ตอนที่ 96 : ข้อสันนิษฐานของดาลี่ย์
เช้าวันถัดมา ไคลน์ที่ฟื้นฟูอาการอ่อนเพลียจนหายขาด ย่างกรายขึ้นบันไดสำนักงานบริษัทหนามทมิฬอย่างใจเย็น
“อรุณสวัสดิ์ไคลน์ วันนี้อากาศดีและเย็นสบายมาก ฉันรองานเลี้ยงช่วงค่ำไม่ไหวแล้ว”
โรแซนในเดรสเขียวอ่อน กล่าวทักทายชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มสดใส
ไคลน์เลื่อนมือลงไปจับท้อง
“มิสโรแซน คุณไม่ควรถึงพูดเรื่องอาหารในตอนที่ยังเช้าตรู่…แค่คิดถึงงานของวันนี้ก็ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนแล้ว ได้แต่หวังให้ตอนเย็นมาถึงไวๆ”
“เหมือนกัน”
โรแซนคิกคัก จากนั้นก็เหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะโบกมือให้ไคลน์เดินเข้าไปใกล้
เธอกระซิบเสียงค่อย
“ฉันเพิ่งได้พบมาดามดาลี่ย์มา”
“ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์?”
มันโพล่งอย่างประหลาดใจ
ผู้สื่อวิญญาณที่โด่งดังที่สุดของแคว้นอาโฮว่า เธออาศัยอยู่ที่ท่าเรือเอ็นมาร์ทเสมอ ซึ่งนั่นค่อนข้างไกลกับทิงเก็น
“อื้อ!”
โรแซนพยักหน้าหนักแน่นก่อนอธิบายต่อ
“แต่เธอกลับไปแล้ว…ถ้าได้เป็นผู้สื่อวิญญาณบ้าง ฉันจะไปจากทิงเก็นและท่องโลกกว้างทันที! ไม่ว่าจะอินทิส ฟุซัค หรือเฟเนพ็อต…ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เขียวขจี ป่าดงดิบ รวมถึงทุ่งหิมะขาวโพลน!”
คุณสุภาพสตรี อย่าลืมกฎเหล็กของเหยี่ยวราตรีสิครับ…ไคลน์ส่ายศีรษะขบขัน
“แม้แต่มาดามดาลี่ย์ยังต้องทำเรื่องขออนุญาตเป็นพิเศษเพื่อให้ได้อยู่ที่เอ็นมาร์ท”
“ฉันรู้น่า! ช่วยอย่าเพิ่งขัดและทำลายความฝันของสาวน้อยจะได้ไหม!”
โรแซนทำแก้มป่อง
“ฉันไม่มีทางเป็นผู้วิเศษตั้งแต่แรกแล้ว มันน่ากลัวเกินไป ไม่รู้จะถูกยิงตายตอนไหน ในสายตาของฉัน ผู้วิเศษไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาด”
“อาร์คบิชอปยานิสเคยกล่าวว่า พวกเราคือผู้พิทักษ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์น่าสมเพชที่ต้องต่อสู้กับภัยคุกคามและความบ้าคลั่งของโลก”
ไคลน์เสริมพร้อมกับถอนหายใจยาว มันค่อนข้างฝังใจกับวลีดังกล่าว
การจะสู้กับนรก ตนต้องคอยระมัดระวังการกัดกร่อนและเย้ายวนจากนรก
บทสนทนาทั้งสองพลันเงียบงันสักพัก จนกระทั่งโรแซนเป็นฝ่ายเริ่ม เธอใช้คางชี้ไปยังทิศทางหลังฉากกั้น
“หัวหน้าบอกว่า ถ้าคุณมาถึงแล้วให้ไปพบเขาที่ห้องทำงาน”
“เข้าใจแล้ว”
ด้วยไม้ค้ำในมือ ไคลน์เดินผ่านฉากกั้นและเคาะบานประตู จากนั้นก็หมุนเปิดพร้อมกับย่างกรายเข้าไปในห้อง
ชายวัยกลางคนผู้มีนัยน์ตาเทาลุ่มลึก ศีรษะเถิกเล็กน้อยตามช่วงอายุ ดันน์·สมิทวางถ้วยกาแฟลงและยิ้ม
“ดาลี่ย์มาที่นี่เมื่อครู่”
“ถ้าผมพูดว่าประหลาดใจคงเป็นการโกหก มิสโรแซนแอบเล่าให้ฟังแล้วครับ”
ไคลน์ยิ้มแห้ง
ดันน์ไม่ถือสามุกตลก มันถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะเล่าต่อ
“ดาลี่ย์เพิ่งถูกส่งตัวไปประจำการที่มุขมณฑลเขตเบ็คลันด์ เขตที่วุ่นวายที่สุดของอาณาจักร มีจำนวนผู้วิเศษสูงสุด และมีโอกาสเจริญก้าวหน้ามากที่สุด…เธออาจได้เป็นอาร์คบิชอปหรืออาวุโสใหญ่ของโบสถ์ก่อนผม”
“เพราะอะไรครับ?”
ไคลน์ถามเสียงฉงนพลางนั่งลง
ดันน์ใช้เวลานึกนานถึงยี่สิบวินาทีก่อนตอบ
“เธอมีพรสวรรค์พิเศษในการย่อยพลังโอสถได้ชะงักงัน…ผมเคยเล่าให้คุณฟังแล้วใช่ใหม่? ผู้วิเศษของโบสถ์ต้องรอให้ครบสามปีจึงจะเข้ารับการทดสอบคุณสมบัติ ว่าสามารถเลื่อนระดับได้หรือไม่ แต่เชื่อผมเถอะ สามปีไม่มีทางพอ ในกรณีของผม จากผู้ไร้หลับไปเป็นนักกวีเที่ยงคืนอาจใช้เวลาสามปี แต่จากนักกวีเที่ยงคืนไปเป็นฝันร้าย ผมต้องใช้เวลานานถึงเก้าปีเต็ม ตอนนี้ก็ผ่านมาสามปีแล้วหลังจากได้เป็นฝันร้าย ผมไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรกว่าจะได้เลื่อนเป็นลำดับหก เมื่อแก่ตัวลง ร่างกายมนุษย์จะเสื่อมสภาพไปตามอายุขัย ไม่เว้นแม้แต่ผู้วิเศษ สิ่งนี้หมายความว่า การเลื่อนระดับในช่วงอายุมากจะมีโอกาสคลุ้มคลั่งสูงกว่าปรกติ ไม่มีใครต้องการเอาชีวิตเข้าเสี่ยง แต่กรณีของดาลี่ย์ เธอแตกต่างจากผู้วิเศษทุกคนที่ผมเคยพบ ทันทีที่ดาลี่ย์กลายเป็นผู้เก็บซากศพ เธอใช้เวลาเพียงปีเดียวในการยื่นคำร้องขอเลื่อนระดับ ทุกคนประหลาดใจมาก และออกปากเตือนว่าบุ่มบ่ามเกินไป แต่หลังจากโบสถ์ส่งคนมาทำการทดสอบคุณสมบัติดาลี่ย์ ปรากฏว่า เธอผ่านการทดสอบอย่างง่ายดายและได้รับโอสถนักขุดสุสานจากโบสถ์ทันที หนึ่งปีหลังจากนั้น ดาลี่ย์ทำแบบเดิม ยื่นคำร้องขอเลื่อนระดับและผ่านการทดสอบง่ายดาย กลายเป็นผู้สื่อวิญญาณภายในระยะเวลาเพียงสองปี จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ดาลี่ย์มีอายุเพียง ยี่สิบสี่ ปีเท่านั้น อนาคตของเธอสดใสมากกว่าใคร”
จากผิวเผินภายนอก ชาวบ้านทั่วไปจะรู้จักมาดามดาลี่ย์ในฐานะผู้สื่อวิญญาณชื่อดังแห่งแคว้นอาโฮว่า แต่นั่นไม่ใช่คำเปรียบเปรยอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ เพราะเธอครอบครองพลังของผู้สื่อวิญญาณตัวจริงเสียงจริง
เทคนิคสวมบทบาท…?
ไม่ผิดแน่ ลุงนีลล์เองก็พูดบ่อยครั้ง ว่ามาดามดาลี่ย์มักทำตัวเหมือนผู้สื่อวิญญาณอยู่เสมอ แถมบรรยากาศรอบตัวก็เย็นชาตลอดเวลา
ไคลน์ทราบเบาะแสที่มาดามดาลี่ย์สามารถเลื่อนลำดับได้รวดเร็วกว่าใคร
“หัวหน้า คุณก็ไม่ได้แก่สักหน่อย เพิ่งสามสิบเท่านั้น อนาคตสดใสไม่ต่างจากเธอ”
ไคลน์พยายามปลอบใจ
ถึงความจำของคุณจะห่วยไปสักหน่อย…
มันแอบเสริม
ดันน์ยกแก้วกาแฟซด มันส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มตำหนิตัวเอง
“ทำไมหัวหน้าถึงไม่ถามวิธีเลื่อนระดับเร็วๆ จากมาดามดาลี่ย์ล่ะครับ?”
ไคลน์ถามเจาะจง
ดันน์วางแก้วกาแฟลง พลางใช้มือข้างหนึ่งบีบนวดขมับ
“เธอเพียงตอบกว้างๆ มาว่า ให้ผมกลายเป็นฝันร้ายที่แท้จริง…ผมไม่เข้าใจว่าดาลี่ย์หมายถึงอะไร”
ก็แค่สวมบทบาทเป็นฝันร้าย…?
เดี๋ยว…จะสวมบทบาทเป็นฝันร้ายยังไง!?
ต้องกลายเป็นคนชั่วงั้นหรือ?
แม้แต่ไคลน์ก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้
ขณะเดียวกัน ดันน์หยิบไปป์ออกมาสูดดมกลิ่นยาสูบด้านใน
“จริงสิ…ผมกับเธอพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางนักทำนายด้วย สมมติให้ตัวตลกสวมสูทไม่ได้โกหกคุณ ดาลี่ย์อธิบายสมมติฐานระหว่างนักทำนายและตัวตลกไว้ในมุมมองที่น่าสนใจ”
“สมมติฐาน?”
ไคลน์โพล่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ แววตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังตื่นเต้น
มันเคยทำนายว่า โอสถตัวตลกใช่ผู้วิเศษลำดับถัดจากนักทำนายหรือไม่ คำตอบออกมาไม่ชัดเจนนัก แต่ก็เป็นไปในทิศทางสอดคล้อง
นัยน์ตาเทาแสนสุขุมของดันน์จ้องมาที่ชายหนุ่ม ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“เส้นทางผู้วิเศษทั่วไปมักมีสิ่งที่สอดคล้องกันในแต่ละลำดับขั้น การพัฒนาลำดับจะช่วยสนับสนุนพลังก่อนหน้า ตัวอย่างเช่นผู้ไร้หลับ นักกวีเที่ยงคืน และฝันร้าย ทั้งสามเกี่ยวข้องกับยามค่ำคืนที่มืดมิด การนอนหลับ และความเงียบสงบ สามารถเดาได้ไม่ยากเลยว่า เส้นทางลำดับถัดไปต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญแน่นอน ด้วยพลังที่แข็งแกร่งขึ้นและหลากหลายขึ้น เส้นทางผู้ไร้หลับจะเกี่ยวข้องกับเทพธิดารัตติกาลโดยตรง คุณลักษณะเด่นประกอบด้วยความลับ หายนะ หวาดผวา พระจันทร์แดง และอื่นๆ ผู้วิเศษบางเส้นทางอาจเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยในแต่ละลำดับ แต่เมื่อลองวิเคราะห์โดยละเอียด พวกเรากลับพบว่าเส้นทางเหล่านั้นมีหัวใจสำคัญร่วมกันอยู่ ตัวอย่างเช่น นักลอบสังหารและนักกระตุ้น พลังของทั้งสองโอสถสามารถสร้างความเจ็บปวด หายนะ ความโศกเศร้าให้แก่ผู้คนหมู่มากได้ ฉะนั้น ลำดับถัดไปก็อาจยึดหลักการเดียวกัน”
ไคลน์ที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ ชิงถามแทรก
“แต่นักทำนายและตัวตลกไม่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบดังกล่าว?”
“ถูกต้อง”
ดันน์พยักหน้า
“ดาลี่ย์เชื่อว่า ยังมีอีกหลายเส้นทางผู้วิเศษที่แต่ละลำดับมีพลังไม่สอดคล้องกัน แต่นั่นเป็นเพียงการคาดเดา เนื่องจากข้อมูลของเราไม่มากพอ”
ดันน์พักหายใจสองสามวินาที
“เธอยังกล่าวอีกว่า เส้นทางเหล่านี้จะเติบโตด้วยรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกันในช่วงลำดับต่ำ การเลื่อนลำดับทุกครั้งจะช่วยให้ได้รับพลังใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงเสมอ ผู้วิเศษเส้นทางเหล่านี้จะแข็งแกร่งด้วยการสะสมความสามารถที่หลากหลายไว้ในตัวคนเดียว หากเมื่อใดรวบรวมพลังจนครบทุกชนิด ผู้วิเศษเส้นทางเหล่านี้จะกลายเป็น ‘อาชีพ’ สุดทรงพลังในทันที ไม่ใช่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการรวบรวมพลังที่กระจัดกระจาย”
แม้ไคลน์จะตั้งใจฟัง แต่มันมิอาจเข้าใจความหมายได้กระจ่าง
ดันน์ยกกำปั้นขึ้นพร้อมกับอธิบายต่อ
“พูดให้เห็นภาพ ผู้วิเศษเส้นทางทั่วไปพัฒนาแบบมนุษย์หนึ่งคน เริ่มจากทารก กลายเป็นเด็กหนุ่ม จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ การเติบโตทางร่างกายจะเห็นได้ชัดเจน รูปร่างสูงขึ้น ตัวโตขึ้น สติปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้น และมีพละกำลังมากขึ้น แต่เส้นทางพิเศษจะเป็นแบบนี้…”
เมื่อพูดจบ ดันเหยียดนิ้วโป้งออกจากกำปั้นและกล่าว
“นี่คือลำดับเก้า”
ถัดมา มันเหยียดนิ้วชี้
“นี่คือลำดับแปด”
จากนั้นค่อยๆ เหยียดนิ้วที่เหลือจนครบ
“ในตอนที่ยังไม่รวมกัน ทุกนิ้วจะอ่อนแอและแยกกันเป็นเอกเทศ แต่ท้ายที่สุด…”
เมื่อสิ้นเสียง ‘สุด’ ดันน์หุบนิ้วทั้งห้ากลับเป็นหมัดอีกครั้ง…แสดงถึงกำปั้นที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้บดขยี้ศัตรูนับตั้งแต่อดีตกาล
“เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์ตาสว่างทันที มันยอมรับว่าสมมติฐานของดันน์และดาลี่ย์ใกล้เคียงความเป็นไปได้มากที่สุด
เป็นเช่นนี้เองหรือ? มันพยักหน้ายอมรับ
ลำดับแปด ตัวตลก และลำดับเก้า นักทำนาย ทั้งสองคือผู้วิเศษที่ไม่มีพลังเกี่ยวข้องกันเลย
และจากเอกสารลับของโบสถ์รัตติกาล คำอธิบายของลำดับเจ็ดก็ดูเหมือนจะไม่สัมพันธ์ด้วยเช่นกัน
ไคลน์เงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนจะเงยหน้าถามดันน์
“หัวหน้าบอกว่า เมื่อถึงจุดที่พลังทั้งหมดรวมกันครบ ผู้วิเศษเส้นทางดังกล่าวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…สินะครับ? แล้วต้องรวบรวมไปจนถึงลำดับเท่าไร?”
ดันน์ซดกาแฟอีกหนึ่งอึก ก่อนจะยิ้ม
“ดาลี่ย์และผมคาดเดาไว้ที่…ลำดับสี่”
“เหตุผล?”
ไคลน์ขมวดคิ้ว
“นำมาจากวิธีจำแนกผู้วิเศษของโบสถ์รัตติกาล ลำดับสี่จะหมายถึงผู้วิเศษขั้นสูง กล่าวกันว่าเป็นพัฒนาการทางพลังวิญญาณที่ก้าวกระโดด ขีดกำจัดร่างกายถูกปรับแต่งใหม่จนเกินขอบเขตมนุษย์ ในอดีตกาลช่วงยุคสมัยที่สี่ ผู้วิเศษตั้งแต่ลำดับสี่ขึ้นไปจะถูกเรียกว่า ครึ่งเทพ น่าเสียดายที่ปัจจุบันหายากแล้ว”
ดันน์อธิบายด้วยเสียงหม่น
“ถ้าลำดับสี่ถึงหนึ่งคือผู้วิเศษขั้นสูง แล้วผู้วิเศษช่วงไหนถึงเรียกว่าขั้นต้น?”
“ในอดีตราวพันปีก่อน ลำดับเก้าถึงเจ็ดจะถูกเรียกว่าขั้นต้น แต่เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนผู้วิเศษน้อย ขั้นต้นจึงมีเพียงลำดับเก้าและแปด”
ดันน์ยิ้มแห้ง
สรุปคือ เก้าและแปด ขั้นต้น
เจ็ดถึงห้า ขั้นกลาง
สี่่ถึงหนึ่ง ขั้นสูง
ไคลน์ทบทวนในใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องการเลื่อนระดับโดยเร็ว
จักรพรรดิโรซายล์คือผู้วิเศษขั้นสูงสินะ…
ทว่า ยิ่งมีลำดับสูง โอกาสคลุ้มคลั่งก็ยิ่งมากขึ้น เนื่องจากได้ยินเสียงกระซิบปริศนาในปริมาณที่รุนแรงกว่า…มันค่อนข้างหวาดหวั่นกับความจริงข้อนี้
ไคลน์เงยหน้าถามดันน์ด้วยเสียงเรียบ
“แล้วโอสถลำดับสี่ของเส้นทางที่โบสถ์รัตติกาลถือครองมีชื่อว่าอะไรครับ?”
“อันที่จริงผมเองก็ไม่ทราบ ระดับการเข้าถึงข้อมูลยังมีไม่มากพอ จนกว่าจะไต่เต้าไปถึงตำแหน่งบิชอปแห่งมุขมณฑลหรือไม่ก็เหยี่ยวราตรีอาวุโส”
ดันน์ส่ายศีรษะ
“และอันที่จริง จากบรรดา สิบเก้า ตัวตนที่มีตำแหน่งสูงสุดของโบสถ์ในปัจจุบัน ประกอบด้วยอาร์คบิชอป สิบสาม คนและอาวุโสใหญ่ หก คน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งยังก้าวไปไม่ถึงลำดับสี่…ไม่สิ ผมอาจประเมินสูงไปด้วยซ้ำ อาร์คบิชอปอินซ์·แซงวิลล์ ที่กำลังถูกทางโบสถ์ประกาศจับ กล่าวกันว่า เขาเกิดการคลุ้มคลั่งขณะพยายามเลื่อนเป็นลำดับสี่”
ผู้ขโมยของวิเศษต้องห้าม 0-008 สินะ
ถ้าจำไม่ผิด มันถูกเรียกว่า ‘ผู้เฝ้าประตู’
ไคลน์ถามหยั่งเชิง
“หัวหน้า ลำดับห้าของเส้นทางผู้ไร้หลับคือ ‘ผู้เฝ้าประตู’ หรือครับ?”
“ไม่ใช่ นั่นของเส้นทางผู้สื่อวิญญาณ อันที่จริงข้อมูลเมื่อครู่ คุณจะได้ทราบก็ต่อเมื่อกลายเป็นลำดับเจ็ด และต้องเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเหยี่ยวราตรี หรือไม่ก็ตำแหน่งบิชอปแล้วเท่านั้น”
ผู้เฝ้าประตูคือลำดับห้าของผู้สื่อวิญญาณ?
หมายความว่าต้องทำหน้าที่เฝ้าประตูนรกงั้นหรือ? หรือว่าต้องเฝ้าประตูโลกวิญญาณ?
มันลองเดาสุ่ม
“เอาล่ะ ไปเรียนกับลุงนีลล์ได้แล้ว อย่าลืมงานเลี้ยงคืนนี้ล่ะ ผมจองร้านอาหารลุงวีลล์ไว้ จะใช้โอกาสนั้นแนะนำคุณให้เหยี่ยวราตรีที่เหลือรู้จักอย่างเป็นทางการ”
“ครับผม วันนี้เตรียมเงินเผื่อมาแล้ว”
ไคลน์ยิ้มแห้ง
“ไม่จำเป็น คุณลืมไปแล้วหรือว่าเหยี่ยวราตรีของพวกเรามีเงินส่วนกลางอยู่กับมาดามโอเรียนน่า เป็นรายได้จากส่วนแบ่งของภารกิจพิเศษ”
มันผงะครู่หนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์หันหลังกลับและเดินไปที่ประตูอย่างไม่เร่งรีบ ภายในใจกำลังนับถอยหลัง
สาม สอง หนึ่ง…
เอ๋? หัวหน้าไม่เรียก?
มันลากค้างไว้ที่ ‘หนึ่ง’ เป็นเวลานาน จนกระทั่งมั่นใจว่าดันน์·สมิทไม่ตกหล่นบทสนทนา
ปาฏิหาริย์ฉิบ…
…
ณ คลังอาวุธ ลุงนีลล์ชำเลืองมองไคลน์ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข
“อย่าเอาแต่คิดเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ เจ้ายังมีอีกหลายสิ่งให้เรียนรู้ ทั้งพิธีกรรมเวทมนตร์ ประวัติเฮอร์มิสโบราณ เผ่ามังกร เอลฟ์ และอีกมาก ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องใช้เวลาสองชั่วโมงในช่วงบ่าย เพื่อเรียนศิลปะการต่อสู้กับครูฝึก”
“ศิลปะการต่อสู้? แต่หัวหน้าไม่ได้บอก…”
ไคลน์อึ้ง
นีลล์พยักหน้าโดยไม่ลังเล
“หมอนั่นคงลืม”
“…”
……………………