ตอนที่ 294 : พลเรือเอกแห่งดวงดาว
กริ๊ง! กริ๊ง!
ไคลน์กำลังขับวนรอบสวนหลังบ้านของเลพเพิร์ดด้วยจักรยานต้นแบบตัวใหม่ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน
“ไม่เลว ค่อนข้างคล้ายกับในจินตนาการของผม แต่ไม่ควรทำกริ่งแยกต่างหาก คงไม่ใช่เรื่องดีหากให้นักปั่นต้องปล่อยมือออกจากแฮนด์จับ คุณควรสร้างกริ่งติดกับแฮนด์จับแทน นอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยแล้ว นักปั่นยังสามารถกดกริ่งได้ทันท่วงทีอีกด้วย” ขณะกล่าว ไคลน์ใช้มือบีบเบรกเพื่อหยุดจักรยาน
พร้อมกันนั้น ไคลน์ย้ายกริ่งบนมือซ้าย วางกลับไปยังจุดเดิมซึ่งเลพเพิร์ดติดตั้งไว้อย่างหลวมๆ
เลพเพิร์ดก้มหน้าตรึกตรอง
“นั่นสินะ ผมยึดติดกับการสร้างรถยนต์มากเกินไป จึงพยายามติดตั้งกริ่งไว้ใกล้กับห้องโดยสาร ลืมไปว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ของการเดินทาง”
เลพเพิร์ดยืนจ้องไคลน์ ผู้กำลังจอดจักรยาน ลงรถอย่างชำนาญ และนำไปแขวนไว้กับราวเหล็ก ก่อนตัดสินใจซักถามด้วยสีหน้าสุดฉงน
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณเคยชินกับยานพาหนะประเภทนี้มาก…แถมยังขับขี่ได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ล้มหรือเซ…ผมมั่นใจว่าจักรยานคันอื่นตามท้องตลาดไม่สมบูรณ์แบบและคล่องตัวเหมือนกับของผมแน่ โครงสร้างแตกต่างกันค่อนข้างมาก”
มิสเตอร์ คุณคงไม่รู้สินะว่าโลกในอนาคตจะมีธุรกิจเช่าจักรยานให้คนทั่วไปขับขี่…และในฐานะตัวตลกผมสามารถขี่ได้แม้กระทั่งจักรยานล้อเดียวพร้อมกับหลับตา…ไคลน์รำพันติดตลกพลางฉีกยิ้มกว้าง
“ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์หรือความเคยชิน จุดสำคัญคือการทรงตัวและความแข็งแรงของร่างกาย”
ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนบทสนทนา
“แต่จากคำอธิบายของคุณก่อนหน้า ต้นทุนในการผลิตออกจะสูงไปสักหน่อย เมื่อประเมินจากกลุ่มเป้าหมายของพวกเรา คุณต้องรีบมองหาวิธีลดต้นทุนลง และต้องตระหนักว่าบรรดาขุนนาง ชนชั้นสูง หรือชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง ย่อมไม่ต้องการซื้อจักรยานเหล่านี้ไปปั่นด้วยตัวเอง พฤติกรรมดังกล่าวน่าอับอายและเสื่อมเกียรติเกินไป กลุ่มเป้าหมายของพวกเราจึงเป็นบรรดาพนักงานบัญชี เสมียน บุรุษไปรษณีย์ คนงานระดับหัวกะทิ หรือกลุ่มคนรายรับต่อปีเฉลี่ยเจ็ดสิบปอนด์แต่ไม่เกิน สามร้อยปอนด์”
“เข้าใจครับ นี่เป็นเพียงรุ่นต้นแบบ หรืออะไรทำนองนั้น ผมได้ยินว่าจักรพรรดิโรซายล์ชอบเรียกแบบนี้…ย่อมต้องมีต้นทุนสูงเป็นธรรมดา แต่หากได้เข้าสายผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อไร ต้นทุนจะลดเหลือ หกปอนด์ได้ไม่ยาก และถ้าหาวัสดุแทนยางพาราได้ก็ยิ่งดี ส่วนของยางมีต้นทุนสูงเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมด” เลพเพิร์ดเองก็ตระหนักถึงปัญหาด้านราคามาสักพักแล้ว
น่าเสียดายว่าโลกนี้ไม่มีน้ำมันดิบ…หรืออย่างน้อยก็ยังไม่ถูกพบ…สามารถใช้น้ำมันทาร์ทดแทนได้ไหม? เราดันไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย ไม่ใช่ทั้งอดีตนักเรียนเคมี และไม่ใช่ทั้งผู้วิเศษเส้นทางนักปราชญ์…ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนหันไปตอบ “ถ้าสามารถลดราคาให้เหลือต่ำกว่า สี่ปอนด์ได้ พวกเราจะรวยจนล้นฟ้า ส่วนเรื่องวัสดุทดแทน คุณลองไปหาอ่านตำราของจักรพรรดิโรซายล์ บางทีอาจช่วยให้เกิดแนวคิดใหม่เพิ่มเติม”
“ตกลง” เลพเพิร์ดขานรับ มันเว้นวรรค์เล็กน้อยก่อนจะเสริม “พูดถึงเรื่องนี้ ผมนึกขึ้นได้ว่าสัปดาห์หน้าจะมีงานนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงจักรพรรดิโรซายล์ จัดแสดงโดยโบสถ์จักรกลไอน้ำภายในพิพิธภัณฑ์หลวง มีข่าวลือว่าภายในงานจะจัดแสดงต้นแบบสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากของจักรพรรดิโรซายล์ พิมพ์เขียว และแบบจำลองข้าวของในชีวิตประจำวัน”
ต้นแบบพิมพ์เขียว…รวมถึงสิ่งของในชีวิตประจำวันของโรซายล์? หัวใจไคลน์พลันหยุดเต้นชั่วขณะ มันรีบซักถาม “งานจัดขึ้นเมื่อไร? ผมสนใจมาก!”
“เริ่มตั้งแต่วันอังคารหน้า ไปจนถึงพฤหัสบดีหน้า นิทรรศการจะมีขึ้นทุกวันตั้งแต่ เก้าโมงเช้าจนถึง หกโมงเย็น แม้ว่าจักรพรรดิโรซายล์จะเคยเป็นศัตรูกับอาณาจักรเรามาก่อน แต่ความยอดเยี่ยมของท่านควรค่าแก่การยกย่องและศึกษาเรียนรู้”
“ผมคงต้องเจียดเวลาไปชมสักหน่อย” ขณะกล่าว ไคลน์ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมกับควักธนบัตร สิบปอนด์สองใบ และธนบัตร ห้าปอนด์สองใบออกมาถือ “นี่คือเงินลงทุนงวดสอง จงใช้เพื่อศึกษาหาวิธีทำให้ต้นทุนจักรยานลดลง รวมถึงศึกษาว่าต้องจดสิทธิบัตรอย่างไรให้ครอบคลุมและได้ประสิทธิภาพสูงสุด ให้ลองปรึกษาเรื่องนี้กับสำนักงานสิทธิบัตรดู ถ้าคุณยังไม่มีนักกฎหมายประจำตัว ผมแนะนำให้ได้หนึ่งคน ส่วนเงิน ยี่สิบปอนด์สุดท้าย ผมจะจ่ายให้ในสัปดาห์ถัดไป หลังจากได้เห็นความคืบหน้าของจักรยานเสียก่อน ขณะเดียวกัน ผมจะพยายามหาคนมาร่วมทุนเพิ่มอีกแรง รวมถึงผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการอุตสาหกรรม”
ไคลน์ไม่เคยหวังผูกขาดกำไรของจักรยานไว้แค่คนเดียวอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลติดขัดหลายประการ เช่น ตัวมันไม่มีเงินทุนมากพอสำหรับจ้างโรงงานผลิตจักรยาน และเชื่อว่าตนไม่มีเส้นสายหรือคนรู้จักมากพอจะดำเนินการขั้นตอนอุตสาหกรรมได้อย่างเกิดประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการโฆษณาและค้าขายให้เป็นหลักแหล่ง การทำเรื่องเหล่านี้เองหรือจ้างคนมาทำคงไม่ฉลาดสักเท่าไรนัก เพราะโครงการนี้ไม่รับประกันว่าจะประสบความสำเร็จและทำกำไรล้นหลาม โอกาสขาดทุนไม่น้อยไปกว่ากันนัก เมื่อไตร่ตรองถึงจุดดังกล่าว ไคลน์จึงมองว่าการหาผู้ร่วมทุนคือหนทางฉลาดกว่า โดยต้องเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ มีเส้นสายทางการค้า และมีความเป็นมืออาชีพ
เหนือสิ่งอื่นใด แผนการข้างต้นจะช่วยให้ไคลน์ขายหุ้นบางส่วนของตัวเองได้ในราคาสูง มันจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ไปกับการเลื่อนลำดับสู่ ‘ผู้ไร้หน้า’ ชายหนุ่มไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นเนื้อประดาตัวขณะมีวัตถุดิบหลักของผู้ไร้หน้ามาเสนอขาย
แถมเรายังไม่อยากเป็นเศษรฐีจักรยานในตอนนี้…ตัวตนของเราค่อนข้างอ่อนไหวและเป็นความลับ ดังนั้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงความสนใจจากผู้คนหมู่มากเข้าไว้ เว้นเสียแต่จะกลายเป็นผู้ไร้หน้าได้ก่อน…โดยระหว่างนั้นต้องคอยสวมบทบาทเป็นนักมายากล มิใช่นักธุรกิจค้าจักรยาน…ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว
“ผมพอจะรู้จักนักกฎหมายอยู่บ้าง” เลพเพิร์ดพึมพำพลางรับเงินลงทุนก้อนสองไป “แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปขอกู้ธนาคาร? หากผมจดลิขสิทธิ์ผ่านเมื่อไร ธนาคารย่อมต้องอนุมัติให้พวกเรากู้เงินก้อนใหญ่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารเบ็นลันด์หรือบาวาร์ต”
“การหาผู้ร่วมทุนเพิ่ม นอกจากจะได้รับเงินทุนก้อนใหญ่ พวกเรายังจะได้เส้นสายสำหรับการผลิตและปล่อยสินค้าออก พวกเขาคือมืออาชีพในด้านนี้ พอจะเห็นภาพหรือยัง?” ไคลน์อธิบายพลางยิ้ม จากนั้นก็สวมหมวกกลับคืนและกล่าว “หากจดสิทธิบัตรเสร็จเมื่อไรให้รีบเขียนจดหมายถึงผมทันที คุณคงทราบปลายทางอยู่แล้ว”
…
บนเกาะแห่งหนึ่งซึ่งภูเขาไฟดับมอด
เรือใบแบบเสากระโดงแล่นเข้ามาจอดละลำสองลำอย่างต่อเนื่องภายในท่าเรือขนาดมหึมา
เสียงขับขาน หัวเราะ แหกปากโวยวาย สบถถ้อยคำหยาบคาย และเฮสนั่น ดังปกคลุมทั่วบรรยากาศรอบเกาะ แปรเปลี่ยนให้ท้องทะเลภายในเขตดังกล่าวกลายเป็นดินแดนแห่งความสุขชั่วขณะ
แฮงแมน อัลเจอร์·วิลสัน เดินลงจากโทสะสีครามและปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อสำรวจบรรยากาศด้านล่างโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
นอกเหนือจากสี่ราชาโจรสลัดและหกพลเรือโจรสลัด โจรสลัดรายย่อยจะได้รับแจ้งข่าวการชุมนุมล่วงหน้าเพียงหนึ่งสัปดาห์ ส่งผลให้ส่วนใหญ่หักหัวเรือมายังเกาะแห่งนี้ไม่ทัน ต้องลงทุนทำเช่นนี้เพื่อป้องกันมิให้ข่าวไหลไปถึงหูรัฐบาลประเทศต่างๆ เหล่าโจรสลัดจะได้ไม่ต้องมัวกังวลว่า กองทัพครึ่งเทพของเจ็ดโบสถ์หลักจะบุกถล่มเกาะ
อัลเจอร์กวาดสายตามองกลุ่มโจรสลัดปลายแถวผู้กำลังแบกถังเบียร์เดินเบียดเสียดด้านล่างอย่างไม่ให้ราคา
มันทราบดีว่าอาณาจักรโลเอ็นผลิตเรือรบหุ้มเกราะรุ่นแรกสำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่กังวลว่าจะได้เผชิญหน้าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลดังกล่าวบนเกาะแห่งนี้ เนื่องจากเรือรบหุ้มเกราะเพิ่งผลิตเสร็จได้เพียงสี่เดือน ยังขาดกองเรือแต่ละประเภทคอยสนับสนุน ตัวอย่างเช่น เรือตรวจการณ์ทางไกล เรือลาดตระเวน เรือรบอเนกประสงค์ และเรือพิฆาต ลำพังเรือธงหุ้มเกราะลำเดียวไม่เพียงพอต่อการทำสงครามกับโจรสลัดครึ่งเทพแน่นอน แถมยังต้องเสียเวลาฝนฝึกหน่วยนาวิกโยธิน ลูกเรือ และพลปืนให้ชำนาญก่อนจะนำมาใช้รบจริง หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ กองทัพเรือโลเอ็นจะไม่พร้อมทำสงครามด้วยแสนยานุภาพใหม่ไปอีกราวหนึ่งปี
ขณะอัลเจอร์กำลังปล่อยความคิดล่องลอย กลุ่มโจรสลัดบริเวณท่าเรือพลันส่งเสียงฮือฮากะทันหัน บ้างรีบวิ่งหนีกลับเข้าฝั่ง บ้างรีบขึ้นเรือตัวเองเพื่อหักหลบเปิดทาง ประหนึ่งปีศาจกำลังบุกถล่มเกาะก็มิปาน
ไม่กี่นาทีถัดมา ความเอะอะโวยวายก่อนหน้าได้แปรเปลี่ยนเป็นความสงบเงียบราวกับหนูตาย
อัลเจอร์รีบหันไปมองยังท่าเทียบเรือ และได้พบเรือลำใหญ่ถูกทาสีดำสนิทถ้วนทั่ว เสากระโดงกึ่งกลางเรือติดธงสีขาวผืนใหญ่ บนผืนธงปรากฏสัญลักษณ์หัวกะโหลก
หัวกะโหลกสีดำสนิท เบ้าตาสองข้างมีเปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชน
กาฬมรณะ…อัลเจอร์พึมพำ
มันทราบทันทีว่าทำไมกลุ่มโจรสลัดริมท่าเรือถึงต้องแตกตื่นเช่นนั้น
เพราะไม่ว่าพลเรือโทแห่งโรคภัย เทรซี่ เดินผ่านจุดใด ออร่าของเธอจะสร้างโรคภัยให้กับคนมีสติรอบตัวอย่างไร้เหตุผล
เมื่อกาฬมรณะจอดเทียบท่า ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่ง สวมเสื้อลินินขาวและโค้ทแดงเข้ม ยืนปรากฏตัวบนหัวเรืออย่างเด่นสง่า
ใบหน้าค่อนข้างสะสวย กลิ่นอายรอบตัวองอาจคล้ายกับวีรบุรุษสงคราม
เส้นผมสีดำม้วนเป็นลอนยาว รอบศีรษะมีผ้าพันคอผืนใหญ่ประดับตกแต่ง รูปร่างค่อนข้างสูงและผอมเพรียว สีหน้าแววตาจองหอง
จุดดึงดูดสำคัญบนใบหน้าคือขนคิ้วเรียวงามและดวงตาคมเข้มสีฟ้าคราม
ขณะมองไปรอบตัว ดวงตาของเธอส่องประกายระยิบระยับ มอบบรรยากาศเย้ายวนเกินหักห้ามใจ
นักกวีพเนจรคนหนึ่งผู้ยืนปะปนกับกลุ่มโจรสลัดใต้หน้าผา เริ่มขับขานบทกวีดังกังวาน
“เธอช่างสาว และสวย ไม่เคยสร่าง แถมยังครองเรือนร่างแสนชวนฝัน อาจมาพร้อมโรคภัยอย่างฉับพลัน แต่กระนั้น ข้าก็ยอมเป็นของเธอ”
เหล่าโจรสลัดผู้หนีตายอย่าอลหม่านเมื่อครู่ ยามนี้เริ่มกลับมายลโฉมสาวงามแห่งโรคภัย เทรซี่ อีกครั้งจากระยะห่าง สายตาพวกมันล้วนล่องลอยราวกับวิญญาณถูกกระชากหลุดจากร่าง
อัลเจอร์ฝืนต่อต้านแรงดึงดูดเกินห้ามใจ เพียงชำเลืองมองกลุ่มโจรสลัดโง่เขลาด้านล่างพลางกล่าวถ้อยคำเหยียดหยัน
เจ้าพวกโง่เขลาไร้อนาคต เมื่อครู่ยังหนีตายประหนึ่งหนูถูกต้อน…แต่ยามนี้กลับถูกล่อลวงด้วยความงามของเธอ
น่าแปลก ไม่ว่าสาวสวยแห่งโรคภัยจะงดงามสักเพียงใด แต่ก็ไม่ควรดึงดูดสายตาเหล่าโจรสลัดป่าเถื่อนได้มากมายเช่นนี้แน่…หรือจะเป็นเพราะพลังพิเศษบางเส้นทาง?
ขณะอัลเจอร์ก้มหน้าตรึกตรอง พลเรือโทแห่งโรคภัย เทรซี่ ลงจากกาฬมรณะและเดินเข้าไปในปราสาทสีดำหลังใหญ่บนเกาะ
ทันใดนั้น เรือใบลำใหญ่อีกหนึ่งลำพลันปรากฏบนท้องทะเลใกล้กับท่าจอด ธงผืนใหญ่เป็นภาพของดวงตาปราศจากขนตา รายล้อมด้วยดาวจำนวนสิบดวง
พลเรือเอกแห่งดวงดาว แคทลียา…นักเดินเรือหนุ่มพำพึมเงียบงัน
เมื่อท่าจอดเรือแน่นถนัดเพราะกาฬมรณะและเรือวิเศษลำอื่น เรือของพลเรือเอกแห่งดวงดาวจึงไม่จอดเทียบท่าตามปรกติ แต่วนอ้อมไปหยุดทอดสมอใกล้กับเขตใต้หน้าผา
จากนั้นไม่นาน ท้องฟ้าอันหม่นหมองเบื้องบนพลันส่องแสงระยิบระยับ ดวงดาราเริ่มก่อตัวพราวพรายกลายเป็นสะพานแสง ช่วยให้แคทลียาย่างกรายผ่านเข้าสู่ปราสาทโดยไม่ต้องเปื้อนเปรอะดินโคลนเบื้องล่าง
สาวงามบนสะพานยาวเยื้องย่างประหนึ่งสามารถเหาะเหินเดินอากาศ
เธอสวมชุดคลุมยาวสีดำสนิทคล้ายกับนักบวช แต่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์มากมายประดับรอบตัว เด่นชัดเป็นพิเศษคือดวงตาไร้ขนตาและหมู่ดวงดาวรายล้อม
เอวสองข้างเหน็บ ‘ลูกแก้วดวงดาว’ และ ‘คทาสั้น’ มองผิวเผินเหมือนกับจอมอาคมทรงพลังจากยุคสมัยสี่ทุกประการ
อัลเจอร์แหงนหน้ามองพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะส่งเสียงพึมพำกับตัวเอง
ทำไมลูกแก้วดวงดาวถึงได้คุ้นตานัก…
เหมือนกับ…เหมือนกับขวดแก้วปริศนาซึ่งเราเคยครอบครองมาก่อน แต่ยังไม่ทันจะทราบวิธีใช้ ก็ถูกทำลายไปขณะมิสเตอร์ฟูลเรียกตัวเข้าร่วมชุมนุม…
…
ณ ย่านรอบนอกของเขตราชินี ออเดรย์เดินนำกลุ่มสาวใช้และสุนัขขนทองตัวใหญ่ ซูซี่ เข้าไปในคฤหาสน์ส่วนตัวของตน
“คุณหนูครับ มีพัสดุจากท่าเรือเอ็นมาร์ทเพิ่งถูกส่งมาถึงเมื่อครู่” พ่อบ้านประจำคฤหาสน์กล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ขอบคุณค่ะ” ออเดรย์พยักหน้ารับ พร้อมกับหันไปกล่าวติดตลกกับสุนัขตัวเมียขนฟูด้านข้าง “ซูซี่ ของขวัญเธอมาถึงแล้ว!”
ขณะกล่าว ทั้งสองหันไปมองมุมห้องและได้พบกับ ‘ของขวัญ’ เต็มสองตา
มันคือกิ้งก่าขนาดมหึมา ผิวหนังเปลี่ยนสีตลอดเวลาตามแสงส่อง ลำตัวยาวไม่ต่ำกว่าสามเมตร สูงเท่าแข้งของออเดรย์แม้ว่ามันกำลังนอนราบไปบนพื้น
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จำนวนสองตัว ใหญ่พอจะทำให้เด็กเล็กหวาดกลัวจนเกิดฝันร้าย
“โฮ่ง?” ซูซี่หันกลับมามองเจ้านายของตนด้วยสีหน้าสุดฉงน แต่กลับพบว่า เจ้านายของเธอก็แสดงอาการตกตะลึงไม่ต่าง
ออเดรย์ไม่คิดว่าของขวัญจากพี่ชายจะถูกลำเลียงมาถึงในลักษณะโฉ่งฉ่างเช่นนี้!
………………….