บทที่ 1019 น่าสมเพช น่าสมเพช น่าสมเพช!
ในแดนใหญ่ธุลีสมุทรที่ติดกับกับดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ภายในถ้ำร้างบนภูเขา ทันทีที่เฟิงหลินเทาเบิกตาขึ้น ประสาทสัมผัสของเขาก็กระจายออกไปในทันที ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง
หลังจากยืนยันว่าการจัดเตรียมทุกอย่างในถ้ำนี้ยังคงเป็นปกติ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ดวงตาทั้ง 2 ข้างหรี่ลง เผยให้เห็นประกายแสงทะมึน แฝงด้วยความเย็นยะเยือก
นับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจเดินทางไปยังเผ่ามนุษย์ เพื่ออาศัยร่มเงาเผ่ามนุษย์ หลบหนีการตามล่าของหลานเหยาและเยวี่ยตง ในใจของเขาก็มีแผนการหนึ่งผุดขึ้นมา
เขาต้องการที่จะแสดงตนอย่างเปิดเผยในเผ่ามนุษย์ เพื่อดึงดูดความสนใจจากแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะหลานเหยาและเยวี่ยตง จากนั้นในเวลาสำคัญ ก็จะทำการแสดงฉากมรณกรรมครั้งยิ่งใหญ่
เพื่อให้ทุกคนคิดว่าตนเองได้ดับสูญไปแล้ว
เพื่อที่จะหลุดพ้นออกจากเปลือก!
นอกจากขับสายโลหิตปีกมารของตนเองออกไปครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างอวตารพิสดารบันลือของตน กลายเป็นร่างหลักใหม่ เพื่อที่จะหลบหนี สับเปลี่ยนแสงสว่างเป็นความมืดมิดอย่างแท้จริง
ในแผนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือแดนศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่ตกเป็นเครื่องมือของเขา
“แม้ว่าระหว่างทางจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง และยังถูกเผ่ามนุษย์ใช้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากแผนการของข้า…”
เฟิงหลินเทายิ้มเยาะ
“แม้กระทั่งการสละสายโลหิตปีกมารไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ระดับพลังบำเพ็ญของข้าในยามนี้ตกต่ำลง เหลือเพียงแค่ระดับปราณก่อกำเนิด…แต่ก็ไม่เป็นไร ผ่านไปสักช่วงหนึ่ง เดี๋ยวเดียวข้าก็ฝึกบำเพ็ญจนกลับคืนสภาพเดิมได้เอง”
“เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ อิสรภาพและการมีชีวิตอยู่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ!”
“แต่จะมองฝ่ายอื่นเป็นคนโง่ไม่ได้…ดังนั้นไม่ว่าข้าจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกต่อจากนี้”
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฟิงหลินเทาก็ยังคงรักษาความตื่นตัว รีบบินออกจากถ้ำอย่างรวดเร็วด้วยความระมัดระวัง ตามเส้นทางที่กำหนด มุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกล
จนกระทั่งครู่ต่อมา บนท้องฟ้าปรากฏเงาร่างเลือนราง 2 ร่าง
นั่นคือสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวที่ใช้วิธีสืบหาพลังรากฐานของเอ้อร์หนิว ในการค้นหาที่อยู่ของร่างอวตารนี้
พวกเขายืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่มีผู้ใดมองเห็น แม้แต่เทพเจ้าก็ยังยากที่จะรับรู้
เนื่องจากสิ่งที่ปกคลุมร่างของคนทั้ง 2 ในขณะนี้ คือการซ่อนเร้นอันน่าทึ่งจากไร้อักษร
การซ่อนเร้นนี้ ในอดีตเคยตบตาเทพเจ้าทั้ง 3 ได้ในระดับหนึ่ง การหลีกเลี่ยงสัมผัสรับรู้ของเฟิงหลินเทาในยามนี้ ย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย
“เจ้าเด็กเฟิงนี่น่าสนใจแฮะ พวกเราไม่จำเป็นต้องผลักดันอะไร เขาเปลี่ยนตนเองกลายเป็นเหยื่อล่อเสียเอง” เอ้อร์หนิวภูมิใจ แลบเลียริมฝีปาก แววตาเผยให้เห็นถึงความคาดหวัง
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ในทะเลนอก พวกเราถูกอวี้หลิวเฉินใช้เป็นเหยื่อล่อปลา ตอนนั้นข้ายังอิจฉาองค์ท่านอยู่เลย ฮ่าๆ ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็จะได้ลองตกปลาดูบ้างแล้ว!”
“ไปกันเถิด พวกเราตามเขาไป”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปยังทิศทางที่เฟิงหลินเทาจากไป พยักหน้าเล็กน้อย เหาะไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเอ้อร์หนิว ไล่ตามอยู่ห่างๆ
และแล้วเวลาก็ผ่านพันไป 7 วันอย่างรวดเร็ว
ในช่วง 7 วันนี้ สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวไม่ได้ใช้วิธีการแทรกแซงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ติดตามอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ด้วยความขี้ระแวงของเฟิงหลินเทา เกรงว่าหากกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็จะทำให้เขารู้ตัวในทันที
ส่วนเฟิงหลินเทาก็เดินทางไปอย่างราบรื่นตลอดทาง แม้ว่าบางครั้งจะเผชิญกับอันตรายอยู่บ้าง เช่น สัตว์อสูร ความผิดปกติ หรือผู้บำเพ็ญชั่วที่มีเจตนาร้าย
แต่เขาก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่สังหารทิ้ง ก็อาศัยการซ่อนเร้นหลบซ่อน ในท้ายที่สุดก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้อย่างชาญฉลาด
และสิ่งที่สวี่ชิงกับนายกองคาดการณ์ไว้ก็ถูกต้อง เฟิงหลินเทาเป็นคนขี้ระแวงโดยกมลสันดาน
ความราบรื่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ความระแวดระวังของเขาลดน้อยลง ตรงกันข้าม กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ในวันที่ 7 ขณะที่เฟิงหลินเทากำลังเดินทาง ในขณะที่กำลังจะออกจากเขตภูเขาร้างแห่งนี้ ร่างของเขาก็หยุดชะงักลง ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกของหน้าผาหินแห่งหนึ่ง
ขณะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น สีหน้าของเฟิงหลินเทาไม่สู้ดีนัก
“ราบรื่นเกินไป รู้สึกแปลกๆ อย่างไรพิกล!”
“แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ในแผนการของข้า เส้นทางช่วงนี้ราบรื่นก็อยู่ในความคาดหมาย เพราะที่นี่เป็นที่ที่ข้าเลือกมาเป็นพิเศษ และตอนนี้สงครามภายนอกยังคงดำเนินอยู่…”
“แต่ว่า…”
เฟิงหลินเทาครุ่นคิด
“ข้าต้องคิดให้รอบคอบ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีจุดบกพร่องที่คาดไม่ถึง”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฟิงหลินเทาก็จัดระเบียบความคิดในใจ ยืนยันถึง 3 สิ่งที่ตนเองกังวล
1 เขาเป็นกังวลว่าเผ่ามนุษย์จะมองทะลุแผนการของตนและส่งคนมาตามล่า
2 เขาเป็นกังวลว่าเผ่ามนุษย์จงใจปล่อยให้ตนเองจากไป โดยใช้ตนเป็นเหยื่อล่อปลา
3 เขาเป็นกังวลว่าหลานเหยาและเยวี่ยตงจะคาดการณ์ความคิดของตนได้
“หากเผ่ามนุษย์มองทะลุแผนการหลบหนีของข้าในภายหลัง และตามล่าข้า หากถูกพวกเขาพบตัวเข้า เช่นนั้นแม้ว่าข้าจะสูญเสียอิสรภาพไป แต่ภยันตรายก็ยังไม่มาถึงตัวในเวลาอันใกล้…”
เฟิงหลินเทาหรี่ตาลง
“แต่หากเผ่ามนุษย์มองออกถึงแผนการของข้าตั้งแต่แรก และจงใจปล่อยให้ข้าจากไป…เช่นนั้นต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง คงไม่พ้นวางกับดับล่อปลา”
“หรือคิดจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ ให้สายลับทั้งหมดออกมา?”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เผ่ามนุษย์จะต้องไม่ประกาศเรื่องการตายของข้า แต่จะปล่อยข่าวลือว่าข้าหลบหนีไป เพื่อที่จะล่อให้สายลับของแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนต้องประสงค์ออกตามล่าข้า…”
“เช่นนั้นต่อไปข้าต้องคอยดูสถานการณ์ จึงจะสามารถตัดสินได้ว่าสิ่งที่ข้ากังวลทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นจริงหรือไม่”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฟิงหลินเทาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ออกจากรอยแยกหน้าผาหิน มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของแดนใหญ่ธุลีสมุทร ตลอดเส้นทางหลังจากนั้น เขาไม่ได้เดินทางไปแต่ในที่รกร้างว่างเปล่า แต่บางครั้งก็มองหาเมืองที่ผู้บำเพ็ญในแดนใหญ่ธุลีสมุทรมารวมตัวกันด้วย
เพื่อสืบหาข้อมูลข่าวสารที่นั่น
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีก 7 วัน…
ในเมืองดินที่มีชีวิตชีวาและคึกคักแห่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญ เฟิงหลินเทานั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ฟังเสียงพูดคุยจอแจรอบข้าง ราวกับกำลังครุ่นคิด
ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สิ่งที่เขาสืบถามมาได้ นอกเหนือจากสงครามกับแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแล้ว ยังรวมถึงเรื่องราวของตนเองด้วย
เผ่ามนุษย์ ประกาศว่าเขาตายแล้ว!
“เผ่ามนุษย์ประกาศว่าข้าตายแล้วจริงๆ เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อจึงน้อยลงไปมาก”
เฟิงหลินเทายกจอกเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่มไป 1 อึก พลางครุ่นคิด
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เสียทีเดียว…ไม่ว่าจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหรือไม่ ก็ยังต้องพิสูจน์กันต่อไป”
“นอกจากนี้ ข้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเผ่ามนุษย์เชื่อจริงๆ ว่าข้าตายแล้ว จะลอบส่งคนมาตามล่าข้าหรือไม่ และ…ข้าหลอกลวง 2 สาวหลานเหยาได้สำเร็จหรือไม่”
“ยังต้องพิสูจน์อีกครั้ง”
เฟิงหลินเทาหรี่ตาลง ความคิดที่ดูน่าเหนื่อยหน่ายสำหรับผู้อื่น สำหรับเขาแล้วกลับกลายเป็นสัญชาตญาณ
ในขณะนี้ เขาดื่มเหล้าในมือรวดเดียวหมด จากนั้นก็บดขยี้จอกเหล้า ทิ้งร่องรอยทั้งหมดไป เฟิงหลินเทาออกจากเมืองดินแห่งนี้ เดินทางต่อไป
หลังจากนั้น เขาเลือกเส้นทางเดินป่ามากขึ้น แต่กลับไม่เคยพบเจอกับผู้ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ตามล่า ไม่ว่าจะเป็นสายลับเผ่ามนุษย์หรือจากแดนศักดิ์สิทธิ์
ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว
ราวกับเขาหลอกสวรรค์ข้ามน้ำข้ามทะเลสำเร็จแล้วจริงๆ
แต่ความขี้ระแวงของเฟิงหลินเทา ทำให้เขาอยากตรวจสอบซ้ำหลายครั้ง ดังนั้นจึงจงใจสร้างสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตขึ้นมาอย่างแนบเนียน หลายครั้งถึงขั้นที่เขาเกือบจะดับสูญไปแล้ว เรียกได้ว่าเฉียดตาย
ยอมลงทุนถึงขั้นนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ว่ามีคนตามเขามาหรือไม่…
หลังจากนั้นหลายครั้ง เฟิงหลินเทาที่อยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มที ก็ยืนยันได้ว่าไม่มีผู้ใดติดตามมา
ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทีโล่งอก เร่งความเร็วในการเดินทาง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคร้ายหรือไม่…3 วันต่อมา ขณะที่อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่กลับตกเป็นเป้าของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่พลังบำเพ็ญเทียบเท่ากับสมบัติวิญญาณ
เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากการไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรตัวนั้น เขาพยายามทุกทางเพื่อจะหลบหนี แต่สุดท้ายก็ถูกสัตว์อสูรเล่นงาน กัดกินเลือดเนื้อของเขาคำแล้วคำเล่า ร้องคร่ำครวญโหยหวนน่าเวทนา จนกระทั่งถูกกินเข้าไปจนหมดสิ้น
สัตว์อสูรจึงจากไป…
หลายวันต่อมา สัตว์อสูรตัวนี้คำรามก้องอยู่ในป่าเขา ดวงตาเปล่งประกาย
“ดูเหมือนว่า จะไม่มีผู้ใดลอบติดตามมาจริงๆ…”
สัตว์อสูรไหวร่างครู่หนึ่ง ก่อนจะพุ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว
บนท้องฟ้า สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวมองร่างสัตว์อสูรที่ถูกเฟิงหลินเทาสิงสถิตจากไป ทั้ง 2 ก็บังเกิดความรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจ
“เจ้าเด็กเฟิงคนนี้ ขี้ระแวงมากเกินไปแล้วกระมัง เขาเคยเจออะไรในแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงได้ทำตนเองขนาดนี้?”
“ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาจริงๆ!”
เอ้อร์หนิวอุทานด้วยความชื่นชม
สวี่ชิงครุ่นคิด ทอดสายตามองเงาร่างที่อยู่สุดขอบฟ้า พลันเอ่ยปากพูด “ด้วยนิสัยขี้ระแวงของเฟิงหลินเทา เกรงว่าสิ่งที่แสดงออกมาในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสบายใจได้อย่างแท้จริง”
“ขนาดนี้แล้วยังไม่สบายใจ ยังกังวลว่าจะมีคนติดตามอยู่อีกหรือ?” เอ้อร์หนิวประหลาดใจ
แต่แล้วสิ่งที่เขาสงสัยก็กลายเป็นความจริงในอีก 5 วันต่อมา
สัตว์อสูรที่เฟิงหลินเทาสิงสถิตอยู่ เดินผ่านแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นมันก็ถูกหนวดเทพที่ยื่นออกมาจากภายในพันธนาการไว้ และแล้วเลือดเนื้อของมันก็ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และถูกดึงเข้าไปในแดนต้องห้าม ขณะที่มันส่งเสียงคร่ำครวญ
อุบัติเหตุ ดับสูญ
ข้างนอกแดนต้องห้าม ดวงตาของสวี่ชิงฉายประกายทะมึน เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
สวี่ชิงเหลือบมองเอ้อร์หนิวผาดหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดใช้วิถีแห่งการสืบหาพลังรากฐานของท่านต่อไปเถิด ปัญญาแห่งเทพอำนาจแห่งเสียงของข้าบอกว่า คลื่นความผันผวนของชีวิตของเฟิงหลินเทาดับมอดลงอย่างสิ้นเชิงแต่เพียงเท่านี้แล้ว”
“หากเขายังมีร่างอวตาร นั่นแสดงว่าเขาจงใจตายอยู่ที่นี่ เขาไม่น่าแยกแยะได้ว่ามีผู้ใดติดตามมาหรือไม่ เลยเลือกที่จะตายอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตราย”
เอ้อร์หนิวถอนหายใจ
“อาชิงน้อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของอวี้หลิวเฉินในตอนนั้นขึ้นมาแล้วล่ะ…”
กล่าวพลาง เขาก็กาง 5 โคสืบย้อนพลังต้นกำเนิดออกมา ครู่หนึ่งต่อมา เอ้อร์หนิวก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน กัดฟันกรอด
“เจ้าเด็กนี่ มีร่างอวตารอื่นเหลืออยู่อีกจริงๆ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถูกเขาปลุกใช้งาน อยู่ในสถานะตายเหมือนศพ ดังนั้นจึงรอดพ้นจากการตรวจสอบของข้าไปได้ แต่ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งจะจับต้องได้หลังจากที่ถูกใช้งานแล้ว!”
“ไกลจากที่นี่มากทีเดียว…”
……
ในเวลาเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่งของแดนใหญ่ธุลีสมุทร ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง มีกายเนื้อแช่อยู่ข้างใน แมลงมีพิษนับไม่ถ้วนกำลังรุมตอมไปทั่วร่าง
แต่ในวินาทีต่อมา เส้นด้ายสีแดงก็เปล่งประกายขึ้นที่กึ่งกลางคิ้วของกายเนื้อนี้พร้อมกับพลังแห่งชีวิตที่แผ่ซ่านออกมา ดวงตาทั้ง 2 ข้างของเขา…พลันเบิกกว้างขึ้น
ท่ามกลางเสียงกึกก้อง กลิ่นอายแห่งมหาขั้นหวนสู่อนัตตาก็ปะทุออกมาจากกายเนื้อนี้ หลังจากปิดกั้นทุกทิศทาง ร่างนี้ก็พุ่งออกมาจากหนองน้ำโดยฉับพลัน ทะยานสู่กลางอากาศ
“นี่สิถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง!”
“ไม่ว่าหลานเหยาและเยวี่ยตงจะมองทะลุแผนการของข้าหรือไม่ ไม่ว่าเผ่ามนุษย์จะรับรู้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะติดตาม จับตัว หรือใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ…”
“มีก็ดี ไม่มีก็ช่าง ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเฟิงหลินเทาเผยให้เห็นถึงความเย็นเยียบ ร่างกายวูบไหว พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า
คราวนี้ เขาเดินทางไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่อย่างแท้จริง
“จากดินแดนต้องประสงค์บูรพา มุ่งหน้าสู่แดนอุดร!”
“ในดินแดนน้ำแข็งแห่งแดนอุดร การฝึกบำเพ็ญใต้น้ำแข็งหนาหมื่นจั้งจะทำให้บรรลุเงื่อนไขการสืบทอดจักรพรรดิพิสดารบันลือ เมื่อข้าออกจากด่านบำเพ็ญแล้ว…”
ดวงตาทั้ง 2 ข้างของเฟิงหลินเทาหรี่ลง สีหน้าเย็นยะเยือก เร่งความเร็วในการเดินทางขึ้น
……
ในเวลาเดียวกัน นอกเขตดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ อดีตเขตแดนของเผ่าพิสดารบันลือ ยังมีถ้ำลับซ่อนเร้นอีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของหนูทอง
ในถ้ำ ปรากฏร่างคน 2 คนนั่งขัดสมาธิอยู่
หนึ่งในนั้น ร่างกายเหี่ยวแห้ง ไร้ซึ่งมีพลังชีวิตใดๆ ดูแล้วไม่แตกต่างจากซากศพมากนัก
มีเพียงเส้นด้ายสีแดงพิสดารบันลือที่กึ่งกลางคิ้ว ภายในนั้นมีแสงสีแดงเรืองรองเล็กน้อย แต่กลับหม่นแสงลงเรื่อยๆ ราวกับพร้อมที่จะดับมอดลงได้ทุกเมื่อ
เขาเองก็เป็นร่างอวตารที่เฟิงหลินเทาวางแผนและซ่อนไว้ในความมืด เพื่อแผนการหลบหนีของตนเอง!
ร่างอวตารที่คล้ายคลึงกันนี้ เขาเตรียมเอาไว้มากมายเพียงใด มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่ล่วงรู้
แต่เคล็ดวิชานี้ก็มีข้อเสียอยู่ นั่นคือมีเวลาจำกัด หากไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เมื่อแสงสีแดงที่กึ่งกลางคิ้วดับสนิท ร่างอวตารก็จะสูญเสียความสามารถในการใช้งานไป
ดังเช่นในขณะนี้ ที่แสงสีแดงที่กึ่งกลางคิ้วของร่างอวตารนี้ ใกล้จะดับมอดลงแล้ว
และตรงข้ามกับซากศพนี้ มีอีกคนที่กำลังนั่งสมาธิ เป็นชายวัยกลางคน เขากำลังจ้องมองซากศพโดยไม่ละสายตา ดวงตาเผยให้เห็นถึงความเคียดแค้นชิงชังอันไร้ขีดจำกัด
“เฟิงหลินเทา เจ้าคนไร้ยางอาย หลอมรวมน้องสาวของเยวี่ยตงเข้าไป กลายเป็นปีกมารเลือดผสม แต่กลางเวหามีตาข่าย ด้วยการบัญชาของท่านหลานเหยา นักโทษพิสดารบันลือทั้งหมดในแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนถูกสังเวย โลหิตของพวกมันจะชี้นำตำแหน่งร่างอวตารพิสดารบันลือของเจ้า…
ในที่สุดก็ค้นพบร่างอวตารของเจ้าแล้ว!”
“ตอนนี้ ขอเพียงเจ้าใช้งานร่างอวตารนี้ เจ้าก็หนีไปไหนไม่รอด!”
ชายผู้นี้กัดฟันกรอด แค้นใจจนอยากจะกัดกินซากศพตรงหน้าให้แหลกละเอียด
ความรู้สึกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า…ไม่ปกติ
เช่นเดียวกับหลานเหยาในตอนนั้น
ความคิดถูกเปลี่ยนแปลง อารมณ์ถูกบงการ เคราะห์กรรมปั่นป่วน กลายเป็นหุ่นเชิดอารมณ์ที่มีสติสัมปชัญญะ!
หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ ย่อมมองเห็นว่าเส้นใยเคราะห์กรรมของผู้บำเพ็ญชายวัยกลางคนผู้นี้เกี่ยวพันยุ่งเหยิงเป็นปม จากอำนาจลบเลือนประสานพลังของกรรไกรของเขา
เส้นใยเหล่านั้นถักทอเข้าด้วยกัน กลับร่างเป็นเค้าร่างใบหน้าของมนุษย์
ซึ่งเป็นใบหน้าของเยวี่ยตง
และนี่ ก็คือการวางเหยื่อล่อของเยวี่ยตง!
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิว ใช้เฟิงหลินเทาเป็นเหยื่อล่อ เพื่อที่จะกำจัดหลานเหยา
ส่วนเยวี่ยตง ใช้ร่างอวตารของเฟิงหลินเทาเป็นเหยื่อล่อ เพื่อที่จะล่อวิญญาณแท้จริงของเฟิงหลินเทาออกมา!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
