้าอย่างรวดเร็วไปจนถึงหน้าสุดท้าย

ขณะหน้ากระดาษถูกพลิกจนเกิดเสียง ตัวหนังสือเนื้อความด้านในปรากฏผ่านสายตาอย่างเลือนรางเป็นระยะ

ใจความดังนี้ :

“รีเจนซ์ หนึ่งในสมาชิกลัทธิเร้นลับ ทำการขายสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นสมุดโบราณทั่วไป สาเหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าและอาการเห็นภาพหลอน เป็นความบังเอิญสมเหตุสมผล สมุดปรารถนาสายเลือดแท้จริงของตระกูลอันทีโกนัสอย่างแรงกล้า จึงมีชะตาให้ต้องเปลี่ยนเจ้าของหนแล้วหนเล่าโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งถูกส่งต่อมาถึงเมืองทิงเก็น เจ้าของใหม่คือสองสมาชิกชุมนุมแสงเหนือนามเฮเนส·วินเซนต์และซีริส·อลูพิส หลังจากเปิดสมุดอ่าน พวกมันรีบบันทึกเนื้อความด้านในอย่างคร่าว รวมถึงจดสูตรผลิตโอสถพกติดตัว ในภายหลัง เฮเนสและซีริสเริ่มหวาดกลัวว่าพวกตนอาจถูกนิกายเร้นลับตามล่า เมื่อปรึกษากันอย่างละเอียด ทั้งคู่ตัดสินใจเลี่ยงความเสี่ยงและขายสมุดให้กับบุคคลอื่น พวกมันไม่รอคำตอบจากมิสเตอร์ Z เพราะอีกฝ่ายอยู่ไกลถึงท่าเรือเอ็นมาร์ท จากคำแนะนำของซีริส เฮเนสมีโอกาสได้รู้จักกับเวิร์ช·แมคโกเวิน นักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้”

“หลังจากนั้น เฮเนสทำการขายสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสให้แมคโกเวินโดยอ้างว่าเป็นหนังสือโบราณหายาก ขณะเดียวกัน เป็นเพราะอิทธิพลจากเนื้อความในสมุดบันทึก ซีริสเริ่มหลงใหลสมบัติบนเทือกเขาโฮนาซิสโดยไม่รู้ตัว มันลงทุนเดินทางไปยังหอสมุดเพื่อค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับเทือกเขา และลงทะเบียนด้วยชื่อนามสกุลจริงเพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งนี้สอดคล้องกับอุปนิสัยเดิมของซีริส ในระหว่างรวบรวมข้อมูล ซีริสบังเอิญได้พบลาเนวุส ผู้กำลังศึกษารายละเอียดของเทือกเขาโฮนาซิสเช่นกัน เพราะเตรียมสร้างบริษัททำเหมืองเหล็กปลอมสำหรับฉ้อโกงประชาชน ซีริสชื่นชอบความบ้าคลั่งภายในจิตใจส่วนลึกของลาเนวุสมาก รวมถึงทักษะในการหลอกลวงปั่นหัวผู้คน จึงตัดสินใจชักชวนให้ลาเนวุสเข้าร่วมชุมนุมแสงเหนือด้วยกัน แต่แน่นอน ก่อนชักชวนมีการสืบประวัติอย่างละเอียดถ้วน”

“เมื่อเริ่มสนิทสนม ซีริสจึงเล่าพิธีกรรมนอกรีตให้ลาเนวุสฟังอย่างละเอียด เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้สร้างแท้จริง เพื่อให้ ‘ท่าน’ ส่งมอบทายาทลงมาจุติบนโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม โอกาสสำเร็จของพิธีกรรมนั้นต่ำมาก ซีริสจึงประเมินว่าลาเนวุสคงมิอาจทำให้เป็นจริงสำเร็จ จึงกล้าเล่ารายละเอียด ข้อกำหนดอันซับซ้อนวุ่นวายให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่บุคคลวิปลาสอย่างลาเนวุสกลับเกิดความสนใจ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญเมื่อพิธีกรรมสำเร็จ ผู้ประกอบพิธีกรรมจะถูกยอมรับโดยตัวตนระดับเทพ นับแต่นั้น ลาเนวุสจึงวางแผนควบคู่ระหว่างการฉ้อโกงบริษัทเหมืองเหล็กและการประกอบพิธีกรรมนอกรีต ขณะเดียวกัน ลาเนวุสจอมเจ้าเล่ห์ยังตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของซีริส แต่เพื่อเป้าหมายส่วนตัว มันไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายเกิดความระแวง ลาเนวุสตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนยูเก็นในโรงพยาบาลจิตเวชอีกครั้ง คนทั้งสองรู้จักมักจี่กันมานานแล้ว ต่างฝ่ายต่างทราบสถานการณ์ของกันและกันเป็นอย่างดี”

“หลังจากพิธีกรรมมืดเสร็จสิ้น เวิร์ช·แมคโกเวินและเพื่อนร่วมชั้นเสียชีวิตทันที ไคลน์·โมเร็ตติผู้ดวงแข็งกว่าเพื่อน ถูกอำนาจของสมุดบันทึกนำทางไปยังบ้านพักของรีเอล·บีเบอร์โดยไม่รู้ตัว มันคือชะตากรรมซึ่งถูกกำหนดไว้แล้ว”

หลายบรรทัดถูกขีดฆ่าและเขียนใหม่

“ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดและหาคำอธิบายไม่ได้ ไคลน์·โมเร็ตติไม่ได้ลงมือฆ่าตัวตายตามกำหนด มันยังมีชีวิตอยู่ ส่งผลให้สถานการณ์คลาดเคลื่อนเล็กน้อย หลังจากเหยี่ยวราตรีเริ่มสืบสวน ไคลน์ได้พบกับดันน์·สมิทผู้รับผิดชอบคดีการตายของแมคโกเวิน และเข้าร่วมเป็นสมาชิกหน่วยเหยี่ยวราตรีในภายหลัง ถึงเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไม่ตรงตามการเขียนของอินซ์·แซงวิลล์ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ภาพรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

“บาคุสและพี่น้องกำลังดวงตก พวกมันสูญเสียชิปพนันก้อนสุดท้ายและจมอยู่กับหนี้สินท่วมหัว เพื่อให้ได้เงินด่วน ทั้งสามตัดสินใจลักพาตัวและเรียกค่าไถ่จากตระกูลพ่อค้ามั่งคั่ง ขณะมองหาแหล่งกบดานเตรียมไว้สำหรับหลังก่อคดี พวกมันสนใจห้องว่างฝั่งตรงข้ามของหอพักรีเอล·บีเบอร์โดยบังเอิญ ในขณะนั้น รีเอล·บีเบอร์กำลังถูกอำนาจของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสล่อลวง เป้าหมายใหม่ของมันคือการย่อยพลังจากสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ”

“แต่พลังล่อลวงของสมุดบันทึกอันทีโกนัสรุนแรงเกินไป ส่งผลให้บีเบอร์ตกอยู่ในภาวะกึ่งเสียสติฉับพลัน และตัดสินใจหาจุดซ่อนตัวสำหรับย่อยพลังได้ไม่ดีนัก หลังจากทอดทิ้งมารดาผู้สิ้นลม มันยังไม่เดินทางออกจากเมืองทิงเก็น เพราะบีเบอร์ไม่สามารถหาจุดแอบย่อยพลังได้ดีกว่านี้อีกแล้ว ช่างน่าสมเพช ถ้ามันฉลาดกว่านี้ เรื่องราวอาจซับซ้อนและยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์การตัดสินใจอันย่ำแย่เกิดจาก สัญชาตญาณและสภาพจิตใจในภาวะกึ่งเสียสติ บาคุสกับพี่น้องทำการซื้ออาวุธปืนและลักพาตัวเอลเลียต บุตรชายคนสุดท้องของพ่อค้ายาสูบวิคโรลล์ เพื่อเรียกค่าไถ่มหาศาล แผนการเป็นไปอย่างราบรื่น พวกมันลักพาตัวคุณหนูเอลเลียตสำเร็จ และนำไปกักขังไว้ในแหล่งกบดานตรงข้ามอดีตห้องพักของบีเบอร์”

“พ่อบ้านใหญ่ตระกูลวิคโรลล์ถูกมอบหมายให้ออกไปจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยสักแห่ง แต่เนื่องจากความตายอันน่าสยดสยองของเวิร์ชและนาย่า บริษัทรักษาความปลอดภัยในเมืองทิงเก็นจึงมีงานล้นมือ ขณะกำลังจนปัญญา พ่อบ้านครีบังเอิญพบกับคนส่งของ จึงได้ทราบถึงตัวตนของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬเข้า เลียวนาร์ด·มิเชลและไคลน์·โมเร็ตติยอมรับงานสืบสวนครั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากพลังพิเศษ ปฏิบัติการแกะรอยโจรลักพาตัวจึงจบลงในระยะเวลาแสนสั้น ค่อนข้างน่าเสียดาย ไคลน์กลับยังไม่ตระหนักว่าห้องพักฝั่งตรงข้ามมีเบาะแสของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสหลงเหลืออยู่”

“อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณของไคลน์ช่วยให้ฝันถึงสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสในค่ำคืนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เหยี่ยวราตรีทิงเก็นจึงเริ่มลงมือแกะรอยสมุดบันทึกต่อโดยอาศัยเบาะแสภายในอดีตห้องพักบีเบอร์”

“สมบัติวิเศษ 2-049 ถูกส่งมาถึงทิงเก็น ด้วยความช่วยเหลือจากหุ่นกระบอกตระกูลอันทีโกนัส ดันน์·สมิทนำทีมเหยี่ยวราตรีแกะรอยหารีเอล·บีเบอร์จนพบตัว และเข้าไปขัดจังหวะการย่อยพลังได้ทันท่วงที บีเบอร์กลายเป็นสัตว์ประหลาด สถานการณ์ลุกลามจนนอกเหนือความควบคุม ลงเอยด้วย เหยี่ยวราตรีประสานงานอย่างชำนาญจนจัดการสัตว์ประหลาดไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็ถูกก่อกวนโดยสมาชิกจากลัทธิเร้นลับคนหนึ่ง”

มีบางบรรทัดถูกขีดฆ่าเพิ่ม

“เลียวนาร์ด·มิเชลผู้มีความลับติดตัวกำลังจะยุติเหตุการณ์อย่างราบรื่น แต่ก่อนจะได้ลงมือ ไคลน์ซึ่งควรถูกเล่นงานโดย 2-049 กลับสามารถสังหารผู้วิเศษลำดับ 7 จากลัทธิเร้นลับได้อย่างเป็นปริศนา แต่นั่นไม่ได้กระทบกับเรื่องราวภาพรวม ดันน์·สมิทสัมผัสกับสมุดบันทึกเป็นคนแรกและเปิดอ่านเนื้อความด้านใน นับแต่นั้น… ตัวมันก็เริ่มถูกกัดกร่อน”

“เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้น ลาเนวุสได้กล่อมให้ยูเก็นช่วยประกอบพิธีกรรมแสนสำคัญ พวกมันสองคนล่อลวงคู่หมั้นลาเนวุส เด็กสาวนามว่าเมกูส และหลอกใช้หล่อนเป็นภาชนะบรรจุทายาทของสิ่งมีชีวิตระดับเทพ ในทางความเป็นจริง ลาเนวุสแทบไม่มีโอกาสสำเร็จพิธีกรรมสวดอ้อนวอนต่อเทพด้วยพลังอันน้อยนิดของมัน”

“เพราะปัญหาใหญ่สุดคือ แม้ร่างกายเมกูสจะถูกปกป้องจากพลังของพิธีกรรม แต่เธอไม่มีทางรอดชีวิตจากการร่วมเพศกับร่างมายาของเทพได้แน่ ผลลัพธ์ควรออกมาเป็นความตายของเด็กสาวเมกูสใจกลางแท่นบูชา แต่อินซ์·แซงวิลล์ผู้ใจกว้างแอบช่วยเหลือลาเนวุสมาอย่างลับๆ มาพักใหญ่ มันแบ่งครึ่งตะกอนพลังจากซากศพทายาทแห่งมรณา และฝังลงในร่างเมกูสเพื่อให้เธอมีภูมิคุ้มกันต้านทานร่างมายาของเทพ ยูเก็นสะกดจิตเมกูสให้เข้าสู่ภาวะสะลึมสะลือ และหลอกให้เธอเข้าใจว่า ภาพมายาของพระผู้สร้างแท้จริงคือตัวลาเนวุส”

“อาศัยอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้นจากโรงงานรอบเมืองทิงเก็น พิธีกรรมจึงสำเร็จอย่างลุล่วง เมกูสตั้งครรภ์โดยมีทายาทของพระผู้สร้างแท้จริงอยู่ในท้อง พระผู้สร้างแท้จริงตระหนักว่าเรื่องราวทั้งหมดถูกจัดฉากและมีนัยแอบแฝงจากใครบางคน แต่ท่านผู้นั้นมิได้แยแส ยังคงส่งทายาทมาจุติบนโลกมนุษย์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายโซ่ตรวนของเจ็ดเทพหลัก พระผู้สร้างแท้จริงไม่ปฏิเสธลาเนวุส แต่นั่นได้ทำให้จิตใจยูเก็นถูกกัดกร่อน หลังจากพิธีกรรมสำเร็จ หมาบ้าลาเนวุสพลันกลับมามีเหตุและผลเหมือนมนุษย์ปรกติ”

“มันเริ่มตระหนักว่า หากทายาทของพระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติบนโลกสำเร็จ เครื่องสังเวยแรกคงหนีไม่พ้นตัวมันเองเป็นแน่แท้ มนุษย์จะเป็นบิดาของบุตรแห่งเทพได้อย่างไร? เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ต้องถูกกำจัดทิ้งเป็นลำดับแรกแน่นอน หลังจากคิดได้เมื่อสาย ลาเนวุสวางแผนเดินทางออกจากทิงเก็นเป็นการด่วน ก่อนไปได้พยายามทิ้งเบาะแสไว้ให้เหยี่ยวราตรี ทูตพิพากษา และจิตแห่งจักรกลรับทราบ เผื่อว่าหน่วยผู้วิเศษเหล่านี้อาจยับยั้งการจุติของเทพได้ทันท่วงที การกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังมาพร้อมบทเรียนราคาแพงเสมอ อย่างไรก็ตาม ลาเนวุสไม่ได้เขียนจนหมายถึงหน่วยผู้วิเศษโดยตรง แบบนั้นเท่ากับเป็นการประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าตนโง่เขลามากเพียงใด มันตัดสินใจทิ้งจดหมายไว้ในอดีตบ้านเช่า แสร้งทำเป็นเล่นเกมกับหน่วยผู้วิเศษ”

“หลังจากนั้น ลาเนวุสเผ่นหนีออกจากทิงเก็นอย่างสุดชีวิตพร้อมกับสมบัติติดตัวจำนวนหนึ่ง โดยไม่ได้นำยูเก็นซึ่งถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อนตามไปด้วย เพราะคนเสียสติไม่ต่างอะไรจากภาระ มันส่งจดหมายฉบับหนึ่งแจ้งซีริส·อลูพิสถึงสถานการณ์เบื้องต้น แต่ซีริสกลับไม่ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นความจริง เพราะอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการโป้ปด แถมโอกาสสำเร็จของพิธีกรรมก็มีเพียงน้อยนิดจนยากทำใจเชื่อลง”

“เซเลน่า·วู้ดบังเอิญได้ยินคาถาพิธีกรรมกระจกวิเศษของเฮเนส·วินเซนต์ อาจารย์สอนวิชาศาสตร์เร้นลับของเธอ แต่ความพยายามในการเลียนแบบพิธีกรรมถูกไคลน์·โมเร็ตติพบเข้าโดยบังเอิญ มันยับยั้งพิธีกรรมนอกรีตสำเร็จ ส่งผลให้เหตุการณ์ชาวเมืองทิงเก็นล้มตายเป็นจำนวนมากไม่เกิดขึ้น”

“ในค่ำคืนนั้นเอง เฮเนส·วินเซนต์ต้องจ่ายค่าความผิดพลาดราคาแพง เหยี่ยวราตรีทำการบุกจู่โจมบ้านพักของมันอย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ดันน์·สมิทบังเอิญเห็นนิมิตอันแจ่มชัดของพระผู้สร้างแท้จริงเข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังรอดพ้นการถูกกัดกร่อนจิตใจได้ฉิวเฉียด”

“ดันน์คือบุคคลสำคัญในแผนการ หากมันเป็นอะไรไป เบื้องบนของเหยี่ยวราตรีจะเกิดความสงสัยและส่งคนมาสืบหาสาเหตุแท้จริงเป็นแน่ นั่นคงยุ่งยากไปสักหน่อย อย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บรุนแรงได้กระตุ้นให้ภาวะถูกกัดกร่อนจากสมุดบันทึกอันทีโกนัสรุนแรงขึ้น อาการความจำเสื่อมแย่ลงทุกขณะ นั่นคือจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์”

มีบรรทัดถูกขีดฆ่าเพิ่มเติม

“น่าเหลือเชื่อมาก! ไคลน์·โมเร็ตติเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลลึกลับของอินซ์·แซงวิลล์ มันมองเห็นปล่องไฟสีแดงในนิมิต! ต้นตอเกิดจากการตักเตือนของอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้”

“อะซิก! บุรุษผู้เต็มไปด้วยปริศนา แต่ถึงอย่างนั้น การค้นพบความจริงของไคลน์ก็แปลกประหลาดและไม่สมเหตุสมผลเกินไป ไม่มีคำอธิบายจากเหตุการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม อินซ์·แซงวิลล์มิได้แยแส มันเลือกทำตามแผนการเดิมต่อไป เรื่องราวของเมืองทิงเก็นจึงดำเนินไปในลักษณะผิดแผก”

“ไคลน์·โมเร็ตติบังเอิญเผชิญหน้ากับซีริสในหอสมุด มันไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าทิ้ง สิ่งนี้ส่งผลให้เบาะแสเกี่ยวกับลาเนวุสถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์ พวกมันจึงค้นพบร่องรอยของหายนะครั้งใหญ่ได้ช้าลง”

“ไคลน์บังเอิญพบเมกูสในสโมสรพยากรณ์ แต่สัมผัสวิญญาณได้ยับยั้งการใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบ ส่งผลให้มันไม่พบความผิดปรกติบนร่างกายเธอ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผล เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นส่งเดช ไคลน์พยายามค้นหาปล่องไฟสีแดงอย่างสุดความสามารถ แต่โชคไม่ดีนัก มันเลือกเส้นทางตรวจสอบผิดทุกครั้ง คงใช้เวลาอีกราวสามเดือนข้างหน้า กว่าไคลน์จะพบปล่องไฟแดงของจริงในการค้นหาครั้งสุดท้าย”

บรรทัดแล้วบรรทัดเล่าถูกขีดฆ่า

หากบรรทัดใดไม่ถูกขีด จะขึ้นไปรวมกับข้อความด้านบนจนเกิดเป็นบทละครเรื่องยาว

“ปัญหาความจำเสื่อมของดันน์บรรเทาลงจากเดิมมากจนน่าตกใจ สาเหตุเพราะมันเริ่มเชี่ยวชาญเทคนิคสวมบทบาทแล้ว ผู้สอนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไคลน์·โมเร็ตติซึ่งบังเอิญได้แรงบันดาลใจจากดาลีย์·ซิโมเน่ และหลักปฏิบัติผู้ส่องความลับของนีลล์ อินซ์·แซงวิลล์ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนแผนการเล็กน้อย ปัจจัยภายนอกถูกเสริมเข้ามาในเรื่องราว อะซิกตัดสินใจออกจากทิงเก็นและเดินทางไปยังเบ็คลันด์เพื่อตามหาความทรงจำ หลังจากนั้นไม่นาน ไคลน์ได้พบเบาะแสจากยูเก็นในโรงพยาบาลจิตเวช”

“เพื่อให้มั่นใจว่าพรรคอนุรักษนิยมและพรรคหัวก้าวหน้าของเมืองทิงเก็นเป็นศัตรูกันอย่างรุนแรง ประกอบกับมาดามเชอรอนต้องการระบายความบ้าคลั่งหลังจากเลื่อนลำดับ เธอจึงตัดสินใจเสี่ยงก่อคดีฆาตกรรมจอห์น·เมย์นาร์ด แม้แรงรูงใจจะไม่ชัดเจน แต่เธอก็ยังลงมือตามแผนเดิม ธรรมชาติของมนุษย์นั้นซับซ้อนยากหยั่งถึง หลายครั้งหลายครา มนุษย์มักติดสินใจกระทำในสิ่งไร้เหตุผล และเธอกำลังอยู่ในสภาวะเช่นนั้น เหนือสิ่งอื่นใด เชอรอนมั่นใจในพลังของตัวเองและคิดว่าไม่มีทางถูกสาวถึงตัว”

“ภรรยาของจอห์น·เมย์นาร์ดเจาะจงเดินทางไปยังบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ เพื่อให้พวกเขาช่วยสืบหาความจริงเกี่ยวกับเชอรอน สิ่งนี้เป็นคำแนะนำจากพ่อค้ายาสูบวิคโรลล์ซึ่งอยู่ในแวดวงชั้นสูงด้วยกัน พวกมันไม่ทำให้เธอผิดหวัง ความผิดปรกติของมาดามเชอรอนถูกพบภายในไม่กี่วัน ดันน์·สมิทซึ่งมีพลังเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับ 6 ตัดสินใจลงมือในคืนนั้นทันที โดยฝากฝังให้โคเฮนรีใช้งานสมบัติวิเศษ 3-0271 เมื่อทั้งสองและโมเร็ตติเดินทางไปถึงบ้านมาดามเชอรอนบนถนนออสน่า ดันน์พยายามดึงหล่อนเข้าสู่ความฝันจากระยะไกล”

“เป็นแผนการแยบยลและมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่โชคไม่ดีนัก มาดามเชอรอนบังเอิญนำเทวรูปแม่มดบรรพกาลไว้ข้างตัวพอดี แผนการเหยี่ยวราตรีล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม โคเฮนรีรีบใช้กระจกอย่างลนลาน แต่นั่นเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง มันมองเห็นกระจกสะท้อนภายในกระจก และผลลัพธ์ของสมบัติวิเศษ 3-0271 ออกมาเลวร้ายสุดขีด โคเฮนรีมองเห็นใบหน้าตัวเองภายในนั้น”

“มาดามเชอรอนจัดการโคเฮนรีในสภาพบ้าคลั่งได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เธอก็หลีกหนีความตายของตัวเองไม่พ้นเช่นกัน ความตายของโคเฮนรีทำให้ดันน์ตำหนิตัวเองอย่างหนัก มันตัดสินใจกินตะกอนพลังของโคเฮนรีเหมือนทุกครั้ง ส่งผลให้ความเร็วในการย่อยโอสถต่ำลงกะทันหัน สภาพจิตใจของดันน์เริ่มไม่มั่นคง”

“ในวันถัดมา เลียวนาร์ดและไคลน์สืบสวนจนได้พบจดหมายลาเนวุส เมกูสจึงถูกอำนาจลึกลับสะกดจิตให้เดินทางมายังถนนซุตแลนและแวะบริษัทหนามทมิฬ เธอเดินขึ้นบันไดพร้อมกับทารกในครรภ์ซึ่งใกล้คลอดเต็มแก่ ไม่มีใครหยุดยั้งเมกูสได้ ดันน์ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนเหยี่ยวราตรีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มันทำพลาดไปหนึ่งเรื่อง หากมันล่อลวงเมกูสเข้าไปด้านหลังประตูยานิสสำเร็จ โอกาสชนะจะเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพราะมีตัวช่วยมากมายอย่างสมบัติวิเศษและผนึกรุนแรงด้านหลังประตู หรือถ้าต้องการรอกำลังเสริมจริง มันก็ไม่ควรนำกล่องเถ้ากระดูกของพระแม่เซเลน่าออกมาจากประตูยานิส”

“อย่างไรก็ตาม จิตใจดันน์ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่งผลให้การตัดสินใจไม่ใช่ทางเลือกเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บุตรแห่งเทพตระหนักถึงแรงคุกคามมหาศาลจากเถ้ากระดูกพระแม่เซเลน่า มันถูกกระตุ้นให้ขโมยพลังบางส่วนจากมารดา เพื่อเร่งให้ตัวเองลืมตาดูโลกได้เร็วกว่าปรกติ แม้จะไม่ใช่ร่างสมบูรณ์ก็ตาม อะซิกในกรุงเบ็คลันด์ถูกแจ้งเหตุด่วนจากไคลน์ แต่เนื่องจากมันไม่ใช่ ‘นักท่องเที่ยว’ จึงมิอาจกลับมาช่วยเมืองทิงเก็นได้ทันท่วงที”

สองสามบรรทัดถูกขีดฆ่า

“เมกูสกลายเป็นสัตว์ประหลาด การต่อสู้อันเข้มข้นเริ่มขึ้นภายในห้องรับแขก ด้วยการผนึกกำลังของเถ้ากระดูกพระแม่เซเลน่า เส้นเลือดหัวขโมย และยันต์ระดับสูงพิสดารไม่ทราบต้นตอ ผลลัพธ์คือเมกูสถูกจัดการ ส่วนทารกในครรภ์ได้หายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์”

“ดันน์·สมิทเสียชีวิต พลังอำนาจของเถ้ากระดูกพระแม่เซเลน่าเสื่อมลงหลายส่วน เป็นผลลัพธ์ในอุดมคติของอินซ์·แซงวิลล์ มันอาจไม่เคยปรากฏตัวบทเวทีของตัวเองเลยสักครั้ง แต่อินซ์·แซงวิลล์ก็ไม่พลาดการเก็บเกี่ยวจุดประสงค์แท้จริงซึ่งถูกวางแผนมาอย่างยาวนาน มันสังหารไคลน์·โมเร็ตติผู้ขัดขวางแผนการหนแล้วหนเล่า จากนั้นก็นำกล่องเถ้ากระดูกของพระแม่เซเลน่าติดตัวไปด้วย อินซ์·แซงวิลล์ใช้อีกครึ่งหนึ่งของตะกอนพลังจากซากศพทายาทมรณา ประกอบพิธีกรรมครั้งสุดท้าย”

“เมื่อรวมเข้ากับเถ้ากระดูกพระแม่เซเลน่า ผลลัพธ์ของพิธีกรรมนำไปสู่การเลื่อนลำดับพลังผู้วิเศษของมัน จากลำดับ 5 เส้นทางมรณา ‘ผู้เฝ้าประตู’ กลายเป็นลำดับ 4 เส้นทางรัตติกาล ผู้พิทักษ์ราตรี เพียงเท่านี้ อินซ์·แซงวิลล์ได้กลายเป็นตัวตนระดับครึ่งเทพสมความปรารถนา ดวงอาทิตย์ยังคงสาดแสงไปรอบเมือง แทบไม่มีใครในทิงเก็นตระหนักว่า พวกมันเพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวงมาอย่างฉิวเฉียด สัตว์ประหลาด อเดมิทอร์ ในตลาดมืดค้าของเก่าคงเกิดความสับสนกับเรื่องนี้มาก เหตุไฉนนิมิตฝันของตนถึงไม่เป็นความจริง”

สมุดบันทึกถูกพลิกไปยังหน้าสุดท้าย

ชายวัยกลางคนกำลังนั่งจับแผ่นกระดาษ

ผมสีทอง นัยน์ตาน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ จมูกโด่ง ปากทรงกระจับ รูปลักษณ์คล้ายคลึงรูปปั้นโบราณ ใบหน้าปราศจากรอยเหี่ยวย่น

มันกำลังถือปากกาขนนกทรงโบราณด้วยฝ่ามือซีดเผือด ข้อมือบรรจงตวัดเขียนอักษรสีเข้มลงบนแผ่นกระดาษโดยไม่ต้องจุ่มหมึก

มันลงท้ายประโยคด้วยข้อความเรียบง่าย

“เรื่องราวในเมืองทิงเก็นจบลงเท่านี้”

แผ่นกระดาษส่งเสียงครืดขณะใช้มือปิดสมุด เหลือทิ้งไว้เพียงปกหนังสีน้ำตาล

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version