บทที่ 1017 เฟิงหลินเทาที่ซื่อสัตย์ภักดีเป็นอย่างยิ่ง
เฟิงหลินเทาสะท้อนใจ
ชะตาของคนบางครั้งก็เป็นเช่นนี้ เปลี่ยนแปลงมากมายอีกทั้งยากเกินจะหยั่ง
แต่เฟิงหลินเทาก็ไม่ใช่คนทั่วไป เหมือนกับที่หลันเหยาบรรยายเขาเอาไว้ในตอนนั้นว่า ‘คนคนนี้เห็นแก่ตัว อีกทั้งเย็นชา เหี้ยมโหด ทั้งขี้ระแวง แต่กลับเชี่ยวชาญในการอดทนเก็บซ่อน’
ดังนั้นหลังจากที่เลือกเข้าพวกกับเผ่ามนุษย์ ในใจเขาก็จำลองเหตุการณ์ทุกอย่างไว้ในใจแล้ว เหมือนอย่างตอนนี้ แม้จะเห็นสวี่ชิง ในใจเกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเขาก็วางมันลง
ระหว่างนั้นเขาไม่ได้ไปเก็บซ่อนความคิดของตัวเอง แต่กลับแสดงสีหน้าและอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย
นี่เป็นเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญ
สามารถใช้ฐานะสายเลือดปีกมารเพียงครึ่งเดียว ฝึกบำเพ็ญแต่ละก้าวๆ ในแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารจนถึงระดับเตรียมสู่เทวะได้ เขาย่อมมีวิธีเอาตัวรอดของตัวเอง
อีกทั้งใช้ทุกอย่างข้างกาย รวมถึงใช้อารมณ์ของตัวเอง เขาทำได้ตั้งแต่ยังเด็ก
วันนี้อยู่ที่นี่ เขาจะใช้จุดนี้มาพิสูจน์ความจริงใจของตัวเอง
ในเมื่อ…หลายเดือนนี้ที่เขาเข้าสวามิภักดิ์ เขาก็ถูกเมินมาโดยตลอด จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้มอบภารกิจใดให้เขาเลย
นี่ทำให้เขากังวลเล็กน้อย
เขารู้นี่เป็นสัญญาณที่จักรพรรดินียังไม่ได้ยอมรับการสวามิภักดิ์ของตนอย่างเต็มที่
สำหรับตนทางนี้ยังอยู่ในช่วงการสังเกตการณ์
ดังนั้นเขาต้องอาศัยโอกาสครั้งหนึ่ง เพิ่มความจริงใจของตัวเอง
มาพร้อมด้วยความคิดเช่นนี้ เฟิงหลินเทาโค้งคารวะสวี่ชิงก็มีความปิติยินดีและจริงใจขึ้นมาหลายส่วน
สวี่ชิงมองเฟิงหลินเทาที่อยู่ข้างหน้า ใบหน้าสงบนิ่ง ไม่พูดอะไร
มองความยินดีโกรธเคืองไม่ออก และไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ แฝงอยู่ในนั้น
“เจ้าหนูเฟิง ไม่เจอกันนานเลย”
เฟิงหลินเทาหันมา ในยามที่มองมาทางเออร์หนิว สีหน้ายังคงแฝงไว้ด้วยความสะท้อนใจ ประสานหมัดคารวะ
“คารวะมหาขุนพลสวรรค์ เรื่องในวันนั้นเป็นความผิดของข้าแซ่เฟิง ขอมหาขุนพลสวรรค์และท่านอาจารย์อย่าได้ถือสา ครั้งนี้ข้าน้อยเข้าสวามิภักดิ์กับเผ่ามนุษย์ แม้จะเป็นการกระทำอันอับจนไร้หนทาง แต่ความจริงใจส่งมาจากใจจริง”
คำพูดของเฟิงหลินเทาทั้งเลือกที่จะก้มศีรษะต่ำ แสดงความเคารพที่ควรจะมีของตัวเองในสถานะผู้อ่อนแอ ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกอ้อมๆ ถึงเรื่องที่ตัวเองรู้จักกับสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว
แต่ความคิดตื้นๆ นี้ สวี่ชิงมองออกในผาดเดียว ด้วยสายตาอันร้ายกาจของเอ้อร์หนิวจะมองไม่ออกไปได้อย่างไร
ตอนนี้เอ้อร์หนิวได้ยินก็ยกเถาวัลย์เทพในมือขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความยินดีเล็กน้อย
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ครั้งที่แล้วเจ้ามอบของดีให้ข้ากับอาชิงน้อยมากมายขนาดนั้น ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณคนดีเยี่ยมยอดอย่างเจ้าเลย”
เฟิงหลินเทาใบหน้าฉายรอยยิ้มขมขื่น ในใจกลับเดือดพล่านขึ้นมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่
สรุปแล้ว ความจริง ความเกลียดชังที่เขามีให้สวี่ชิงไม่มาก คนที่เขาเกลียดชังเข้ากระดูกดำคือเอ้อร์หนิว
เป็นเอ้อร์หนิวที่หลอกเขา ให้เขาแบกตลอดทาง
เป็นเอ้อร์หนิวที่ตลอดทางลมหายใจรวยรินอาการร่อแร่ ทำให้เขาประมาทอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
ยิ่งเป็นเอ้อร์หนิวที่กัดเอาเถาวัลย์เทพในช่วงเวลาสำคัญไป ทำให้ไพ่ตายของเขาพังทลาย
ดังนั้นถึงมีเรื่องการไล่ล่าสังหารจากหลันเหยาและเยวี่ยตงในภายหลังขึ้นมา
และแต่เดิม หากไม่มีเอ้อร์หนิว เขาก็สามารถพลิกความพ่ายแพ้มาชนะได้
ต้นเหตุก็อยู่เบื้องหน้านี้
แต่เขากลับไม่สามารถแสดงความเกลียดชังได้
ดังนั้นเฟิงหลินเทาจึงสูดลมหายใจลึก จะสะกดความคิดที่พุ่งพล่านของตัวเองลงไป แต่ในตอนนี้เอง เอ้อร์หนิวก็เอ่ยคำพูดน่าหมั่นไส้ออกมาต่อ “มา เถาวัลย์เด็กดี รีบมาทักทายผู้มีพระคุณเร็วเข้า”
เอ้อร์หนิวยกเถาวัลย์เทพขึ้นมาอย่างได้ใจ
เถาวัลย์เทพผงกหัว ใบไม้บนร่างขยับไหวเล็กน้อย…
เฟิงหลินเทาเงียบนิ่ง พยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตัวเองเสียการควบคุมอารมณ์
เห็นเอ้อร์หนิวยังคิดจะเอ่ยต่อ ราชเลขาที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลกระแอมขึ้นทีหนึ่ง ขัดความสนุกของเอ้อร์หนิวทางนั้น มองไปทางสวี่ชิง “ครั้งนี้ฝ่าบาทเรียกพระอาจารย์กลับมา นอกจากเรื่องการศึกแล้ว ยังทีอีกเรื่องหนึ่งต้องการพิสูจน์”
สวี่ชิงได้ยินก็มองไปยังราชเลขาเผ่ามนุษย์ท่านนี้ “เกี่ยวกับตัวตนของเฟิงหลินเทาผู้นี้ใช่หรือไม่”
ราชเลขาพยักหน้า “ไม่ใช่เพียงแค่นี้ รายละเอียดอยู่ในสิ่งนี้แล้ว ขอพระอาจารย์โปรดตรวจดู”
พูดแล้ว ราชเลขาก็นำแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา ส่งออกไปเบาๆ ก็ลอยมาข้างหน้าสวี่ชิง ในนั้นรวมคำพูดทุกอย่างของเฟิงหลินเทาอยู่ด้วย
สวี่ชิงรับมา หลังจากตรวจดูก็เงียบไปเล็กน้อย เอ่ยเนิบนาบ
“ข้าพบกับคนผู้นี้ครั้งแรกคือระหว่างทางกลับจากเผ่านภาคิมหันต์มายังเผ่ามนุษย์ รายละเอียดของเหตุการณ์เคยถวายแผ่นหยก บันทึกต้นสายปลายเหตุเอาไว้”
“ส่วนข้อพิพาทพัวพันระหว่างคนคนนี้กับหลันเหยา เยวี่ยตง สตรีทั้ง 2 คนนั้น ด้วยมุมมองของข้าแซ่สวี่ในตอนนั้น ต่างก็จะสังหารกันจริงๆ ตอนนั้นหากไม่ใช่ข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ลงมือช่วย คนคนนี้เกรงว่าคงยากจะหนีเอาชีวิตรอดได้”
“และการปรากฏตัวของข้ากับศิษย์พี่ใใหญ่ จากสถานการณ์ก็นับเป็นความบังเอิญ”
“อีกทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารก่อนที่จะลงมาเยือนก็ส่งเฟิงหลินเทามาเป็นสายลับ ให้มาสวามิภักดิ์เรื่องนี้ ความเป็นไปได้มีไม่มากนัก”
“ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ก็ยังต้องขอให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสิน”
สวี่ชิงพูดจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
ราชเลขาได้ยินก็พยักหน้า
คำพูดของสวี่ชิงนับว่าเป็นพยานกับการเข้าสวามิภักดิ์ของเฟิงหลินเทา
นี่ทำให้เฟิงหลินเทาโล่งอก
และการประชุมท้องพระโรงต่อจากนั้น ฎีกาที่ขุนนนางทั้งหลายรายงานก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงคราม สวี่ชิงก็นับว่าเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับสงครามในตอนนั้นและความเสียหายอย่างคร่าวๆ
โดยรวมแล้ว สถานการณ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ
ทั้งตำหนักค่อยๆ ตลบอวลไปด้วยบรรยากาศกดดัน
เฟิงหลินเทาฟังอยู่ในหู ในใจไม่กล้าคิดอุบายตื้นๆ อะไรทั้งสิ้น กระทั่งว่าสำหรับเขาแล้ว หากตัวเองเลือกได้ ความจริงแล้วไม่ไปฟังเรื่องศึกสงครามพวกนี้เป็นดี
1 ชั่วยามผ่านไป การประชุมท้องพระโรงจบลง เฟิงหลินเทารีบโค้งคารวะจากไป
สวี่ชิงไม่ขยับ
จวบจนกระทั่งคนทั้งหลายในตำหนักจากไปแล้ว สุดท้ายเหลือเพียงสวี่ชิง เอ้อร์หนิว และจักรพรรดินี หนิงเหยียน
สวี่ชิงลุกขึ้นโค้งคารวะจักรพรรดินี “ฝ่าบาทส่งกระแสจิตรับสั่งให้ข้าแซ่สวี่อยู่ที่นี่ ไม่ทราบว่ามีรับสั่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาจักรพรรดินีจ้องไปที่เอ้อร์หนิว
อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จักรพรรดินีเอ่ยราบเรียบ “สวี่ชิง เจ้าช่วยอะไรข้าเรื่องหนึ่ง”
สวี่ชิงได้ยิน ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น รอคำสั่ง
“ข้าอยากให้เจ้าหาวิธีจับเป็นหลันเหยา หากจับเป็นไม่ได้ก็ต้องนำร่างนางกลับมา”
สวี่ชิงในดวงตาฉายแววสงสัย “หลันเหยาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับผู้หญิงคนนี้ สวี่ชิงมีความทรงจำ อีกทั้งในความทรงจำ จากคำพูดของอีกฝ่ายกับเฟิงหลินเทาที่ถ้ำพิสดารบันลือ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าหลันเหยาอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร คล้ายว่าเบื้องหลังจะมีอำนาจเป็นอย่างมาก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่น่าสำคัญขนาดให้จักรพรรดินีคิดจะเก็บผู้หญิงเอาไว้เพียงคนเดียว
หนิงเหยียนทางนั้นก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเสด็จแม่จึงตรัสเช่นนั้น
เผชิญหน้ากับความสงสัยของสวี่ชิงและหนิงเหยียน จักรพรรดินีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ตัวตนของหลันเหยาไม่ธรรมดา”
“แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารมีมหาจักรพรรดิ 2 คน”
“คนหนึ่งสงสัยว่าแตกดับไปแล้ว”
“หลันเหยาเป็นลูกหลานรุ่นหลังของมหาจักรพรรดิที่สงสัยว่าแตกดับไปแล้วคนนั้น จากรายงานของข้า ในตระกูลนาง สายเลือดของนางบริสุทธิ์นัก”
“นำตัวนางมา ข้าสามารถอาศัยสายเลือดของนาง รับรู้ได้ว่ามหาจักรพรรดิคนนั้นแตกดับแล้วจริงหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ยังมีประโยชน์อื่น”
จักรพรรดินีพูดจบก็ยกมือเอาแผ่นหยกสีขาวออกมาแผ่นหนึ่ง
แผ่นหยกนี้วัสดุพิเศษมาก ดูเหมือนมีอยู่ แต่ก็ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นภาพมายา เหมือนว่าเป็นแสงหลอมรวมขึ้นมา แปลกประหลาดอัศจรรย์นัก
“หากระหว่างทางเจอกับพลังที่ไม่อาจต่อกรได้ สวี่ชิงเจ้าจงบีบหยกแสงนี้ให้แตก ข้าจะมาเยือนด้วยตัวเอง”
จักรพรรดินีสะบัดมือ แสงหยกนี้ก็พุ่งตรงไปหาสวี่ชิง
สวี่ชิงรับเอาไว้ สัมผัสได้ถึงพลังกดดันเข้มข้นกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากหยกแสงชิ้นนี้ทันที
สวี่ชิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังจากรับคำสั่งก็เก็บหยกแสงลงไป
“ฝ่าบาท หากคิดจะจับเป็นหลันเหยา ข้าอยากจะใช้เฟิงหลินเทา มีเพียงใช้เขาเป็นเหยื่อล่อ หลันเหยาถึงจะยอมปรากฏตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ทว่าคนคนนี้เจ้าเล่ห์ เกี่ยวพันกับความตายยากที่จะร่วมมืออย่างเต็มที่ จะต้องทิ้งทางรอดให้ตัวเองอย่างแน่นอน หากคิดจะปิดบังอำพราง เช่นนั้นวิธีทั่วไปเขาก็จะรู้ตัว ทันทีที่รู้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เกรงว่าจะเกิดอุปสรรคอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชิงเอ่ยเนิบนาบ
“เจ้าคิดจะทำเช่นไร” จักรพรรดินีมองสวี่ชิง
ไม่ทันที่สวี่ชิงจะได้พูด เอ้อร์หนิวทางนั้นที่ฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบ ตาวาวเป็นประกายตั้งนานแล้ว ตอนนี้พลันเอ่ยสอดขึ้นมา “ข้ามีวิธี”
เขาพูดพลางริมฝีปากขยับเล็กน้อย ส่งกระแสจิตไปหาสวี่ชิงและจักรพรรดินี
ครู่หนึ่ง สวี่ชิงสีหน้าแปลกปรระหลาด ส่วนเอ้อร์หนิวท่าทางได้ใจเป็นอย่างยิ่ง
จักรพรรดินีทางนั้นกลับดวงตาล้ำลึก เอ่ยขึ้นราบเรียบ “อนุญาต”
สวี่ชิงลุกขึ้น เอ่ยลาจักรพรรดินี จากไปจากตำหนักใหญ่พร้อมกับเอ้อร์หนิงที่ทั้งตื่นเต้นทั้งวาดหวัง
ส่วนในตำหนักใหญ่ หนิงเหยียนมองเงาที่จากไปของสวี่ชิงตาละห้อย มีใจอยากจะตามไปด้วย ไม่ก็อยากจะถามว่าเมื่อครู่พวกเขาคุยอะไรกัน…
แต่อยู่ข้างกายเสด็จแม่ เขาไม่กล้าจากไปโดยพลการ
ในยามที่ในใจหนิงเหยียนปรารถนาอยากจะออกไปข้างนอก เสียงสงบนิ่งของจักรพรรดินีก็ดังสะท้อนก้องมา “เหยียนเอ๋อร์ เขียนราชโองการฉบับหนึ่ง”
เหยียนเอ๋อร์จริงจังเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ก้มศีรษะรับคำ
……
เช่นนี้เอง เวลาผ่านไป 5 วัน
ในยามที่สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวหาอู๋เจี้ยนอูที่อยู่ในเมืองหลวงเผ่ามนุษย์มาโดยตลอด เอาลูกหนูสีทอง 2 ตัวที่ฟักออกมาจากประสบการณ์ของอีกฝ่ายมา…
ราชโองการฉบับหนึ่งก็ส่งออกมาจากเผ่ามนุษย์ ประกาศแจ้งแก่โลกแดนบูรพาแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แต่งตั้งเฟิงหลินเทาให้เป็นโหวนภาซ่าอวี่(เทพอสูรสังหารปีก) แห่งเผ่ามนุษย์
อีกทั้งยังประกาศถึงคุณงามความชอบ
“หันหลังให้ความมืดเข้าเป็นพวกกับแสงสว่าง อีกทั้งรายงานความลับของแดนศักดิ์สิทธิ์ ช่วยกอบกู้ความเสียหายอันใหญ่หลวงให้กับเผ่ามนุษย์!”
“ตัวเก่งกล้าอาจหาญ ไม่ขออยู่ร่วมกับแดนศักดิ์สิทธิ์ เกลียดเผ่าปีกมารเข้ากระดูกดำ สังหารแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารที่แอบบุกรุกเข้ามาด้วยตัวเองเพียงลำพังถึงหลายร้อยคน!”
โองการฉบับนี้เมื่อประกาศมา โลกแดนบูรพาแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แตกตื่นฮือฮาทันที
เฟิงหลินเทาทางนี้กลายเป็นจุดสนใจของโลกแดนบูรพาแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ทันที ทุกเผ่าต่างทำการสืบ ตรวจสอบ
เพียงแต่นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา…ความเจิดจ้าพร่างพรายที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน กลายเป็นจุดสนใจ ทำให้เขาไม่เป็นสุข
และสิ่งที่ทำให้เขาไม่เป็นสุขคือ ใน 1 เดือนหลังจากนั้น สถานการณ์พัฒนาไปอย่างน่าตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ
ในสงครามขนาดเล็กมากมายของเผ่ามนุษย์กับแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารในช่วง 1 เดือนนี้ จำนวนครั้งที่ชนะก็เพิ่มขึ้นมาทันที กระทั่งว่าการวางแผนสงครามบางอย่างของแดนศักดิ์สิทธิ์ เผ่ามนุษย์ทางนี้ก็ล้วนเหมือนว่าเข้าใจดี
และทุกครั้ง จักรพรรดิมนุษย์ล้วนตบรางวัลให้แก่เฟิงหลินเทา
กระทั่งว่าทำการปกป้องเขา ส่งองครักษ์ไปจำนวนไม่น้อย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ
การกระทำเช่นนี้ ข่าวแบบนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารทางนั้นไม่มีทางไม่รู้
แต่กลับมีเพียงเฟิงหลินเทาเท่านั้นที่รู้ดี รายงานข่าวการวางแผนสงครามเหล่านั้น ตัวเขาไม่รู้เรื่องเลย แล้วจะไปบอกได้อย่างไร…
แต่ว่า จากเวลาที่ไหลไป ไม่นานนักภาพที่ทำให้เฟิงหลินเทายิ่งตื่นตะลึงก็เกิดขึ้น
นั่นก็คือแต่งตั้งตำแหน่งอ๋อง!
ภายใต้การส่องสะท้อนของค่ายกลยอดเยี่ยมบนท้องฟ้า ท่ามกลางครรลองสายตาที่เห็นได้อย่างกระจ่างชัดของฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์…
เขตชนบทนอกเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ เชลยสงครามฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่ามนุษย์จับได้ คุกเข่าอยู่ตรงนั้นมากมายมหาศาล จำนวนไม่น้อยกว่าหมื่นคน
เฟิงหลินเทาสวมชุดโหวนภา ยืนอยู่ข้างหน้าเชลยสงครามเหล่านี้
เสียงของจักรพรรดินีดังสะท้อนก้องฟ้าดิน
“ขุนนางเฟิง แม้เจ้าจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่จงรักภักดีกับเผ่ามนุษย์เป็นอย่างยิ่ง ในใจเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ ยิ่งมีคุณงามความชอบมากมาย นับจากวันนี้ขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นอ๋องนภาซ่าอวี่!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารเข้ากระดูกดำ การแต่งตั้งโหวครั้งนี้ ก็ใช้เลือดของเผ่าปีกมารมาอวยพรให้แก่ตำแหน่งโหวนภาของเจ้า ขุนนางที่รักของข้า เจ้าสังหารได้ตามใจชอบ!”
คนทั้งหลายจับจ้อง
ฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังจ้องมอง ฝ่ายเผ่ามนุษย์กำลังจ้องมอง สวี่ชิงและเผ่าต่างๆ ล้วนจ้องมอง
ทั้งยังมีเอ้อร์หนิว ความคาดหวังและความตื่นเต้นในดวงตาเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง
เฟิงหลินเทาในใจสั่นสะท้าน แต่ใบหน้าไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย กลับฉายความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งออกมา คล้ายว่าซาบซึ้งใจเป็นที่สุด โค้งคารวะไปทางวังหลวงสุดตัว เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ช่วยให้สมหวัง!”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
