Skip to content

Outside Of Time 1103


บทที่ 1103 ใครเป็นเจ้าพิรุณกันแน่

ตอนนี้ชั้น 2 ของหอแห่งหนึ่งในเมืองที่ห่างจากสวี่ชิงไปไม่ไกล

ชายวัยกลางคนสวมชุดยาวสีขาวคนหนึ่งมือไพล่หลังยืนข้างราวระเบียง ถอนสายตากลับมาจากแสงเหนือบนฟ้ากว้าง ผ่านฝูงชนเบื้องล่าง ทอดมองห่างออกไป

จิตสังหารพาดผ่านนัยน์ตาคนผู้นี้

ทิศทางยามสายตาทอดมองคือสวี่ชิง

รูปร่างชายวัยกลางคนค่อนข้างสูง ลักษณะสมบูรณ์ แต่ท่าทางแข็งแรงกำยำ

ผมขาวเล็กน้อย เผยร่องรอยแห่งกาลเวลา แต่กลับตัดแต่งเป็นระเบียบเรียบร้อย

ริ้วรอยตรงหางตาและบนหน้าผากเป็นสิ่งพิสูจน์ร่องรอยลมฝนที่เขาประสบ สั่งสมเป็นดวงตาเงียบสงบคู่หนึ่ง

แม้ว่าไม่เผยพลังบำเพ็ญทั่วร่างอย่างเป็นรูปธรรม แต่รอบตัวเขารายล้อมด้วยระเบียบและกฎเกณฑ์ รวมถึงแสงส่องประกายจากรอยมรรคาตรงนัยน์ตา ไม่มีสิ่งใดไม่พิสูจน์พลังความเป็นเจ้าเหนือหัวของเขา

‘คิดไม่ถึงว่าในเมืองของข้า ถึงขั้นมีป้ายนครกึ่งเซียนอีกอัน’

‘แต่กลับอยู่ท่ามกลางความมืดมน เห็นชัดว่ายังไม่เปิดใช้พลัง…’

‘ดูท่าว่าหากไม่ใช่พวกกลัวตายก็กำลังเตรียมของขวัญหรือสิ่งใดให้คนอื่น’

‘ถ้าเป็นอย่างแรกก็ฆ่าซะ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง…’

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเงียบไป ไม่อาจตัดสินใจเด็ดขาดอยู่บ้าง

เมื่อผู้ครองป้ายนครกึ่งเซียนจากวงแหวนที่ 5 มาถึงรอบที่ 2 ของการล่าสัตว์ แน่นอนว่าสัมผัสรู้ได้ในรัศมีระดับหนึ่ง

แต่สิ่งที่เรียกว่าการสัมผัสรู้ ความจริงแล้วเป็นการเทียบเคียง

มีเพียงผู้หลอมป้ายที่สัมผัสถึงป้ายคนอื่นได้ ต่อให้ป้ายนั้นไม่เปิดใช้ก็รับรู้ได้

แต่กลับกันคือถ้ายังไม่เปิดใช้และหลอมรวมป้าย นั่นย่อมไม่อาจสัมผัสถึงคนอื่นได้

ดังนั้นการล่าสัตว์รอบที่ 2 นี้ ผู้มีป้ายแต่กลับไม่เปิดใช้ถือว่าเสียเปรียบ

ทั้งมีคนทำเช่นนี้น้อยนัก

เรื่องนี้จึงทำให้ชายวัยกลางคนต้องครุ่นคิดเช่นกัน

แม้ว่าเขาเป็นเจ้าเหนือหัว แต่เป็นเพียงช่วงต้นเท่านั้น ในเมืองเล็กห่างไกลเช่นนี้ถือว่ายังดี แต่ถ้าเผชิญหน้ากับตระกูลหรือสำนักแข็งแกร่ง คนอย่างเขายังต้องก้มหัว

ดังนั้นถ้าต้องล่วงเกินเพื่อป้ายแผ่นเดียว สิ่งที่ตามมาคงเป็นภัยพิบัติยิ่งกว่า

‘แต่หลังจากข้าบังเอิญได้ป้ายมา เมื่อเลือกหลอมรวมกับป้ายก็ต้องเสี่ยงดวงแล้ว’

‘ชีวิตแบบนั้น ไร้รสชาตินัก ชีวิตสงบแต่ถูกจำกัดรอบด้าน แค่มองก็เห็นปลายทางชีวิต… ข้าอยากทุ่มสุดตัวมากกว่า!’

‘อีกอย่างคือพลังบำเพ็ญข้าติดขัดมานานแล้ว ตามสถานการณ์ปกติเรียกว่าแทบไม่ก้าวหน้า’

เมื่อนึกถึงตรงนี้ นัยน์ตาผู้บำเพ็ญวัยกลางคนฉายแววเยียบเย็น ก่อนเอ่ยปากราบเรียบ “ร่วมกำราบศัตรูต่างแดนพร้อมข้า”

เมื่อเขาเอ่ยคำ รอบตัวมีเสียงขานรับดังเป็นระลอกทันที จากนั้นเงามายาหลายสายปรากฏตัวข้างกายเขาทั้งซ้ายขวา

ครู่ต่อมาผู้บำเพ็ญวัยกลางคนก้าวออกไป เงาร่างหลายสิบนอกกายคอยติดตาม ย่างเหยียบกลางอากาศ ห้อตะบึงไปหาอีกป้ายที่ป้ายเขาตรวจจับได้

ตอนนี้สวี่ชิงกำลังห้อตะบึง

มุ่งหน้าไปทางประตูเมือง

ดาวบนผืนฟ้ากว้างก่อนหน้านี้ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าฝนบนเขากำลังมา ขณะเดียวกันบริเวณใกล้เคียงมีดาวดวงหนึ่ง ทำให้เขาทราบว่าอันตรายมาเยือนได้ทุกเมื่อ

โดยเฉพาะเมื่อใกล้ประตูเมือง เขาสังเกตเห็นยามเฝ้าประตูเมืองมากกว่าขามาไม่น้อย ทั้งทางเข้าเมืองกำลังปิดด้วย

เมืองนี้มีผนึกค่ายกลห้ามท่องเหิน

หากไม่อยากถูกขังในนั้น ต้องทลายกระบวนผนึกด้วยวิธีอื่น ประตูเมืองจึงเป็นทางเข้าออกที่ดีที่สุด

แต่ตอนนี้ยามเฝ้าเปลี่ยนเป็นมากขึ้น ประตูเมืองกำลังจะปิด

ขณะเดียวกันความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งเล็งก็เกิดขึ้นในใจสวี่ชิงรางๆ

ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงชี้ชัดทันที

‘มีคนสั่งปิดประตู ทั้งคนออกคำสั่งย่อมเป็นดาวบนเวิ้งฟ้าที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้ หรือก็คือผู้ครองป้ายนั่น ทั้งอาจเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเขา’

‘ไม่ว่าอย่างไรล้วนบ่งบอกว่าคนผู้นี้มีตำแหน่งและฐานะสูงส่งในเมือง’

‘นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสถึงตัวตนอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับรู้สึกว่าถูกจับจ้อง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนข้า’

‘กล่าวอีกนัยคือต่อให้ข้าไม่เปิดใช้ป้ายนครกึ่งเซียนนั่น แต่ยังถูกสัมผัสรู้ได้ในรอบที่ 2 ของการล่าสัตว์’

‘ถ้าเป็นเช่นนี้… อีกฝ่ายสัมผัสถึงตัวตนข้าได้ แต่ข้ากลับไม่อาจสังเกตเห็นอีกฝ่าย’

‘ถ้าไม่หลอมรวมกับป้ายอีกย่อมส่งผลเสียกับข้ามาก’

ความคิดทั้งหมดปรากฏในสมองสวี่ชิงชั่วพริบตา

ครู่ต่อมาเขาไม่ลังเลอีก นำป้ายนครกึ่งเซียนของตนออกมาบีบทันที

ป้ายนครกึ่งเซียนสั่นสะเทือนฉับพลัน ไม่ได้แตกละเอียด แต่กลายเป็นของเหลว ละลายกลางฝ่ามือสวี่ชิง ซึมซาบผ่านฝ่ามือเข้าร่างกาย

ชั่วพริบตาในสมองสวี่ชิงปรากฏแสงเหนือแดงชาด

ในแสงเหนือสะท้อนภาพดวงดาวที่ปรากฏบนม่านฟ้าแดนทักษิณก่อนหน้านี้!

แต่ภาพนี้มีรายละเอียดต่างจากสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่

ดาวที่เพิ่งเห็นแยกจากแดนทักษิณ ซ้อนทับกันน้อยนัก

แต่ตอนนี้มีส่วนซ้อนทับกันไม่น้อย…

หลายส่วนกำลังเคลื่อนไหว

จินตนาการได้ว่าแต่ละส่วนที่ซ้อนทับกัน สื่อว่ากำลังมีการห้ำหั่นและแย่งชิง

ขณะเดียวกันในสมองเขายังปรากฏอันดับของตัวเอง

อันดับที่ 1,733

เห็นชัดว่าไม่ใช่อันดับของวงแหวนที่ 5 แต่เป็นอันดับของเขาบนแดนทักษิณ

พริบตาต่อมาภาพพลันหายไป

คล้ายว่ามีเพียงผู้หลอมรวมและเปิดใช้ป้ายนครกึ่งเซียนครั้งแรก ถึงจะเห็นภาพดวงดาวบนแดนที่อยู่ทั้งหมด

หลังจากภาพทั้งหมดสลายไป สวี่ชิงเห็นประโยชน์จากการหลอมป้ายทันที

นั่นคืออาศัยป้ายตัวเองสัมผัสถึงป้ายคนอื่นในรัศมีแสนลี้ได้

ถือเป็นการสัมผัสรู้ระหว่างป้ายแนะนำ!

ไม่ใช่พลังบำเพ็ญจากรัศมีจิตเทพ!

ป้ายจากนครเซียนไม่ธรรมดายิ่ง หากไม่หลอมรวมย่อมตรวจสอบไม่ได้

ตอนนี้สวี่ชิงสัมผัสได้ชัดเจน ใกล้ตนถึงขั้นมีดาวตัวแทนป้าย 2 ดวง!

ดวงหนึ่งค่อนข้างห่างไกล ในขอบเขตรัศมีแสนลี้ แต่คล้ายสังเกตเห็นอะไร ไม่นานกลับห่างออกไป หายจากรัศมีป้ายอื่นที่สวี่ชิงสัมผัสได้

อีกดวงกลับใกล้แค่เอื้อม

เข้ามาใกล้ตนอย่างรวดเร็ว

ยามสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ พลังบำเพ็ญในตัวสวี่ชิงพลันปะทุ พลังปัญจธาตุแผ่ปกคลุมทั่วทิศ เสริมความเร็วตนไปทางประตูเมืองที่กำลังจะปิด โผทะยานเหมือนศรพ้นเกาทัณฑ์

อีกฝ่ายมาอย่างเหิมเกริม การต่อสู้ไม่อาจหลีกเลี่ยง

ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้พลังบำเพ็ญของอีกฝ่าย สวี่ชิงได้แค่คำนวณทุกอย่างไปในทางแย่ที่สุด

สำหรับการต่อสู้เช่นนี้ การเลือกสมรภูมิสำคัญยิ่ง

ในเมืองมีกระบวนผนึก ไม่เป็นผลดีต่อสวี่ชิง ทั้งติดอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเขาแบ่งสมาธิทลายผนึกหรือประมือตอบโต้ก็เป็นฝ่ายถูกกระทำทั้งสิ้น

ดังนั้นหากพุ่งตัวออกจากเมืองได้ ทุกอย่างย่อมเผยโอกาสให้ตนเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง

ความเร็วสวี่ชิงชวนตะลึง ภายใต้การเคี่ยวกรำช่วงนี้ วิถีห้วงมิติใช้งานได้มากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนนัก

ห้วงอากาศเบื้องหน้ากำลังย่นย่อ

ห้วงอากาศด้านหลังกำลังทอดยาว

ภายใต้ความขัดแย้งนี้ เงาร่างสวี่ชิงมาถึงประตูเมืองชั่วพริบตา

ทหารยามพวกนั้นไม่ทันขวาง รู้สึกเพียงลมแรงพัดผ่าน ครู่ต่อมาสวี่ชิงพลันพุ่งตัวออกจากประตูเมืองแล้ว

จากนั้นค่อยวาดมือไปด้านหลังอย่างเยือกเย็น!

ขณะเดียวกันผู้บำเพ็ญวัยกลางคนรวมถึงบริวารก็ตามหลังเขามา แต่ภายใต้การขัดขวางด้วยวิชาห้วงมิติของสวี่ชิง ระยะห่างของพวกเขาเปลี่ยนเป็นไกลขึ้น

ถึงขั้นพลาดจังหวะเหมาะในการขวางสวี่ชิง

ทั้งเมื่อสวี่ชิงวาดมือ ห้วงอากาศที่พวกเขาอยู่เกิดคลื่นสะเทือนทันที พังทลายลงมาชั่วพริบตา

เสียงอึกทึกสนั่นหูดังก้องฟ้า

เห็นถนนด้านในประตูเมือง ห้วงอากาศแหลกละเอียด พังถล่มทั่วสารทิศ มีพายุเคลื่อนกวาด

โกลาหลไปทั้งแถบ

ท่ามกลางความอลหม่าน เสียงเย็นชาพลันดังออกมา

ต่อจากนั้นเวิ้งฟ้ามีเสียงอัสนีดังก้อง ม่านนภาปรากฏพยับเมฆ ถึงขั้นมีฝนตกลงมาทันที ครอบคลุมรัศมีไม่น้อย ปกคลุมทั่วเมืองไว้ในนั้น

สวี่ชิงอยู่ในนั้นด้วย

เมื่อสัมผัสหยาดฝน ดวงตาสวี่ชิงหดรัด

‘ฝนนี้วิวัฒน์มาจากรอยวิถีอำนาจ!’

‘อำนาจของอีกฝ่ายคือฝน…’

เพียงพริบตายามสวี่ชิงสัมผัสรู้ หยาดฝนรอบตัวเขากลายเป็นใบมีดคมกริบ พุ่งตัวหวือแหวกมาทางสวี่ชิง

ขณะเดียวกันกลางฝนกระหน่ำ ห้วงอากาศพังทลายในเมืองไม่ได้ถูกหยาดฝนขวางไว้ แต่เงามายาข้างกายผู้บำเพ็ญวัยกลางคนพวกนั้นกลับอาศัยหยาดฝนหายไปชั่วพริบตา

เมื่อปรากฏตัวก็ข้ามผ่านช่วงพังทลายตรงห้วงมิติ ล้อบรอบตัวสวี่ชิง แต่ละตนระเบิดพลังบำเพ็ญ แผ่อานุภาพเทพเร้น โจมตีพร้อมหยาดฝน ลงมือกับสวี่ชิงเหมือนไม่เสียดายชีวิต

‘หุ่นกระบอก? นักรบพลีชีพ? ทั้งสร้างขึ้นจากหยาดฝน!’

นัยน์ตาสวี่ชิงฉายแววเยียบเย็น ถอยตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสายตาตัดผ่านหยาดฝนเบื้องหน้ามองไปในเมือง เงาร่างสีขาวยืนตระหง่านกลางหยาดฝน

อีกฝ่ายไม่ก้าวออกมา หากแต่ยืนอยู่ตรงนั้น สบตาตนอย่างเย็นชา

‘ถือว่าเป็นคนรอบคอบ ด้วยไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของข้า ดังนั้นต่อให้มองออกว่าข้าไม่ใช่เจ้าเหนือหัวก็ยังไม่เลือกเข้าประชิดด้วยตัวเอง แต่สำแดงอำนาจอยู่ห่างไกล เชิดหุ่นกระบอกซึ่งเป็นบริวารให้ลงมือแทน’

‘ความรอบคอบเป็นข้อดี แต่ก็เป็นข้อเสียด้วย ในช่วงเวลาสำคัญย่อมพลาดโอกาส’

สวี่ชิงหรี่ตา ขยับตัวถอยหลัง แม้ว่าถอนสายตากลับ แต่ไม่ได้มองหุ่นกระบอกพวกนั้น ทว่าจ้องมองหยาดฝนที่พุ่งเข้ามาราวใบมีดคมกริบ

ยามมองหยาดฝนพวกนั้น การปะทะครั้งนี้สมองสวี่ชิงเกิดความคิดหนึ่ง

‘ข้ามีอำนาจ ทั้งมีอำนาจเทพ’

‘อำนาจกับอำนาจเทพ อย่างแรกเป็นของผู้บำเพ็ญ อย่างหลังเป็นของเทพเจ้า’

‘อำนาจมาจากระเบียบและกฎเกณฑ์ ส่วนอำนาจเทพคือร่องรอยของสิ่งลึกลับ’

‘ทั้ง 2 อย่างมีแก่นคล้ายคลึงและแตกต่าง สิ่งที่เหมือนกันคือต้นกำเนิด สิ่งที่ต่างกันคือรูปแบบการคงอยู่’

‘ระเบียบและกฎเกณฑ์คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญวิวัฒน์มาจากวิถีสวรรค์ ผู้บำเพ็ญหยั่งรู้ ดังนั้นเลยมีอำนาจ นี่คือวัฏจักร’

‘ส่วนที่มาของอำนาจเทพเก่าแก่กว่า ข้าไม่อาจระบุ’

‘ลบเลือน วิชาเซียน หยาดฝน อากาศ… ทั้งหมดล้วนเป็นอำนาจได้’

‘ถ้าอย่างนั้นยอดปัญจธาตุของข้า… ถือเป็นอำนาจด้วยหรือไม่’

‘แต่ต้นกำเนิดของพวกมันไม่ใช่วิถีสวรรค์ แต่เป็นตัวข้า’

ความจริงสวี่ชิงใคร่ครวญคำถามนี้ตั้งแต่เข้าวังวน 30 วันยามมาเมืองนี้แล้ว

ตอนนี้เมื่อเห็นใบมีดคมกริบจากหยาดฝนพวกนั้น เขาพลันเก็บวิชาเวททั้งหมด สำแดงเพียงวิถียอดวารีของตัวเอง ระเบิดพลังออกมาทั่วทิศ

ครู่ต่อมาฉากน่าเหลือเชื่อพลันปรากฏ

ใบมีดคมกริบซึ่งวิวัฒน์จากหยาดฝนเบื้องหน้าสวี่ชิง ถึงกับหยุดตรงหน้าเขาชั่วพริบตา ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด

ไม่เพียงแต่เป็นเช่นนี้ แม้แต่หยาดฝนโปรยปรายทั่วสารทิศ ตอนนี้ล้วนหยุดกลางอากาศฉับพลัน

รวมถึงหุ่นกระบอกพวกนั้น ทั้งหมดล้วนชะงักค้างกลางอากาศ

จากนั้นเมื่อสวี่ชิงเงื้อมือ…

ใบมีดคมกริบพวกนั้นเปลี่ยนทิศทาง

พวกหุ่นกระบอกหันหลังกลับ

หยาดฝนกลางฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน จากนั้น… ค่อยกลายเป็นหนามแหลมหันหน้าเข้าหาเมือง เล็งผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่ตอนนี้ใจเต้นโครมคราม ตื่นตระหนกถึงขีดสุด

ในสายตาของผู้บำเพ็ญวัยกลางคน เห็นชัดว่าตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าถูกหยาดฝนภายใต้อำนาจตนปกคลุมโอบล้อม แต่คนตื่นตระหนกกลับเป็นตน

เทียบกับเขาแล้วอีกฝ่ายเหมือนเจ้าพิรุณยิ่งกว่า

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version