Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 298

Lord of the Mysteries 298

ตอนที่ 298 : อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

ขนตาฟอร์สกะพริบถี่หลายครั้ง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า หญิงสาวพบว่าตัวเองกำลังนอนขดบนพื้นห้องภายในหอพัก เมื่อมองผ่านหน้าต่าง ดวงจันทร์สีแดงสดเป็นพิเศษกำลังล่องลอยท่ามกลางหมู่ดาวราวกับแผ่นจานกลมแตกต่างจากพระจันทร์แดงสลัวในคืนจันทร์เต็มดวงอื่นๆ โดยสิ้นเชิง

เรายังไม่ตาย…ยังไม่คลุ้มคลั่ง…และเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน…เราถูกช่วยไว้โดยบุคคลลึกลับทรงพลังนามว่ามิสเตอร์ฟูล…ฟอร์สพยุงร่างลุกยืนพลางสำรวจตัวเอง เธอไม่พบความผิดปรกติใดบนร่างกาย นอกจากเส้นผมซึ่งหนาและยาวกว่าปรกติมาก

แต่ชะตาชีวิตเราเปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล…ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่…หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็นั่งกอดเข่าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยเรื่อยเปื่อย ความกังวล เสียใจ และสับสน วนเวียนมาหาเป็นระลอก

บนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ไคลน์นั่งเพ่งสัญลักษณ์บานประตูซ้อนทับหลายชั้นพลางครุ่นคิดหาเหตุผล

ใจความของเสียงเพรียกเหล่านั้นคืออะไร…

ต้องรอให้หญิงสาวกลายเป็นลำดับเจ็ด หรือลำดับหก เสียก่อน…บางทีเธออาจอดทนต่อผลข้างเคียงได้ และทราบถึงเนื้อหาของเสียงเพรียกดังกล่าว

ถ้าเธอยังไม่ตระหนักถึงเทคนิคสวมบทบาท เราสามารถให้จัสติสหรือคนอื่น ช่วยสอนและอธิบายเทคนิคดังกล่าวแทน เนื่องจากเราเคยสาบานต่อสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาไว้ว่า จะไม่บอกเล่าเทคนิคสวมบทบาทให้กับบุคคลผู้ยังไม่ทราบโดยเด็ดขาด

… หากเรากลายเป็นลำดับห้า นักเชิดหุ่น เมื่อไร บางทีอาจอาศัยพลังและความพิเศษของมิติสายหมอก เข้าควบคุมร่างกายของเธอโดยตรง และได้ยินได้เห็นสิ่งเดียวกับเธอ

ด้วยวิธีดังกล่าว เราสามารถยืนยันได้ว่านั่นคือมิสเตอร์ประตูจริงหรือไม่…

สุภาพบุรุษผู้เคยเห็นประวัติศาสตร์ของยุคสมัยสี่ด้วยตาตัวเอง…บางทีอาจมีชีวิตยืนยาวยิ่งกว่ามิสเตอร์อะซิกเสียอีก

จะอยู่ลำดับเท่าไรกัน…สอง? หรือ หนึ่ง?

หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เริ่มตระหนักว่าพลังวิญญาณของตนไม่สงบนิ่ง จึงห่อหุ้มร่างกายและส่งตัวเองกลับสู่โลกจริง

นี่คือภาวะปรกติหลังจากเพิ่งเลื่อนลำดับได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้ ไคลน์ตัดสินใจยกเลิกแผนเดินทางไปข้างนอก เลือกจะนั่งสมาธิเข้าฌานตามลำพังภายในบ้าน ฝึกควบคุมและปลดปล่อยพลังวิญญาณส่วนเกินออกจากร่างกาย

ช่วงเช้าตรู่เป็นพิเศษ ฟอร์สรีบออกจากหอพักเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินรอบแรก จุดหมายปลายทางคือสถานีนักบุญจอร์จ จากนั้นก็ต่อรถม้าสาธารณะไปยังไปหอพักสองเตียงนอนซึ่งเช่าร่วมกับซิลไว้

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ฟอร์สค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้พบซิล ผู้มักนอนดึกตื่นสายเป็นประจำ กำลังยืนปิ้งขนมปัง

“จันทราโลหิตเกิดขึ้นกะทันหันจนทำให้ฉันนอนไม่หลับ จึงตื่นเร็วกว่าปรกติ…ฟอร์ส เธอสบายดีหรือ? นึกว่าเสียงเพรียกพิสดารในหัวรุนแรงจะรุนแรงกว่าปรกติเสียอีก” ซิลซักถามอย่างเป็นกังวล

ดวงตาฟอร์สพร่ามัวกะทันหัน เธอรีบเบือนหน้านีพร้อมกับสวมรอยยิ้มจืดชืด พลางกล่าวเสียงห้วนตามนิสัยปรกติ

“ซิล เธอไม่มีสมองหรือไง ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าคืนจันทราโลหิตจะทำให้เสียงเพรียกรุนแรงขึ้นจากเดิม! แต่ดูเหมือนคราวนี้จะรอดมาได้…ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว…ไม่เชื่อก็ลองสำรวจร่างกายฉันดูสิ เห็นความกระฉับกระเฉงและมีพลังงานของฉันไหม! อ๊ะ! อย่าลืมปิ้งขนมปังเผื่อฉันด้วย”

“แต่เธอไม่ชอบกินขนมปังปิ้งไม่ใช่หรือ” ซิลใช้สองมือสางเส้นผมสีทองพลางพึมพำ

หลังจากแก้แค้นก้าวแรกสำเร็จและเลื่อนลำดับพลัง ไคลน์นอนหลับยาวตลอดทั้งคืน ก่อนจะตื่นขึ้นมาและเดินออกไปซื้อบะหมี่เฟเนพ็อตเป็นอาหารเช้า รวมถึงพายเดซีและชาเย็นหวานชื่นใจหนึ่งแก้ว

หลังจากดื่มด่ำไปกับอาหารโปรด ชายหนุ่มวางส้อมและมืดลง หยิบหนังสือพิมพ์ และนั่งอ่านด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งเป็นพิเศษ

มันกวาดสายตาอ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ทัสซอคหนึ่งรอบ

“ภายใต้ค่ำคื่นแห่งจัทราโลหิต ฆาตกรใจทรามฉวยโอกาสลงมืออุกอาจอีกครั้ง!”

อีกแล้วหรือ…? ไคลน์รีบหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นขึ้นมาอ่านพาดหัว และพบว่าเกือบทั้งหมดมีลักษณะคล้ายคลึงกัน

“สิบเอ็ดคดีอย่างแท้จริง! ซิลวารัสยาร์ดช่างไร้น้ำยา!”

“ฆาตกรเลือดเย็นเริ่มเหยียดหยามกรมตำรวจอีกครั้ง!”

“ความแตกตื่นโกลาหลกำลังแพร่กระจายไปทั่วกรุงเบ็คลันด์!”

นี่มัน…เหยี่ยวราตรีกับทูตพิพากษาคงกำลังหัวปั่นกันอยู่แน่…ไคลน์ถอนหายใจ

ด้วยความสัตย์จริง ชายหนุ่มต้องพยายามระงับความรู้สึกอยากจับตัวฆาตกรเอาไว้

ย้อนกลับไปสมัยโลกเก่า ไคลน์ในวัยเด็กหลงใหลการเป็นวีรบุรุษ และอยากเป็นผู้กอบกู้โลกบ้างสักครั้ง แต่ปัจจุบัน ในฐานะผู้วิเศษลำดับเจ็ด ซึ่งมีพลังดังกล่าวในมือ มันกลับเลือกปล่อยผ่านโดยไม่แยแส ไคลน์รู้สึกผิดกับตัวเองไม่น้อย แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก

เฮ่อ…น่าเสียดาย คดีนี้ได้รับความสนใจจากมวลชนมากเกินไป หากเราร่วมวงสืบสวนและบังเอิญจับตัวคนร้ายได้ แบบนั้นจะไม่เท่ากับเปิดเผยตัวตนเอาหรือ? จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด…เหนือสิ่งอื่นใด จากคำอธิบายของเดอะซันน้อย ฆาตกรคือผู้วิเศษลำดับหก ซึ่งย่อยโอสถสมบูรณ์และกำลังประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับห้า… เราอาจไม่กลัวตายก็จริง แต่คงเอาชนะไม่ได้เช่นกัน ถึงจะมีเวทมนตร์ใหม่ช่วยสนับสนุนถึงเก้าชนิดก็ตาม…แบบนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป…ไคลน์ตรึกตรองถี่ถ้วน และได้ข้อสรุปว่าตนควรเป็นเพียงพลเมืองธรรมดาคนหนึ่ง

มันยังเชื่อในน้ำยาของโบสถ์ หากฆาตกรลงมือก่ออาชญากรรมต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทิ้งร่องรอยเบาะแสไว้ ทำให้เพิ่มโอกาสในการจับกุม

หลังจากอ่านข่าวสารครบ ไคลน์หยิบหนังสือพิมพ์เบ็คลันด์ฉบับเช้าขึ้นมากาง และพบว่าหน้าห้ามีโฆษณารับซื้อสินค้าจากบริษัทเอินส์เขียนกำกับอยู่

แปลว่าพรุ่งนี้สองทุ่มจะมีการชุมนุมลับในบ้านหลังเดิม…ถึงเวลาขายผลึกแก่นน้ำพุเอลฟ์ให้กับนักปรุงยาร่างท้วมเสียที…ไคลน์พึมพำพลางจดจำราคาสี่หลักแรกจากเนื้อหาของโฆษณา

ครึ่งชั่วโมงถัดมา ชายหนุ่มจัดการอ่านหนังสือพิมพ์กองโตจนหมดเกลี้ยง และเริ่มกลับมาพิจารณาอนาคตตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง

แผนระยะยาวคือ พัฒนาตัวเองให้กลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูง ‘ครึ่งเทพ’ และเตรียมล้างแค้นอินซ์·แซงวิลล์

ส่วนแผนระยะกลาง…รีบค้นหาวิธีสวมบทบาทเป็นนักมายากล ต้องหมั่นสรุปผล ทดลอง และปรับแต่งกฎไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เทคนิคสวมบทบาทสมบูรณ์แบบ ระหว่างนั้นก็ค้นหาวัตถุดิบปรุงโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ไปพลาง…ประกอบด้วย เงามืดหนังมนุษย์ เส้นผมของนากาทะเลลึก เลือดนักล่าพันหน้า และต่อมใต้สมองกลายพันธุ์ รวมถึงค้นหาวิธีขจัดการปนเปื้อนออกจากดวงตาดำล้วน

อึก…วัตถุดิบหลักของโอสถลำดับหก จะมีราคาตกชิ้นละ หนึ่งพันห้าร้อยปอนด์… แพงฉิบ!

เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการสมบัติวิเศษช่วยในการโจมตีหรือรัดตรึงศัตรู เพราะแม้ว่านักมายากลค่อนข้างแข็งแกร่งในการต่อสู้ แต่พลังส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับการหลบหลีกและเอาชีวิตรอด ในสถานการณ์ทั่วไป การโจมตีทรงพลังอันดับยังหนีไม่พ้นปืนลูกโม่ ถึงจะมีข้อได้เปรียบเป็นความคล่องแคล่วและลอบจู่โจมในทิศทางไม่คาดฝัน แต่ก็ยังขาดพลังทำลายหรือพลังในการ ‘ตรึง’ ให้อยู่หมัด

แผนระยะสั้น…แผนระยะสั้น…หืม…ต้องรีบตัดกระดาษรูปคนเตรียมเผื่อไว้ รวมถึงแวะเวียนไปชมคณะละครสัตว์บ่อยครั้ง เพื่อผ่อนคลายตัวเองและหาแรงบันดาลใจใหม่สำหรับสวมบทบาทนักมายากล…เราเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า กรุงเบ็คลันด์จะมีคณะละครสัตว์แบบถาวรอยู่ราวสองสามแห่ง…

เมื่อได้ข้อสรุปให้ตัวเอง ไคลน์รีบทำความสะอาดจานชาม ล้างมีดส้อม และอุทิศเวลาให้กับการเตรียมตัวขั้นแรก

เวลาล่วงเลยจนกระทั่งเกือบเที่ยงวัน ชายหนุ่มวางกรรไกรพลางจ้องมองกระดาษรูปคนทั้งสามแผนตรงหน้า ลักษณะค่อนข้างหยาบ จากนั้นก็รำพันกับตัวเอง

ไม่เคยคิดว่าจะต้องจริงจังกับงานฝีมือขนาดนี้มาก่อน!

โชคยังดี แค่ต้องตัดกระดาษให้คล้ายมนุษย์ ไม่ใช่งานฝีมือซับซ้อนอย่างประดิษฐ์ดอกไม้หรือเย็บปักถักร้อย ขอแค่มีรูปทรงเหมือนคนก็เพียงพอ

ถ้าไม่เพราะพลังนักมายากลช่วยให้ฝ่ามือและปลายนิ้วของเรานิ่งขึ้น การทดลองทำครั้งแรกคงล้มเหลวแน่…

ไคลน์ลองใช้กระดาษรูปคนซึ่งทำมาเผื่อ ทดสอบพลัง ‘สลับตำแหน่งกับกระดาษ’ และยืนยันขีดความสามารถจนพึงพอใจ

มันนำกระดาษรูปคนซ่อนไว้ระหว่างปึกธนบัตร และสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อตามปรกติ

ขณะกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปกินมื้อเที่ยงในร้านหรู ต่อด้วยแวะเข้าชมคณะละครสัตว์เพื่อผ่อนคลายสมอง เสียงกริ่งบ้านพลันดังกังวานกะทันหัน

งานใหม่…? จะว่าไป โฆษณาบนหนังสือพิมพ์เบ็คลันด์โพสของเราใกล้หมดอายุแล้วสินะ…ไคลน์ผู้สวมเสื้อเชิ้ตและเสื้อขนสัตว์ทับ เดินตรงไปยังประตูหน้าและใช้มือจับลูกบิด

พร้อมกันนั้น ภาพของผู้มาเยือนได้ผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์

อีกฝ่ายคือชายวัยสี่สิบ อ้วนมาก แม้แต่การทรงตัวยืนยังทำได้ลำบาก

ดวงตาหรี่เล็กกว่าปรกติเนื้อจากถูกก้อนเนื้อรอบนอกเบียดเสียด ผิวหนังหยาบกร้านแต่ขาวผ่อง มือข้างหนึ่งถือไม้ค้ำสุภาพบุรุษ ศีรษะสวมหมวกทรงสูงปีกกว้าง

แม้ว่ากรุงเบ็คลันด์จะมีอากาศหนาวเย็นในเดือนตุลาคม แต่หน้าผากของอีกฝ่ายกลับชุ่มฉ่ำไปด้วยเม็ดเหงื่อ

ด้านข้างเป็นคนรับใช้สองคนในโค้ทสีแดง คอยพยุงไม่ให้ชายวัยสี่สิบล้มหงายหลัง

ไม่รู้จักแฮะ…ไคลน์พึมพำพร้อมกับเปิดประตูโดยไม่รอให้ภาพนิมิตหายไป

“ทิวาสวัสดิ์ครับ วันนี้อากาศร้อนเป็นบ้าเลยว่าไหม?” สุภาพบุรุษร่างท้วมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปาดเหงื่อ

ขณะกล่าว สายลมเย็นเฉียบพลันพัดผ่าน ส่งผลให้คนรับใช้ทั้งสองออกอาการสั่นเทา

“ทิวาสวัสดิ์ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้หรือ” ไคลน์ซักถามสุภาพ

“นักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ใช่ไหม? ผมมีงานให้คุณทำ” ชายวัยกลางคนยิ้มแห้ง “จริงสิ…ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมคือร็อค·คอร์โรมัน เป็นพ่อค้าอัญมณี”

“เชิญเข้ามาข้างในก่อน” ไคลน์ยิ้มพร้อมกับขยับตัวเปิดทาง

ร็อค·คอร์โรมันย่างกรายด้วยฝีเท้าแน่นหนัก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาสภาพค่อนข้างเก่าภายในห้องนั่งเล่น ส่งผลให้เกิดเสียงเสียดสีคล้ายกับพยายามประท้วง

“ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ” ไคลน์ควักเหรียญเพนนีออกมาควงเล่นระหว่างนิ้วอย่างชำนาญ

ร็อคถอนหายใจยาว

“ผมต้องการให้คุณช่วยปกป้องลูกชายของผมจนถึงบ่ายวันพรุ่งนี้ เขาบังเอิญไปทำให้กลุ่มคนเสียสติไม่พอใจ”

“ถึงบ่ายวันพรุ่งนี้? คุณทราบวิธีแก้ปัญหาแล้วหรือ…ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ?” ไคลน์ซักถามอย่างใจเย็น

ร็อคเงียบงันหนึ่งอึดใจ ก่อนจะเริ่มอธิบาย

“อาโดลเข้าไปพัวพันกับองค์กรไม่ดี ส่งผลให้เขาเคยทำตัวไม่ดีตามกลุ่มคนเหล่านั้น…ถ…ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ก็ผิดกฎหมายแน่นอน และมากพอจะทำให้ติดคุกด้วย ดังนั้น ถ้าไม่หมดสิ้นหนทางอย่างแท้จริง ผมจะไม่แจ้งตำรวจเด็ดขาด เขาเพิ่งหลุดพ้นจากกลุ่มเพื่อนไม่ดีมาได้ แต่หลังจากนั้นกลับเริ่มเห็นภาพหลอน และเอาแต่แหกปากตะโกนว่า มีใครบางคนกำลังตามฆ่าเขา ผมกังวลมาก จึงจ้างคนคุ้มกันมีประสบการณ์จำนวน หกคนคอยรักษาความปลอดภัยรอบบ้าน รวมถึงจ้างนักสืบเอกเชนอีก สี่คนคอยผลัดเปลี่ยนเวรคอยดูแลอาโดล ไม่เว้นแม้ในยามหลับ แต่หนึ่งใน 4 นักสืบกลับเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน จะกลับมาทำงานได้ในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ ผมจึงต้องจ้างนักสืบคนอื่นมาแทนชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงจ้างคุณได้แค่วันเดียว เอ่อ…ค่าตอบแทนคือ สิบปอนด์ และถ้าคุณต้องเผชิญอันตราย ผมจะเพิ่มเงินให้อีกจนคุณพึงพอใจ”

อะไรนะ…สิบปอนด์? แค่วันเดียวเนี่ยนะ? เท่ากับค่าแรงรายสัปดาห์ของมิสเตอร์ซาเมอร์ข้างบ้านเลยไม่ใช่หรือ… ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่าร็อคพูดจริง จากสีออร่าอารมณ์และปัจจัยอื่นประกอบเข้าด้วยกัน

ขณะบรรยากาศภายในบ้านกำลังเงียบสงัด ชายหนุ่มดีดเหรียญเพนนีขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแบมือรับ

แปะ!

ไคลน์ชำเลืองมอง ตามด้วยเผยรอยยิ้ม

“เป็นอันตกลง”

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version