ตอนที่ 89 : ภารกิจง่ายๆ
ไคลน์พยักหน้าและพูด
“ได้ครับ แต่ผมยังไม่ทราบว่าภารกิจที่ต้องทำเกี่ยวกับอะไร”
“ไม่มีอันตราย หรืออย่างน้อย ผมก็ไม่เห็นสัญญาณของอันตรายปรากฏ”
ดันน์เกริ่นนำให้อีกฝ่ายเบาใจ
“คดีนี้ถูกส่งต่อมาจากกรมตำรวจเขตไม้ฟินิกซ์ เศรษฐีใจบุญชื่อดัง เซอร์เดอไวล์ ถูกคุกคามอย่างหนักในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทั้งบอดี้การ์ด หน่วยคุ้มกัน รวมถึงตำรวจ ต่างพยายามสืบหาสาเหตุอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่มีใครที่พบเบาะแส สารวัตรทอเร่คาดว่า อาจเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับผู้วิเศษ จึงทำการส่งเรื่องต่อมายังเหยี่ยวราตรี”
เซอร์เดอร์ไวล์ที่พบบนห้องสมุด ท่าทางอ่อนเพลียเกิดจากการถูกคุกคามเองหรือ
ไคลน์ขมวดคิ้วถาม
“เป็นการคุกคามแบบไหนครับ?”
“ยังไม่มีการคุกคามทางกายภาพ ดังนั้น ระดับการคุกคามยังถือว่าไม่รุนแรง เซอร์เดอไวล์จะได้ยินเสียงคร่ำครวญในทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นอกเมืองทิงเก็นก็ไม่รอดพ้น เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการนอนมาก”
ดันน์พลิกหน้ากระดาษ
“เขาจึงไปพบจิตแพทย์เพื่อหาสาเหตุ จากนั้นก็สอบถามพ่อบ้านและสาวใช้ เพื่อยืนให้แน่ใจว่าไม่ใช่อาการจิตหลอน เมื่อมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง…หมายความว่า มีใครบางคนเจตนาคุกคามเขา”
ดันน์ปิดแฟ้มและเงยหน้ามองไคลน์
“คุณต้องเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดว่าที่สารวัตรเสียก่อน เครื่องแบบอยู่ในห้องพัก จากนั้นค่อยออกไปพบสารวัตรทอเร่ที่สโมสรยิงปืนซุตแลน เขาจะมอบรายละเอียดเพิ่มเติมให้คุณภายหลัง”
“เครื่องแบบว่าที่สารวัตร?”
ไคลน์ถามด้วยสีหน้าฉงน
ดันน์ลูบหน้าผาก
“รายได้ของพวกเราครึ่งหนึ่งมาจากกรมตำรวจ หมายความว่า ชื่อของพวกเราไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในกรมตำรวจเล่นๆ หากยังจำได้ ในตอนที่คุณได้พบผมและเลียวนาร์ดครั้งแรก พวกเรากำลังสวมเครื่องแบบอยู่ นี่คือสวัสดิการพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเท่านั้น ใช่แล้ว…สวัสดิการ…คำที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นและชอบเรียกบ่อยครั้ง”
น่าเสียดายที่ตนสวมเครื่องแบบตำรวจมาทำงานทุกวันไม่ได้ เพราะฉากหน้าเป็นแค่บริษัทรักษาความปลอดภัย ไม่อย่างนั้นคงมีชุดสำรองเพิ่มอีกหนึ่ง
ไคลน์หยิบไม้ค้ำและโบกมือลาดันน์·สมิท
เมื่อเข้าไปในห้องพัก มันพบเสื้อผ้าลายตารางหมากรุกสีขาวสลับดำ รองเท้าคอมแบทหนังวางอยู่ข้างกันบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
หมวกตำรวจสีดำเงามีตราสัญลักษณ์กรมตำรวจ ดาบไขว้และมงกุฎ ติดอยู่กึ่งกลางบริเวณด้านหน้า
บริเวณหัวไหล่ของเสื้อมีเครื่องหมายแสดงชั้นยศติดเรียบร้อย เป็นอินทรธนูสีขาวสลับดำซึ่งมีดาวเงินแวววาวประดับสองดวง
“นี่คือชุดว่าที่สารวัตร?”
ไคลน์ชำเลืองมองและพบตัวเลข 06-254 ปักด้วยด้ายไว้ใต้ดาวเงิน
มันพอจะเข้าใจลำดับชั้นของกรมตำรวจอาณาจักรโลเอ็นอยู่บ้าง
ตำแหน่งสูงสุดคือผู้บัญชาการกรมตำรวจแห่งชาติ รองมาเป็นอธิบดีกรมตำรวจ
ต่ำกว่านั้นจะแยกเป็นกรมตำรวจของแคว้น
ประกอบด้วย
ผู้บัญชาการกรมตำรวจแคว้น
รองผู้บัญชาการกรมตำรวจแคว้น
และผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมตำรวจแคว้น
ที่เหลือจะเป็นนายตำรวจประจำสถานีประกอบด้วยผู้กำกับการและสารวัตร โดยลำดับชั้นต่ำสุดภายในสถานีตำรวจคือนายสิบและพลตำรวจ
หลังจากปิดประตูห้องพัก ไคลน์รีบถอดชุดของตนและเปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบว่าที่สารวัตร เมื่อเสร็จเรียบร้อย มันเดินออกจากห้องโดยแขวนสูทตัวเก่าไว้บนราว
ไคลน์มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน มันตรวจสอบความเรียบร้อยเครื่องแบบครั้งสุดท้ายด้วยกระจกบานใหญ่ที่โรแซนนำมาให้
“ไม่เลว”
ไคลน์ชมเชยด้วยน้ำเสียงหลงตัวเอง มันวางไม้ค้ำไว้ภายในห้อง ก่อนจะเดินออกจากบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ
ภายในกระเป๋าเสื้อมีอุปกรณ์จำเป็นที่ครบครัน ตั้งแต่อาวุธไปจนถึงตราตำรวจ
…
เมื่อมาถึงสโมสรยิงปืน ไคลน์ได้พบกับสารวัตรทอเร่ทันที เนื่องจากทั้งสโมสรมีเพียงบุคคลเดียวที่สวมเครื่องแบบตำรวจ
จริงสิ ยังมีเราด้วยอีกคน…มันพึมพำ
อินทรธนูบนบ่าของสารวัตรทอเร่มีดาวเงินสองดวงแสดงถึงตำแหน่งสารวัตรเช่นกัน ชุดของมันค่อนข้างรัดแน่น โดยป่องเป็นพิเศษบริเวณช่วงพุง
ทอเร่เป็นชายร่างใหญ่ เคราสีทองดกหนา แต่ไม่สง่า หรือบางทีอาจเคยสง่าเมื่อในอดีต
“โมเร็ตติ? ไคลน์ โมเร็ตติ?”
สารวัตรทอเร่ทักทายไคลน์ด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ สารวัตรทอเร่ หวังว่าผมคงไม่ทักผิดคน”
ไคลน์ทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร และจากความทรงจำ มันไม่ลืมที่จะยกแขนขวาขึ้นทำวันทยหัตถ์
ทอเร่หัวเราะคิกคัก
“ผมมั่นใจว่าคุณเป็นคนหนุ่มที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุข เอาล่ะ พวกเรารีบไปที่บ้านเซอร์·เดอไวล์กันเถอะ”
แม้จะมียศสูงกว่า แต่ทอเร่ก็มีได้ถือตัว
“ได้ครับ”
ไคลน์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเสนอแนะ
“เกี่ยวกับรายละเอียดของคดี คุณค่อยเล่าให้ผมฟังบนรถม้าก็ได้ครับ”
“ตกลง”
ทอเร่ลูบไล้เคราดกสีทองพลางเดินนำทางออกจากสโมสรยิงปืน คนทั้งสองเดินข้ามถนนไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม
ด้านข้างตู้โดยสารมีตราดาบไขว้และมงกุฎเด่นสง่า มาพร้อมพลขับส่วนตัว
“เซอร์เดอไวล์เป็นผู้ศรัทธาโบสถ์รัตติกาล พวกเราจึงส่งมอบคดีนี้ให้เหยี่ยวราตรี”
ทอเร่เกริ่นขณะทิ้งตัวนั่ง
“ผมทราบครับ เศรษฐียศอัศวินผู้นี้ปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน”
ไคลน์ยิ้ม
ทอเร่หยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้านข้างลำตัว แกะซอง และหยิบปึกกระดาษด้านในออกมาพลิกอ่าน
“ถึงคุณจะทราบอยู่แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องแจ้งรายละเอียดของคดีอย่างถี่ถ้วน เซอร์เดอไวล์เป็นหนึ่งในเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองทิงเก็น เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจด้วยกิจการตะกั่วและเซรามิก ภายหลังเริ่มขยายไปถึงอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ถ่านหิน ขนส่ง ธนาคาร และพันธบัตร เซอร์เดอไวล์ยังเป็นเศรษฐีใจบุญที่แม้แต่องค์ราชาชมเชย เขาก่อตั้งองค์กรการกุศลเดอไวล์ บริษัทสินเชื่อเดอไวล์ และหอสมุดเดอไวล์ ถูกแต่งตั้งยศอัศวินเมื่อห้าปีก่อน หากชายคนนี้ต้องการเป็นนายกเทศมนตรีเมืองทิงเก็น เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเซอร์เดอไวล์อยู่ที่เบ็คลันด์ เขาต้องการเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทน พวกเราจึงสงสัยว่า สาเหตุการคุกคามอาจมาจากจุดนี้”
ไคลน์พยักหน้า
“เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ แต่พวกเรายังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด”
ทอเร่ไม่ขัดข้องกับคำโต้แย้ง มันอธิบายต่อ
“นับตั้งแต่วันที่หก เดือนก่อน เซอร์เดอไวล์จะได้ยินเสียงคร่ำครวญที่เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่หลับ แน่นอน เขาพยายามขวนขวายหาวิธีขจัดปัญหาอย่างสุดความสามารถ สำรวจรอบบ้านโดยละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติ ด้านพ่อบ้านและสาวใช้ต่างยืนยันว่าได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นกัน เพียงแต่ไม่ดังเท่า ในตอนแรก เซอเดอร์ไวล์คิดว่าอีกไม่นานก็คงหายไปเอง แต่ไม่ใช่เลย ยิ่งเวลาผ่านไป เสียงคร่ำครวญก็ยิ่งปรากฏบ่อยครั้ง ถึงขั้นเกิดขึ้นในเวลากลางวัน กรณีเลวร้ายจะได้ยินเสียงหวีดแหลมคล้ายกับคนร้องขอชีวิต การนอนของเขาถูกรบกวนรุนแรง จนท้ายที่สุดก็หมดความอดทน เซอร์เดอไวล์ตัดสินใจย้ายไปพักนอกทิงเก็นชั่วคราว แต่เสียงคร่ำครวญกลับยังคงตามหลอกหลอน ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงอย่างเบ็คลันด์ เขาทำการจ้างหน่วยคุ้มกันประจำตัว แต่ก็ไม่มีใครพบเบาะแส การสืบสวนเบื้องต้นของกรมตำรวจจึงไม่มีความคืบหน้า เซอร์เดอไวลทุกข์ทรมาณมานานกว่าหนึ่งเดือน ในช่วงที่จิตใจใกล้แตกสลาย เขาตัดสินใจไปพบจิตแพทย์เพื่อบรรเทาอาการตึงเครียด รวมถึงหาสาเหตุต้นตอของเสียงลึกลับ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เซอร์เดอไวล์จึงประกาศกร้าว หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขภายในหนึ่งเดือน เขาจะย้ายสำมะโนครัวออกจากทิงเก็นและไปอยู่เบ็คลันด์ถาวร ที่นั่นต้องมีใครสักคนสามารถช่วยได้แน่”
หลังจากฟังสารวัตรทอเร่อธิบายอย่างละเอียด ไคลน์ได้ข้อสรุปเบื้องต้น
ไปล่วงเกินผู้วิเศษเข้าจนถูกคำสาปหรือเปล่า?
ไม่สิ ถ้าเป็นคำสาป พ่อบ้านและสาวใช้คงไม่ได้ยินเสียงแบบเดียวกัน
หรือจะมีผู้วิเศษแฝงตัวอยู่ในหมู่คนรับใช้และหน่วยคุ้มกัน?
แต่ปัญหาคือ ไม่มีคดีที่เกี่ยวกับเซอร์เดอไวล์เลยตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เผลอไปทำให้วิญญาณร้ายโกรธเข้าหรือ?
เรื่องนั้นก็มองข้ามไม่ได้…
ขณะไคลน์ดำดิ่งในความคิด รถม้าเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตไม้ฟินิกซ์ และจอดลงที่ประตูหน้าบ้านเซอร์เดอไวล์
รั้วเหล็กกล้าแข็งแรงทนทานถูกสร้างล้อมบ้านไว้แน่นหนา สองข้างฝั่งสายตาเป็นลานหญ้าเขียวขจี
ถัดจากประตูหลักเข้าไปมีสองรูปปั้นขนาดใหญ่รอต้อนรับ ทางเดินแสนกว้างขวางทอดยาวเข้าบ้าน มันใหญ่พอจะให้รถม้าวิ่งได้สามคันพร้อมกัน กึ่งกลางทางเดินมีบ่อน้ำพุพร้อมด้วยรูปปั้นหินอ่อนแกะสลักงดงาม
ตัวบ้านเป็นอาคารหลังใหญ่สองชั้น กว้างกว่าบ้านปรกติค่อนข้างมาก
“แม้แต่บ้านของอัศวินก็ยังสูงแค่สองชั้นเองหรือ…? เคยได้ยินมาว่า ที่เบ็คลันด์กำลังทดสอบก่อสร้างหอพักสิบชั้นเป็นอาคารต้นแบบ…”
หลังจากลงรถม้า ไคลน์เหลือบเห็นตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ อินทรธนูบนหัวไหล่ติดเครื่องแสดงยศสามบั้ง หมายถึงสิบเอก
มันจ้องไคลน์ครู่หนึ่งก่อนทำวันทยหัตถ์
“อรุณสวัสดิ์ครับผม!”
“อรุณสวัสดิ์”
ไคลน์ยิ้มตอบ
ทอเร่อธิบาย
“นี่คือสิบเอกเกตต์ ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกเขาได้เลย ส่วนนี่คือว่าที่สารวัตรโมเร็ตติ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านประวัติศาสตร์และจิตวิทยาจากกรมสอบสวนกลาง”
ทอเร่แนะนำตัวไคลน์สุดอลังการ
ใส่สรรพคุณมากเกินไปแล้ว…ไคลน์ตัดพ้อ
หลังจากแนะนำตัวเสร็จสรรพ เกตต์ชี้นิ้วไปทางบ้านสองชั้นหลังน้ำพุ และหันมาพูดกับชายหนุ่ม
“เซอร์เดอไวล์กำลังรอพบด้านในครับ”
“ตกลง”
ไคลน์พยักหน้าพร้อมกับจัดระเบียบลูกโม่ที่เหน็บข้างเอว หากต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สิ่งนี้ถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่มี
ในฐานะที่สวมเครื่องแบบตำรวจ ไคลน์สามารถพกปืนได้อิสระ มันจึงเหน็บไว้ที่เอวเพื่อง่ายต่อการหยิบใช้
ทั้งสามเดินพูดคุยเล็กน้อยระหว่างทาง อ้อมบ่อน้ำพุ และไปถึงหน้าประตูบ้าน
ปัจจุบัน บานประตูถูกเปิดอ้า คนรับใช้ยืนรอต้อนรับด้วยกิริยาท่าทางนอบน้อม
ไคลน์แสร้งทำเป็นจัดระเบียบหมวก แต่แอบใช้ปลายนิ้วแตะหว่างคิ้วเพื่อเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ
ภายในบ้าน ชายหนุ่มได้พบเซอร์เดอไวล์ใบหน้าเหลี่ยม กำลังให้คนใช้นวดขมับและหน้าผากภายในห้องโถงบ้าน สีหน้าของมันอ่อนเพลียชัดเจน เส้นผมสีทองและนัยน์ตาฟ้าครามเริ่มปรากฏอาการหม่นหมอง คล้ายกับแก่ชราลงจากเดิมห้าปี
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านเซอร์เดอไวล์”
ไคลน์ ทอเร่ เกตต์ โน้มตัวคำนับพร้อมกัน
เดอไวล์ลุกขึ้นยืนพลางฝืนยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์เหล่าเจ้าหน้าที่ ผมหวังว่าปัญหาจะถูกแก้ไขโดยเร็วนะ”
ไคลน์ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสุดฉงน
เพราะนอกจากอาการอ่อนเพลียแล้ว เซอร์·เดอไวล์ไม่ปรากฏความผิดปรกติด้านอื่นทางสีออร่าแม้แต่น้อย
แปลกมาก…
มันตัดสินใจซักถาม
“ท่านเซอร์ เริ่มได้ยินเสียงคร่ำครวญจากห้องไหนหรือครับ?”
“ห้องนอนฉัน”
เดอไวล์ตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ขอเข้าไปดูได้ไหมครับ?”
ไคลน์หยั่งเชิง
“พวกคุณเคยตรวจสอบกันหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือ?”
พ่อบ้านที่ยืนด้านข้างเป็นฝ่ายพูดแทรก ท่าทีของมันบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหวาดระแวงในตัวไคลน์
ชายหนุ่มอมยิ้ม ท่าทียังคงสุขุม
“บุคคลที่เคยตรวจสอบไม่ใช่ผม แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน”
“ท่านเซอร์ครับ นี่คือนายตำรวจเชี่ยวชาญพิเศษที่ถูกส่งตรงจากกรมสอบสวนกลาง”
ทอเร่ได้โอกาสแนะนำตัวไคลน์
เดอไวล์ยืนมองเจ้าหน้าที่พิเศษครู่หนึ่ง
“ตกลง คัลเลน นำทางพวกเขาไปที่ห้องนอนฉัน”
“ท่านเซอร์ครับ ผมต้องการให้ท่านไปกับเราด้วย”
เดอไวล์แสดงสีหน้าลังเล ก่อนจะพึมพำ
“ก็ได้…ถ้านั่นช่วยขจัดปัญหา”
มันหยิบไม้ค้ำและเดินนำขึ้นบันไดด้วยสภาพร่างกายไม่แข็งแรง รอบข้างมีพ่อบ้านและคนรับใช้อีกมากรอพยุงหากเสียหลัก
ไคลน์เดินตามด้านหลังสุดพร้อมกับใช้เนตรวิญญาณกวาดมองสภาพแวดล้อม
หนึ่งก้าว
สองก้าว
สามก้าว
ทุกคนเดินขึ้นไปถึงชั้นสอง และหยุดลงหน้าห้องนอนใหญ่ของบ้าน
แต่ยังไม่ทันจะได้สำรวจภายในห้อง เส้นขนทั่วร่างไคลน์พลันตั้งชันโดยพร้อมเพรียง
สิ่งนี้คือลางบอกเหตุจากสัมผัสวิญญาณ
……………………