ตอนที่ 225 : แอบชี้นำ
ไคลน์เดินกลับมายังทางแยกโดยไม่ได้แตะต้องศพของเซอเรียล
กึกๆ ๆ .
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังกะทันหันจากระยะไกล กังวานทั่วทางระบายน้ำอันควรจะปลอดผู้คน
ไคลน์ตั้งใจฟังราวสามวินาทีก่อนตัดสินใจรีบหนีไปยังทางออกด้วยความเร็วสูงสุด พื้นท่อสองข้างทางเป็นคอนกรีตสกปรกแถมยังเหนียวเหนอะ
ไม่มีเหตุผลให้ตนต้องเสี่ยงอันตรายเกินความจำเป็น ไคลน์ปิดฝาท่อทันทีหลังจากตะเกียกตะกายขึ้นมาข้างบนสำเร็จ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติรอบตัว มันเดินกลับไปยังห้องพักในเขตตะวันออกเพื่อถอดอุปกรณ์ปลอมตัว
ถัดมา ไคลน์สวมแว่นตากรอบทองเดินไปยังถนนอีกสาย ตามด้วยการเช่ารถม้ากลับไปยังเขตเชอร์วู้ดอันเงียบงันและเย็นเฉียบในเวลาตีสาม
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มุ่งหน้าไปยังถนนมินส์ในทันที ไคลน์เดินวนอยู่ในเขตเชอร์วู้ดพักใหญ่จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตามจึงกลับเข้าบ้านอย่างสบายใจในตอนท้าย
ชายหนุ่มนอนหลับถึงรุ่งสางโดยถูกเสียงกริ่งบ้านปลุกให้ตื่น มันรีบดีดตัวลุกยืน สวมเชิ้ตและติดกระดุมเสื้อกั๊ก ก่อนจะเดินไปลงยังชั้นล่างเพื่อเปิดประตูต้อนรับแขก
ขณะฝ่ามือกำลูกบิด ภาพนิมิตของผู้มาเยือนผุดขึ้นในสมองอีกครั้ง พลังตัวตลกช่างสะดวกสบายเสียจริง
อีกฝ่ายสวมโค้ทเก่า หมวกทรงกลม และกระเป๋าสะพายขาดรุ่งริ่ง ดวงตาสีแดงสว่าง ใบหน้าค่อนไปทางดูดี แต่แฝงความกระวนกระวายไว้พอสมควร
เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากเอียน เด็กหนุ่มผู้จ้างวานให้ตนสืบคดีเมื่อวาน
“อรุณสวัสดิ์ นักสืบโมเรียตี้”
เอียนทักทายพลางมองไปรอบตัว
“มีความคืบหน้าไหมครับ เอ่อ…ผมแวะมาถามเพราะบ้านคุณเป็นทางผ่าน”
ไคลน์ผงกศีรษะหนักแน่น
“มี”
“…”
เอียนผงะทันที มันตะลึงจนไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน แต่หลังจากได้สติ เด็กหนุ่มรีบถามตะกุกตะกัก
“คุณทราบสถานะของมิสเตอร์เซอเรียลแล้วหรือยัง”
“แน่นอน”
ไคลน์เว้นวรรค
“ผมพบศพเซอเรียลแล้ว”
“ศพ…”
ตาดำเอียนหดเกร็งขณะพึมพำเสียงค่อย เด็กหนุ่มไม่ประหลาดใจเกินพอดี คล้ายกับคาดเดาผลลัพธ์เลวร้ายไว้ล่วงหน้าแล้ว ทางด้านไคลน์ทำเพียงจ้องมองโดยไม่สอดแทรก
“เฮ้อ…”
เอียนถอนหายใจพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจรอบตัวอีกครั้ง
“คุณทำงานได้รวดเร็วจนน่าทึ่ง รบกวนช่วยพาผมไปดูศพของนักสืบเซอเรียลได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา ผมตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“แล้วก็ขอความร่วมมือไม่เอ่ยชื่อผมกับทางตำรวจจะเป็นการดีกว่าถ้าคุณบอกกับพวกเขาว่าพบศพด้วยตัวเอง คงพอจะแต่งเรื่องได้ใช่ไหม”
เอียนไม่ประหลาดใจ มันทราบดีว่านักสืบส่วนใหญ่ไม่ต้องการเผชิญหน้าตำรวจ นอกเสียจากจะเป็นประเภทชื่อเสียงโด่งดังมาก ถึงขนาดตำรวจต้องขอความเห็นเกี่ยวกับรูปคดี
แต่นอกเหนือจากนักสืบกลุ่มนี้นักสืบเอกชนปกติจะถูกกีดกันอย่างรุนแรง หลายครั้งมักถูกตำรวจขับไล่จากจุดเกิดเหตุ บางรายถึงขนาดถูกตำรวจเจาะจงตั้งข้อกล่าวหา
นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมนักสืบในอาณาจักรโลเอ็น
“ได้ครับ” เอียนรับปากอย่างว่าง่าย
เมื่อประเมินว่าจะต้องลงไปในท่อระบายน้ำ ไคลน์เปลี่ยนเคลื่อนแต่งกายเป็นชุดคนงานราคาถูก สวมหมวกแก๊ปล่ากวาง พร้อมกับถือตะเกียงหนึ่งดวง จากนั้นคนทั้งสองเช่ารถม้าเดินทางไปยังเขตตะวันออก
พวกมันเดินเท้าอีกกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งมาถึงฝาท่อระบายน้ำค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ไคลน์เลื่อนเปิดฝาและนำทางลงไปท่ามกลางสายตาคนหมู่มาก บ้างจ้องมองอย่างเหม่อลอย บ้างจ้องด้วยท่าทีมุ่งร้าย
“คุณพบเขาได้อย่างไร”
เอียนซักถามกึ่งสงสัยกึ่งประหลาดใจ สายตาเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองไคลน์ปีนบันไดโลหะลงไปข้างล่าง
แม้สมาธิไคลน์จะจดจ่ออยู่กับพื้น แต่ก็ส่งเสียงตอบกลับไปอย่างผ่อนคลาย
“ฝึกฝนศาสตร์หลายแขนงอย่างหนัก มีทั้งการหาเหตุผล การอนุมาน การสืบสวน การสะกดรอย และการสอบปากคำ”
ระหว่างเอียนกำลังปีนบันไดตามลงมา มันพยักหน้ารับโดยไม่แสดงท่าทางรังเกียจกลิ่นเหม็นบัดซบ
“…คุณผ่านการฝึกของมืออาชีพมาหรือ”
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงจุดตะเกียงและเดินนำทางไปถึงสามแยก ตามด้วยการพาเลี้ยวเข้าไปยังมุมอับแห่งหนึ่งของท่อน้ำทิ้ง
เมื่อถึงสุดทาง มันขมวดคิ้วทันที เพราะซากศพเซอเรียลแหว่งโหว่ไปจากเมื่อคืนค่อนข้างมาก ปัจจุบัน แขนหายไปแล้วหนึ่งข้างรวมถึงกระดูกซี่โครงเกินกว่าครึ่ง
‘ลำพังหนูทำแบบนี้ไม่ได้แน่…’
ไคลน์รำพัน แต่ไม่ได้บอกกับเอียน
ด้วยแสงจากตะเกียงเด็กหนุ่มจึงเห็นใบหน้าของศพเต็มสองตา ทันใดนั้นเอียนทรุดนั่งยองพร้อมกับอาเจียนคำโต ของเหลวสีเขียวขุ่นถูกสำรอกออกจากปากเป็นระยะ
ไคลน์หยิบขวดน้ำมันครักซ์ออกมาเปิดฝาและโน้มตัวลงไปจ่อตรงปลายจมูกเอียน สีหน้าแววตาเด็กหนุ่มดีขึ้นทันตาเห็น จิตใจของมันเริ่มสงบลงหลายส่วน
ราวสามสิบวินาทีถัดมา เอียนเปล่งเสียงแผ่วเบาอย่างอ่อนแรง
“ขอบคุณมาก…”
ถัดมา เด็กหนุ่มบรรจงยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตาเพ่งพิจารณาศพไม่สมประกอบราวสองสามรอบจนมั่นใจ
“ไม่ผิดแน่ นี่คือนักสืบเซอเรียล”
“ขอแสดงความเสียใจด้วย”
ไคลน์ตอบอย่างสุภาพ
“ผมแนะนำให้เรียกตำรวจ”
“ตกลง”
เอียนพยักหน้ารับ ตามด้วยการเดินตามหลังไคลน์กลับขึ้นไปบนผิวถนน เมื่อพ้นจากฝาท่อระบายน้ำ ไคลน์ประสานมือตรงหน้าพร้อมกับหันมากล่าว
“ภารกิจของผมจบแล้ว คุณต้องจัดการเรื่องราวหลังจากนี้ด้วยตัวเอง”
เอียนเงียบไปสามวินาที
“ผมยังติดค้างคุณสามเรื่อง เชิญบอกความต้องการมาได้เลย”
“ว่ากันตามตรงผมเพิ่งนึกออกแค่เรื่องเดียวในตอนนี้”
ไคลน์ตอบเถรตรง
“ผมต้องการทราบแหล่งซื้อปืนและเครื่องกระสุน โดยไม่ต้องใช้ใบอนุญาตตัวเต็ม”
เอียนตอบกลับทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
“ไปยังเขตสะพานเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ผับวีรชน ตามหาคาสปาส·คันลินิง บอกกับเขาว่า ‘สหายเก่าแก่’ แนะนำมา”
“ตกลง ส่วนอีกสองเรื่องไว้ผมค่อยแจ้งความต้องการในอนาคต สัมผัสได้ว่าพวกเราคงพบกันอีก”
ไคลน์พยักหน้าเชิงขอบคุณสำหรับคำตอบ ส่วนเอียนจ้องมองชายหนุ่มสักพักโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม จากนั้น ทั้งสองแยกย้ายไปยังถนนคนละเส้นในเขตตะวันออก ทำตัวราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
……..
ระหว่างกำลังเดิน ไคลน์ชะงักฝีเท้าพลางเดินย้อนรอยกลับมายังจุดใกล้กับฝาท่อ ตามด้วยการยืนหลบมุมอับ สายตาคอยสอดส่องฝ่าท่อเป็นระยะ
ผ่านไปราวสามนาที มันเห็นเอียนวกกลับมาพร้อมกับกวาดสายตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ไคลน์รีบขยับหลบในจังหวะเหมาะสม เอนหลังแนบพิงกำแพงพลางใช้หูฟังเสียงแทน
ไม่ผิดคาดเป็นเสียงโลหะขูดกับคอนกรีต ฝาท่อถูกเปิดอีกครั้ง พร้อมกับเสียงใครบางคนปีนบันไดลงไป ไคลน์รีบชะโงกหน้ามอง และพบว่าเอียนกลับลงไปในทางระบายน้ำอีกครั้ง
‘มีเบาะแสเพิ่มเติม หรือว่ามีบางสิ่งต้องนำออกจากศพเซอเรียล? เรื่องนี้คงมีเงื่อนงำซับซ้อนกว่าจินตนาการเรามาก’
ไคลน์ผงกศีรษะไตร่ตรอง
หลังจากยืนใช้ความคิดจนพอใจ มันหันหลังกลับของจริง และวางแผนไปหามิสเตอร์คาสปาสในอีกสองวันข้างหน้า
……..
ณ เขตราชินี บ้านไวเคาต์กายลิน
ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาดื่มชา
ประตูห้องอ่านหนังสือถูกลงกลอนมิดชิด แบ่งแยกสี่บุคคลด้านในและแขกซาลอนด้านนอกโดยสมบูรณ์
“ซิล ฟอร์ส นี่คือรางวัลของพวกคุณ”
ออเดรย์ในเดรสลูกไม้สีเหลืองอ่อน ทำการผลักถุงกระดาษบวมพอง ข้ามโต๊ะไปหาสองสาวฝั่งตรงกันข้าม ซิลต้องการกล่าวบางสิ่งเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แต่มือของเธอเอื้อมแตะถุงกระดาษได้เร็วกว่าปาก
เมื่อสัมผัสถึงน้ำหนักของเงินตรา สาวร่างเล็กหันมากล่าวกับออเดรย์อย่างจริงใจ
“มิสออเดรย์ ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อ ความซื่อตรงของคุณได้ส่งเสริมให้ใบหน้าและผิวพรรณเลอโฉมยิ่งกว่าเก่า”
ขณะกล่าวเยินยอ หญิงสาวรีบคลายเชือกรอบปากถุงและสำรวจเงินด้านในด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ธนบัตรสีเทาแถบดำวางเรียงรายหลายปึก แต่ละปึกค่อนข้างหนา กลิ่นหมึกพิมพ์โชยเข้มข้น หากใครได้สูดดมเป็นต้องสดชื่นหายเหนื่อย
“สิบปอนด์…”
ซิลขยับปึกธนบัตรเพื่ออ่านตัวเลขบนผิวกระดาษ ด้านข้างเป็นฟอร์สผู้เกียจคร้านและไม่แยแสเงินทอง แต่คราวนี้กลับเอนตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เห็นเต็มสองตา
‘นี่มันไม่ต่ำกว่า…’
เมื่อเห็นความหนา ซิลพยายามนับว่าในหนึ่งปึกมีธนบัตรทั้งสิ้นกี่ใบ หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง สองสาวหันมองตากันด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด
จำนวนเงินมากกว่าในจินตนาการของพวกหล่อนเป็นเท่าตัว!
ออเดรย์ยกมุมปากเล็กน้อย
“ทั้งหมดแปดร้อยปอนด์ แต่พวกคุณสองคนต้องนำเงินไปแบ่งกันเอง และขอแสดงความเสียใจย้อนหลัง กับการทำให้พวกคุณต้องเผชิญหน้าอันตราย”
‘แปดร้อยปอนด์…พวกเราไม่ต้องการคำขอโทษเลยสักนิด! ต่อให้ทราบล่วงหน้าว่ามีอันตรายรออยู่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะเลือกทำมันอยู่ดี! แม้จะแบ่งครึ่งอย่างเท่าเทียม แต่เมื่อรวมกับเงินออมของเรา จำนวนนี้จะเพียงพอสำหรับซื้อสูตรโอสถเจ้าพนักงาน!’
หญิงสาวผู้สูงเกินหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตรไม่มากอย่างซิลกำลังจ้องมองปึกธนบัตรภายในถุงกระดาษด้วยใบหน้าเหม่อลอย ส่วนลึกของจิตใจปรารถนาจะหยิบพวกมันออกมาบรรจงนับอย่างละเอียดถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พวกเธอเชื่อว่า ก้อนทองเดินได้อย่างเด็กสาวทายาทตระกูลฮอลล์ไม่มีทางคดโกง แต่อีกฝ่ายก็อาจนับจำนวนผิดได้เช่นกัน
ทุกคนผิดพลาดกันได้!
ซิลยกมือขวาค้างไว้หลายวินาที ก่อนจะลดมันลงจุดเดิมอย่างเงียบงัน มุมปากฟอร์สพลันกระตุกเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เธอกล่าวกับเพื่อนสาวด้วยเสียงอ่อย
“เงินจำนวนนี้ มากกว่าค่าลิขสิทธิ์นิยายคฤหาสน์วายุสลาตันของฉันเสียอีก…”
‘ควรสรรเสริญความมั่งคังของมิสออเดรย์ หรือตัดพ้อความไส้แห้งของอาชีพนักเขียนดี’
ฟอร์สรำพันเงียบงัน
ในเวลาเดียวกันไวเคาต์กายลินบนโซฟากำลังเกิดความอิจฉาสถานหนัก แต่ไม่ได้มีต่อฟอร์สและซิล สำหรับไวเคาต์อย่างมัน เงินจำนวนแปดร้อยปอนด์ถือว่าไม่มากมาย บ่อเกิดความอิจฉาของมันมาจากออเดรย์ เด็กสาวผู้แจกจ่ายเงินแปดร้อยปอนด์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แฮ่ม…” กายลินกระแอมในลำคอ
“ถ้าพวกคุณสามารถหาสูตรผลิตนักปรุงยามาให้ผมได้ ขอรับรองว่าจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างงามไม่แพ้กัน”
“พวกเราจะพยายามค่ะ!”
ซิลตอบโดยไม่ลังเล ก่อนชำเลืองมองทางเด็กสาวผมทอง
“เมื่อไม่นานมานี้ พวกเรามีโอกาสได้พบผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกสมาคมแปรจิต อีกไม่นานคงได้เบาะแสของโอสถผู้ชมตามความต้องการของคุณ”
‘ซิลเอ๋ย…ฉันลำดับ 8 แล้ว แข็งแกร่งกว่าเธอมาก!’
ออเดรย์ยิ้มสงวนกิริยาพลางตอบกลับ
“แล้วจะรอนะคะ”
เมื่อกล่าวจบทั้งสี่คนเปลี่ยนไปสนทนาหัวข้อเกี่ยวกับข่าวลือน่าสนใจภายในชุมนุมผู้วิเศษอื่นๆ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาอ่านหนังสือตามคำแนะนำของออเดรย์
ทันใดนั้นสายตาซิลลุกวาวเมื่อได้เห็นหนังสือปกแข็งสองเล่ม ชื่อว่า ‘ประวัติตระกูลขุนนางโลเอ็น’ และ ‘จำแนกตราประจำตระกูลขุนนางอย่างละเอียด’
ขณะเดียวกัน ทางฟอร์สก็ได้พบหนังสือน่าสนใจสำหรับเธอเช่นกัน มันคือ ‘ภูมิศาสตร์และประชากรของจักรพรรดิฟุซัค’ และ ‘ท่องเที่ยวทวีปเหนือ’
“ท่านไวเคาต์กายลิน ไม่ทราบว่าดิฉันยืมหนังสือเหล่านี้ได้ไหม แล้วจะรีบคืนโดยเร็ว!”
ซิลจ้องมองเจ้าของหนังสือตัวจริงด้วยสายตาเว้าวอน ทางด้านกายลินผงกศีรษะรับโดยไม่ได้แยแสสักเท่าใดนัก
“ไม่มีปัญหา”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ฟอร์สรีบร้องขอในแบบเดียวกัน และกายลินก็ตอบเหมือนเดิม
มุมปากออเดรย์ยกโค้งอย่างมีเลศนัยขณะเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้า เธอชำเลืองมองด้านข้างเล็กน้อยพอเป็นพิธี แสร้งว่ากำลังมองหาหนังสืออ่าน
ในฐานะผู้ชมมากประสบการณ์และเพิ่งเลื่อนลำดับ หลังจากเคยพบกับซิลและฟอร์สหลายหน ออเดรย์สามารถเดาได้ว่าทั้งสองสนใจด้านใด และชื่นชอบหนังสือประเภทไหนเป็นพิเศษ จึงไม่มีใครทราบว่า การเลือกยืมหนังสือของทั้งคู่ล้วนอยู่ในการคำนวณของเด็กสาวทั้งหมด
สามารถชักนำให้ผู้อื่นเดินไปในทิศทางที่ตนปรารถนา สิ่งนี้คือหนึ่งในพลังอันน่าทึ่งของเส้นทางผู้ชม
………
ตกเย็นวันเดียวกัน ซิลกำลังขดตัวบนโซฟาหน้าเตาผิง อาศัยแสงตะเกียงแก๊สภายในห้อง สมาธิของเธอจดจ่อกับหนังสือประวัติศาสตร์ขุนนางอาณาจักรโลเอ็น ส่วนทางฟอร์สต้องไปงานพบปะระหว่างนักเขียนนิยายด้วยกัน
หลังจากอ่านไปได้สักพัก ซิลพบความผิดปกติบนปกหนังสือด้านหลัง จึงพยายามตรวจสอบ จนพบแผ่นกระดาษเก่าแก่ซ่อนอยู่ระหว่างชั้นปกหนา
แผ่นกระดาษด้านหน้าเต็มไปด้วยสัญลักษณ์พิเศษของโรซายล์ ส่วนด้านหลังมีภาษาเฮอร์มิสโบราณเขียนไว้หนึ่งย่อหน้า
“บรรพบุรุษของไวเคาต์กายลินพยายามถอดสัญลักษณ์ของจักรพรรดิโรซายล์หรือ”
ซิลแสดงสีหน้าตื่นเต้น เธอพยายามอ่านภาษาเฮอร์มิสโบราณด้านหลังด้วยเสียงค่อย
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
…………..