Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 273

Lord of the Mysteries 273

ตอนที่ 273 : ปล่อยสูตรโอสถ

ค่ำวันพุธ

19.55 น

ณ ซอยลึกหลังผับวีรบุรุษ

ไคลน์เดินตามหาจุดหมายโดยอาศัยความทรงจำ จนกระทั่งได้พบบ้านเปิดไฟสลัวอันเป็นจุดหมาย ใบหน้าชายหนุ่มถูกบดบังด้วยหนวดเคราหนาทึบ สมาชิกคนอื่นไม่ทางทราบแน่นอนว่า ตนคือไก่อ่อนผู้เคยเสี่ยงโชคกับอสรพิษดำและรอดชีวิตมาได้

จะสมบูรณ์แบบกว่านี้ ถ้ามิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาและนักปรุงยาร่างท้วมแยกไม่ออกว่าเป็นเรา…มิฉะนั้นคงวุ่นวายน่าดู ถ้าเด็กใหม่เพิ่งกลายเป็นผู้วิเศษได้ไม่นาน แถมยังเพราะโชคช่วย กลับครอบครองสูตรโอสถพิสดารจำนวนมากในมือ แบบนั้นคงเลี่ยงการถูกสงสัยไม่ได้แน่…ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ควานหานกหวีดทองแดงอะซิก ไพ่ทาโรต์ และยันต์แผ่นใหม่เพิ่งสร้างมาเติม

ชุดคนงานของมันถูกดัดแปลงเป็นพิเศษโดยช่างตัดเย็บฝีมือดี มีช่องเล็กช่องน้อยสำหรับบรรจุขวดโลหะ ประกอบด้วยขวดผงสมุนไพร น้ำมันสกัด และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพ่นออกอย่างเชื่องช้า เมื่อเริ่มใจเย็นลง ไคลน์หยิบหน้ากากเหล็กออกมาสวม ปกปิดส่วนครึ่งบนของใบหน้าไว้มิดชิด ส่วนครึ่งล่างเป็นหนวดเคราเฟิ้ม การปลอมตัวเพิ่มเติมจึงไม่จำเป็น

ถัดมา มันอาศัยพลังตัวตลกควบคุมสีหน้า รวมถึงดัดแปลงอากัปกิริยาใหม่หมด เปลี่ยนจังหวะการก้าวขา ยังคงให้กล้ามเนื้อใบหน้าไร้ความรู้สึก หวังให้กลิ่นอายแตกต่างจากไก่อ่อนคราวก่อนโดยสิ้นเชิง

แต่เราไม่มีทางทราบเลยว่า มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาใช้พลังใดจำแนกสมาชิก ช่างเถอะ เราทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว เฮ่อ…ถ้าได้กลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ หลายสิ่งหลายอย่างคงสะดวกกว่านี้มาก…แต่ถ้าเราแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเข้าร่วมชุมนุมเล็กๆ แบบนี้สักหน่อย…ไคลน์ยืนหน้าบ้านด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะเหยียดแขนขวาออกไปเคาะหนักเจ็ดครั้ง เคาะเบาหนึ่งครั้ง โดยเป็นการเว้นยาวหกครั้ง และเว้นสั้นหนึ่งครั้ง

แทบจะในทันที ช่องว่างเล็กๆ ด้านบนประตูไม้ถูกเลื่อนเปิด ดวงตาหนึ่งคู่โผล่ขึ้นพลางจ้องมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า

สองสามวินาทีถัดมา ประตูไม้เปิดออกพร้อมกับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ผู้ช่วยของเนตรแห่งปัญญายื่นชุดคลุมยาวสีดำให้ไคลน์

ชายหนุ่มยังคงทำหน้าตาย มันรีบสวมชุดคลุมด้วยความเร็ว ตามด้วยการดึงผ้าคลุมหัวลงต่ำ ปล่อยให้เงามืดบดบังใบหน้ามิดชิด

ระหว่างเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ไคลน์พยายามเปลี่ยนจังหวะการก้าวขา ไม่ให้ซ้ำกับไก่อ่อนคนเดิม ขณะเดียวกัน สมองพยายามขจัดอาการประหม่า

ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดและเงียบสงัด เทียนไขหนึ่งเล่มคอยให้แสงสว่างอย่างอ่อนโยนไปรอบห้อง สมาชิกยังมาถึงไม่มากนัก ชายหนุ่มมิได้เลือกนั่งมุมห้องเหมือนทุกครั้ง ตรงกันข้าม มันเจาะจงเลือกนั่งเก้าอี้ยกสูงแบบไม่มีพนักพิงตรงกลางห้องแทน

ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ทุกคนจดจำได้ว่า ตัวมันในปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับไก่อ่อนเสี่ยงโชคจากการชุมนุมสองครั้งก่อน

ขณะเดียวกันก็มีเจตนารีดเค้นพลังตัวตลกจนถึงขีดสุด ไคลน์พยายามปั้นสีหน้าให้ขัดกับอารมณ์จริงเข้าไว้ เฉกเช่นตัวตลกผู้ต้องแสร้งสวมรอยยิ้มตลอดเวลา ถือเป็นการย่อยโอสถไปทีละนิดอย่างมั่นคง

บรรยากาศภายในห้องเงียบงันยาวนาน แทบไม่มีสุ้มเสียงใดเกิดขึ้น ทุกคนนั่งนิ่งโดยปล่อยเวลาให้เลือนผ่านทีละนิด จนกระทั่ง ชายชราเนตรแห่งปัญญา เหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนังและเปิดปาก

“ถึงเวลาแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า พวกเราจะไม่มัวรอเหล่าสหายผิดนัด”

เมื่อสิ้นเสียงเจ้าของงาน ไคลน์แสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ฉันต้องการขายสูตรโอสถ เส้นทางสุริยัน ลำดับแปด นักขับขาน และลำดับเก้า ผู้ภาวนาแห่งแสง อย่างแรก สองร้อยยี่สิบปอนด์ อย่างหลัง สี่ร้อยห้าสิบปอนด์”

ไคลน์ประเมินว่า การขายสูตรโอสถเส้นทางสุริยันจะปลอดภัยกว่าตัวเลือกอื่น เพราะถ้าเป็นเส้นทางผู้ชม อย่างโอสถผู้ชมและนักอ่านใจ ตัวมันอาจตกเป็นเป้าเพ่งเล็งของสมาคมแปรจิตเอาได้ มันเคยทราบมาว่า องค์กรดังกล่าวมีสมาชิกแทรกซึมในอาณาจักรโลเอ็นค่อนข้างมาก แต่ถ้าเป็นเส้นทางสุริยัน สิ่งนี้ปลอดภัยห่างห่วง เพราะโบสถ์สุริยันเจิดจรัสขัดแย้งกับโบสถ์วายุสลาตันรุนแรง อาณาจักรโลเอ็นจึงไม่มีศาสนาสุริยัน การขายโอสถพวกมันนับว่าปลอดภัย

ทางด้านโอสถนักทำนายก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะอาจทำให้ถูกสาวมาถึงตัวเองในภายหลัง มันจำต้องตัดความเสี่ยงทุกทางทิ้ง

หลังจากผ่านความเป็นความตายมาแล้วหลายหน เคยเห็นการต่อสู้ของผู้วิเศษผ่านตาพอสมควร ตัวมันย่อมบรรลุสัจธรรมว่า โอสถทุกชนิดมีเอกลักษณ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แทบไม่มีโอสถใดคล้ายคลึงกันเลย หรือในอีกความหมายหนึ่ง ทุกเส้นทางจะมีทักษะเด่นประจำตัวเป็นจุดขาย และมีจุดอ่อนจุดแข็งชัดเจน ชัดเจนในกรณีนี้หมายถึง จุดแข็งจะโดดเด่นจนน่ากลัว ส่วนจุดอ่อนจะอ่อนแอชนิดห้ามให้ศัตรูทราบโดยเด็ดขาด

ตัวอย่างชัดเจนคือ ‘ผู้ชม’ โอสถชนิดนี้ต่อสู้แบบประชิดตัวไม่เก่ง แต่หากปล่อยปละ ละเลยจนถูกวางแผนตลบหลังโดยไม่รู้ตัว ความตายอาจมาเยือนอย่างคาดไม่ถึง ถึงเหยื่อจะมีฝีมือสูงกว่า ‘ผู้ชม’ มากก็ตาม…ไม่มีเหตุการณ์ใดเห็นภาพชัดเจนไปกว่าพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ มันเป็นถึงผู้วิเศษลำดับหก ผู้รับใช้วายุ และยังถือครองสมบัติวิเศษ ‘ยุบพองหิวโหย’ ส่งผลให้พลังต่อสู้โดยรวมเทียบเท่าลำดับห้า แต่มันกลับต้องมีจุดจบน่าสมเพชภายในค่ำคืนเดียว จริงอยู่ ความดีความชอบส่วนใหญ่ตกอยู่กับอะซิก กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความฉิบหายของมันมีต้นตอมาจาก ‘ผู้ชม’ ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

ยิ่งเมื่อประเมินว่า ประชากรผู้วิเศษส่วนใหญ่มีลำดับต่ำกว่าสี่ ขอบเขตแห่งครึ่งเทพ ความอ่อนแอของ ‘กายา’ ก็ยิ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ หากใครสามารถปกปิดความลับตัวเองได้มิดชิด และทราบจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรูอย่างปรุโปร่ง ไม่เกินจริงไปนักหากจะกล่าวว่า การล้มผู้วิเศษลำดับสูงกว่าไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ในกรณีสุดโต่ง ลำดับเก้า ก็สามารถล้มลำดับห้า ได้หากมีโชคเป็นปัจจัยประกอบ ถึงอัตราความสำเร็จจะต่ำมากก็ตาม

แน่นอน การยกตัวอย่างข้างต้นอิงทฤษฎีเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง การล้มผู้วิเศษลำดับห้า แทบเป็นไปไม่ได้ พลังพิเศษในลำดับดังกล่าวทรงพลังจนสามารถกลบจุดอ่อนตัวเองได้มิดชิด แถมยังมีพลังสืบทอดมาจากลำดับหก เจ็ด แปด เก้าหากไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับหก การล้มลำดับห้า ก็แทบไม่เคยเกิดขึ้น

แต่ในทางกลับกัน ผู้วิเศษระดับต่ำกว่าครึ่งเทพทุกคนล้วนกลัวการ ‘ถูกรุม’ ไม่ว่าจะเก่งกาจมาจากไหน แต่จำนวนมีผลมากในสงครามระดับนี้ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นลำดับต่ำกว่าก็ตาม สาเหตุเพราะว่า เมื่อถูกรุมโจมตีจากทุกทิศทางจนจิตใจว้าวุ่น โอกาสตัดสินใจพลาดก็จะเพิ่มมากขึ้น ความผิดพลาดหนแรกจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่จนทำให้เกิดหนสอง จากนั้นก็จะถูกศัตรูรุมเล่นงานจุดอ่อน

ปัจจัยข้างต้นคือสาเหตุทำให้ ‘คนเลี้ยงแกะ’ คืออันดับหนึ่งในสายต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพทั้งหมด พวกมันเก่งฉกาจเหนือเส้นทางอื่นเนื่องจาก สามารถแย่งชิงพลังของผู้อื่นมากลบจุดอ่อนตัวเองได้ตามความเหมาะสม จนกลายเป็นโอสถไร้จุดอ่อนไปโดยปริยาย

ลำดับเจ็ด ของเส้นทางนักทำนาย จะช่วยให้เรามีเวทมนตร์พื้นฐานติดตัว…หมายความว่า ถึงเราจะบังเอิญดวงซวย ไปปะทะกับศัตรูลำดับหกเข้า แต่โอกาสหนีรอดก็ยังพอมี และโอกาสชนะก็ไม่น้อยเช่นกัน…ส่วนการสู้กับลำดับห้า ให้ชนะยังคงอีกยาวไกล แต่การหลบหนีก็ยังพอมีโอกาส…ไคลน์ปล่อยความคิดตัวเองล่องลอยสักพัก ก่อนจะได้สติกลับมาและกวาดสายตามองรอบตัว หวังให้ใครสักคนเปล่งเสียงยื่นข้อเสนอ

ถ้านักขับขานและผู้ภาวนาแห่งแสงขายไม่ออก เราคงต้องใช้ตัวเลือกรองลงมา โอสถผู้ชมและนักอ่านใจ…หากคำนึงถึงกฎเหล็กสองข้อของโลกผู้วิเศษ กฎการอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง และกฎความถาวรของพลังพิเศษ…เราจะขายสูตรโอสถเส้นทางตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เฉกเช่นเส้นทางแม่มด คนซื้อไปอาจมีเจตนาชั่วร้าย นำพาความฉิบหายมาสู่ชาวเมืองหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นนักลอบสังหาร นักกระตุ้น หรือแม่มด เทคนิคสวมบทบาทล้วนไม่ใช่สิ่งดีต่อสังคม…ไคลน์เริ่มกระวนกระวาย แต่ยังคงทำหน้านิ่ง อดทนรออย่างใจเย็น

“ว่ากันตามตรง ฉันเองก็สนใจไม่น้อย” นักปรุงยาร่างท้วมส่งเสียงพลางอมยิ้ม “ฉันจะได้รับลูกศิษย์เพิ่มอีกสักคน และบอกให้เขาเดินบนเส้นผู้ภาวนาแห่งแสง คอยสร้างแสงแดดสาดส่องสมุนไพรของฉันให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สมบูรณ์แบบ! ช่างอัจฉริยะเสียจริง!”

คำพูดของมันช่วยทำลายความเงียบงันในห้องนั่งเล่นได้ดี กระตุ้นให้ชายคนหนึ่งตรงมุมห้อง ผู้ดึงผ้าคลุมหน้าลงต่ำกว่าปรกติ กล่าวด้วยเสียงจงใจดัดแหลม

“ผมสนใจ จะซื้อไปให้ลูก อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าเส้นทางของพ่อแน่นอน”

“ลำดับเก้า สองร้อยปอนด์ ลำดับแปด สี่ร้อยปอนด์ หากคุณสนใจ พวกเราค้าขายกันได้”

ถ้ายอมควักเงินรวดเดียว หกร้อยปอนด์ได้เช่นนี้ แปลว่าต้องเป็นผู้มีอันจะกินพอสมควร เงินจำนวนดังกล่าวสามารถซื้อบ้านถาวรในเขตชานเมืองทิงเก็นได้สบาย…ไคลน์แสร้งก้มหน้านึก ก่อนจะเงยขึ้นมาสำรวจท่าทีของสมาชิกชุมนุมคนอื่น เพื่อตรวจสอบว่าคนเหล่านี้มีความเห็นเป็นเช่นไร

เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครให้ราคาเพิ่ม และราคาอีกฝ่ายก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล อาจต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย แต่อยู่ในขอบเขตพอรับได้ ไคลน์ตัดสินใจเปิดปาก “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเพิ่มเงื่อนไข นายห้ามขายสูตรโอสถสองชนิดดังกล่าวภายในชุมนุมแห่งนี้ แต่ถ้าจะนำไปขายข้างนอกก็ไม่ขัดข้อง”

ชายปริศนาตอบกลับด้วยเสียงแหลม

“ตกลง ให้มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาเป็นพยานยืนยัน”

ไคลน์ยังไม่มีวิธีทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่า สูตรโอสถของตนเป็นของแท้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าซักถามวิธีการ เพราะจะทำให้ความแตก ว่าตนเป็นไก่อ่อน ไม่เคยมีประสบการณ์เข้าร่วมชุมนุมผู้วิเศษมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเหลือบเห็นผู้ช่วยเนตรแห่งปัญญาเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรีบยื่นกระดาษจดสูตรโอสถทั้งสองชนิดส่งให้ทันที มันเขียนเตรียมสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว

ผู้ช่วยยังไม่นำไปมอบให้ชายปริศนาตรงมุมห้อง แต่เดินไปยังโซฟาเดี่ยวตัวใหญ่ และยื่นแผ่นกระดาษให้มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาตรวจสอบ

ชายชราคลี่กระดาษ แทบไม่กวาดสายตาอ่าน เพียงนำไปวางลงบนโต๊ะกลมขนาดเล็กด้านขวามือของโซฟา

ถัดมา เนตรแห่งปัญญาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือทำความสะอาด หยิบแหวนวงหนึ่งออกจากกระเป๋า เป็นแหวนเลี่ยมเพชรขนาดเล็กจำนวนมาก

ลวดลายแหวนซับซ้อนและงดงาม กึ่งกลางวงมีอัญมณีสีเขียวเข้มลักษณะคล้ายดวงตา เพียงจ้องมองจากระยะไกล ไคลน์พลันรู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน สมองเริ่มปั่นป่วน อารมณ์คล้ายกำลังทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์

เนตรแห่งปัญญาสวมแหวนด้วยนิ้วกลางข้างขวาพร้อมกับหลับตาลง ประหนึ่งเตรียมใจรับแรงกระแทกจากบางสิ่ง

ทันใดนั้น อัญมณีเม็ดเขียวเข้มกึ่งกลางแหวน พลันส่องแสงสุกสว่างประหนึ่งดวงอาทิตย์เจิดจ้า

โดยไม่รีรอ เนตรแห่งปัญญาเหยียดแขนขวาออกไป หงายมือขึ้น และใช้อัญมณีสัมผัสกับกระดาษสูตรโอสถของไคลน์

ทันใดนั้น แสงสีทองยิ่งทวีความบริสุทธิ์ จนกระทั่งฉายออกมาเป็นภาพตราประทับ

“ของจริง ใช้งานได้!” เนตรแห่งปัญญาเปล่งเสียงทุ้มต่ำ ตามด้วยการรีบถอดแหวนออกจากนิ้วทันที ประหนึ่งไม่ต้องการสวมต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว

ท่าทีคล้ายกับ ‘ผู้รับรอง’ …แหวนวงนี้คงเป็นสมบัติสุดหวงแหนของมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญา ถ้าจำไม่ผิด รหัสของมันคือ 2-081…เป็นสมบัติวิเศษของโอสถ ‘ผู้รับรอง’ เองหรือ? ไคลน์เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างละเอียด สมองคิดหาคำตอบตาม ภายในใจเกิดความอยากได้มาครอบครอง

เมื่อถูกรับรองโดยเจ้าของชุมนุม การแลกเปลี่ยนของไคลน์ก็ลุล่วงอย่างราบรื่น ชายหนุ่มได้รับเงินสดก้อนใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นธนบัตรชนิดสิบปอนด์ปึกหนา

หลังจากนับจำนวนสามรอบจนแน่ใจ มันยังไม่พับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อทันที แต่เลือกถือค้างไว้ในมือ ราวกับเตรียมใช้จับจ่ายซื้อของอีกสักชิ้นสองชิ้น

ถัดมา ไคลน์นั่งรอสักพักให้บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบสนิท เพื่อจะได้มั่นใจว่า ตนไม่ได้ตกหล่นขั้นตอนใดในการซื้อขาย จากนั้นค่อยเริ่มบอกความต้องการถัดไปของตัวเอง

ทว่า นักปรุงยาร่างท้วมกลับชิงพูดแทรก มันกวาดสายตามองรอบห้องพลางส่งเสียง

“ฉันมียาระงับประสาทสามขวด”

หมอนั่นเอามาจริงหรือ? เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยต้องการยาระงับประสาท…เพื่อให้การปลอมตัวแนบเนียน ไคลน์จำเป็นต้องแสร้งปล่อยผ่าน ประหนึ่งตัวมันคนก่อนไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมคราวนี้ด้วย

หลังจากตะโกนสามรอบ และพบว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมา นักปรุงยาร่างท้วมส่งเสียงพึมพำ

“หมอนั่นไม่ได้มาด้วยหรือไง? คงตายโหงไปแล้วกระมัง…”

ขอบคุณสำหรับคำอวยพร…และขอบคุณสำหรับการแยกแยะไม่ออกว่าเราปลอมตัว…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย

นักปรุงยาร่างท้วมยังคงถามหาผลึกแก่นน้ำพุเอลฟ์ตามกิจวัตร แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดเช่นเคย

เมื่อบรรยากาศห้องเริ่มเงียบอีกครั้ง หญิงสาวคนหนึ่ง ผู้ใบหน้าถูกบดบังอย่างสมบูรณ์ด้วยเสื้อคลุมหัว กล่าวพร้อมกับเลื่อนกล่องสองกล่องมาตรงฝ่าเท้า

“ฉันมีอาวุธวิเศษมาขายสองชนิด”

เธอต้องเป็นคนขาย ‘ดาบลงอักขระ’ จากคราวก่อนแน่นอน! สัญชาตญาณของนักทำนายบอกเราแบบนั้น…คราวนี้มีอาวุธใหม่มาขายอีกแล้วหรือ? คงมีองค์กรเกี่ยวกับการค้าอาวุธคอยหนุนหลังกระมัง…ต้องใช่แน่…ไม่สิ อาจเป็นเพียงช่างทำอาวุธเถื่อนทั่วไป หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ลำดับหก แห่งเส้นทางนักปราชญ์ ‘ช่างฝีมือ’ …ไคลน์รอฟังรายละเอียดอาวุธด้วยใจจดจ่อ

มันสัญญากับเดอะซันไว้แล้ว ว่าจะหาอาวุธวิเศษมูลค่าห้าร้อยถึงเจ็ดร้อยปอนด์ไปแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบต้นไม้หมอกทึบ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า ต้องช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ของเขาได้ แต่เด็กหนุ่มมิได้กำหนดคุณสมบัติของอาวุธไว้ชัดเจน ดังนั้น ขอให้เป็นอาวุธคุ้นมือ และมีพลังวิเศษช่วยปราบสัตว์ประหลาด ไคลน์ยินดีซื้อทันทีหากอาวุธมีราคาเหมาะสม เพราะไม่ว่าอย่างไร เดอะซันก็ไม่ใช่เด็กเรื่องมากอยู่แล้ว

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version