Skip to content

Outside Of Time 1110


บทที่ 1110 เส้นทางเซียนอันยาวไกล

ลมแม่น้ำพัดกระโชก พัดหอบโลหิตเทพ เปลี่ยนให้ระลอกคลื่นกลายเป็นเกลียวคลื่นไปบนแม่น้ำเทพเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หอบม้วนไปทั่วทุกทิศ

เรือเดียวดายสีดำแล่นไปในนั้น ความเร็วดูแล้วไม่เร็วนัก แต่ไม่ว่าลมและคลื่นจะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานมันได้แม้แต่น้อย

คลื่นลูกใหญ่สงบลงในทันทีที่เรือมาถึง

ฝนเลือดก็เช่นกัน

ราวกับว่าเรือข้ามฟากลำนี้คือสมบัติล้ำค่าสูงสุดในแม่น้ำเทพเจ้าสายนี้ และคนพายเรือข้ามฟากที่ควบคุมสมบัติชิ้นนี้ก็คือผู้ควบคุมแม่น้ำโลหิตอันไร้ขอบเขตนี้

ทว่า เมื่อเทียบกับโลกอันยิ่งใหญ่และงดงาม ที่นี่… ก็เป็นเพียงเรือนจำแห่งหนึ่งเท่านั้น

คนพายเรือข้ามฟากไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว และไม่ได้กำหนดแน่นอนตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง มีผู้ที่พ้นโทษและจากไปเสมอ

สรุปแล้ว พวกเขาคือผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงในเมืองเซียน และถูกลดขั้นมาที่นี่เพื่อรับโทษ

แต่กวาดตามองไปทั่วทั้งระบบดาวที่ 5 มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมองพวกเขาว่าเป็นนักโทษจริงๆ ตระกูลไม่กล้า สำนักไม่กล้า…

ดังนั้น เรือข้ามฟาก ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นเอกลักษณ์และความปลอดภัยอันสูงสุด ก็ค่อยๆ ถูกนำมาใช้อย่างสมเหตุสมผล กลายเป็นจุดหลบภัยอันล้ำค่าสำหรับผู้บำเพ็ญที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

เหมือนอย่างสวี่ชิงในตอนนี้

เขานั่งขัดสมาธิที่ท้ายเรือ สิ่งที่อมอยู่ในปากคือตราฟื้นฟูที่ท่านย่ามอบให้ก่อนที่จะเดินทางไปจากแดนใหญ่เซ่นจันทราแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั่นเอง

ตรานี้สามารถทำให้การบาดเจ็บทั้งหมดของเขากลับมาฟื้นฟูได้ในชั่วพริบตา

สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว และต้องแลกมาด้วยพลังชีวิตของยายห้า

นั่นคือการอวยพรจากหญิงชรา

ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ สวี่ชิงก็จะไม่ใช้สิ่งนี้

“ระบบดาวที่ 5 แห่งนี้อันตรายดักซุ่มซุกซ่อนอยู่ทุกสารทิศ… ด้วยพลังบำเพ็ญและกำลังรบของข้าในตอนนี้ ทุกอย่างจะต้องรอบคอบระมัดระวัง”

สวี่ชิงนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ อาศัยการฟื้นฟูของผลึกแก้วสีม่วง ทำให้ผิวหนังที่หายไปจากกายเนื้อสีแดงก่ำของเขาค่อยๆ งอกกลับคืนมา

ผิวหนัง สำหรับอาการบาดเจ็บโดยรวมของเขาในตอนนี้ถือว่าเบามาก

ดังนั้น เพียงแค่วันเดียว สวี่ชิงก็ฟื้นตัวจากสภาพที่น่าสะพรึงกลัวนั่น กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้บ้าง

อย่างน้อยดูแล้วก็ไม่ได้น่าสมเพชขนาดนั้น

ทว่าในกายเนื่องจากความอ่อนแอที่เกิดจากการเผาผลาญโลหิต และบาดแผลเต๋าที่เกิดจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของชายหนุ่มผมแดงคนนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจรักษาให้หายได้ในเวลาสั้นๆ

“ต้องใช้เวลา 1 เดือน…”

จิตใจของสวี่ชิงหนักอึ้ง

หากอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ใช้เวลา 1 เดือนรักษาอาการบาดเจ็บ แม้จะมีความอันตราย แต่สวี่ชิงก็มีหลายวิธีที่หลีกเลี่ยงและแก้ไขได้

แต่ในระบบดาวที่ 5 ที่ไม่คุ้นเคยและเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่ง ช่วงเวลาการฟื้นฟู 1 เดือน มีตัวแปรและวิกฤตนับไม่ถ้วน

ดังนั้น บนเรือลำนี้ สวี่ชิงจึงใช้เวลาอย่างเต็มที่ ไม่เสียปล่อยให้เปล่าประโยชน์ไปแม้แต่น้อย ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้ตัวเองเมื่อสิ้นสุดวันที่ 6 แล้ว สามารถฟื้นฟูกลับมาได้บ้าง

ในเมื่อ นี่คือ 6 วันที่ใช้ชีวิตซื้อมา

ต่อให้ในอนาคตช่วงหนึ่งจะไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่สุดอีกแล้วก็ตาม

เช่นนี้เอง วันเวลาไหลผ่าน 3 วันผ่านไป

ใน 3 วันนี้ สวี่ชิงรักษาอาการบาดเจ็บ คนพายเรือข้ามฟากที่สวมเสื้อฟางและหมวกสานคนนั้น นอกจากจะขยับไม้พายเป็นบางครั้งแล้ว เวลาที่เหลือเขาก็นั่งอยู่ที่หัวเรือ สูดพ่นควันโขมง

ไม่พูดอะไรเลย

เพียงแต่สายตาของเขาในหลายครั้ง ก็จะทอดมองไปยังท้องฟ้าไกลๆ

ไม่รู้ว่ากำลังมองแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกบนท้องฟ้า หรือสิ่งที่อยู่ในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก หรือ… กำลังมองความว่างเปล่านอกแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก

จนกระทั่งในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก เกิดคลื่นวนเล็กๆ ลูกที่ 4 ปรากฏขึ้นหลังจากสวี่ชิงขึ้นเรือ

วันที่ 4 มาถึง

คนพายเรือข้ามฟากพ่นควันออกมา ดึงสายตาที่ทอดมองขอบฟ้ากลับมา ก้มลงมองน้ำเลือดของแม่น้ำเทพ แล้วพลันเอ่ยปากขึ้น “เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไร?”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้น กำลังจะเอ่ยชื่อเหยียนเสวียนจื่อ  3 คำนี้ออกไป

“อย่าบอกชื่อปลอมมานะ” คนพายเรือข้ามฟากเอ่ยราบเรียบ

สวี่ชิงชะงัก แล้วกล่าวตามความจริง “ท่านผู้อาวุโส ผู้เยาว์สวี่ชิงขอรับ”

คนพายเรือข้ามฟากได้ยินก็หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก

สวี่ชิงก็จดจำสิ่งที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าไม่ชอบให้ตนพูดมากอย่างขึ้นใจ ตอนนี้ก็ไม่มีคำพูดใดๆ เพิ่มเติมอีก เขารู้ดีว่าคนพายเรือข้ามฟากตรงหน้าคนนี้ น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

ตามความเข้าใจที่เขามีต่อคนพายเรือข้ามฟากจากแผนที่ ผู้ที่ถูกลงโทษโดยเมืองเซียน มีอัตราสูงมากว่าเป็นเซียนชั้นล่าง

เซียนชั้นล่างตนหนึ่ง อยู่ตรงหน้าเขานี่แล้ว…

แม้จากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว จะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนก็ตาม…

แต่สามารถสัมผัสได้ถึงตุ๊กตาจิ้งจอกบนตัวเขาได้ในทันที อีกทั้งตุ๊กตาจิ้งจอกเดิมทีก็เพียงแค่นอนหลับเท่านั้น แต่หลังจากขึ้นเรือแล้ว ก็ดูเหมือนจะซ่อนตัวลงไปโดยสัญชาตญาณ

ทั้งหมดนี้มองไม่เห็นร่องรอยอะไรได้

ในยามที่ความคิดของสวี่ชิงผุดขึ้นทางนี้ ทางคนพายเรือข้ามฟากทางนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปยังท้องฟ้า แล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “มาจากที่ไหน?”

สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน

เขาพยายามทำให้สีหน้าของตนไม่เผยพิรุธ จิตใจรักษาความสงบนิ่ง เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม ตามแผนที่ที่ตนเห็นมาก่อนหน้านี้ สร้างสถานที่ขึ้นมาแห่งหนึ่ง

คนพายเรือข้ามฟากได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องราวที่มาที่ไปของสวี่ชิงต่อ แต่หันหน้ากลับมา มองสำรวจสวี่ชิงตั้งแต่หัวจรดเท้าเล็กน้อย

“ระดับเตรียมสู่เทวะโลก 7 ใบ อำนาจมากมาย ทั้งยังมีวิชามิติและวิชาแห่งกาลเวลาอีกด้วย ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ วิชาที่ฝึกบำเพ็ญก็พิเศษ ด้วยเหตุนี้ โลกใบที่ 8 และใบที่ 9 จึงยากที่จะสำเร็จ”

สวี่ชิงก้มหน้าลง วิชาเต๋าของตนถูกมองออก เรื่องนี้เขาย่อมไม่แปลกใจ จึงนิ่งเงียบไม่พูดจา

และคำพูดของคนพายเรือข้ามฟากก็ยังคงดำเนินต่อไป

“เมื่อดูจากร่องรอยของวิชากาลเวลาและวิชามิติของเจ้า สำหรับโลกใบที่ 8 เจ้าก็น่าจะมีแนวคิดแล้ว”

“ดังนั้น ต่อให้โลกใบที่ 8 ที่ 9 ยากจะสำเร็จ แต่ท่าทางสำหรับเจ้าแล้ว ก็คงเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น”

“เช่นนั้น… เจ้ารู้ว่าอะไรคือระดับเจ้าเหนือหัวหรือไม่?”

คนพายเรือข้ามฟากเอ่ยราบเรียบ

ส่วนสวี่ชิงกลับจิตใจสั่นสะท้านอีกครั้ง รู้สึกแปลกประหลาดใจยิ่งนัก

คำพูดของอีกฝ่ายนี้เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาชี้แนะ…

ในใจของสวี่ชิงเกิดการคาดเดาบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ไม่มั่นใจแน่ชัด ทว่าในตอนนี้ แม้เขาจะไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง แต่โอกาสนี้ย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน

ดังนั้น สวี่ชิงจึงหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นโค้งคารวะเคารพนอบน้อม “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”

“ระดับเจ้าเหนือหัวที่อยู่เหนือระดับเตรียมสู่เทวะขึ้นไป เป้าหมายที่แท้จริงคือกระบวนการสร้างตัวอ่อนเซียน”

“ในกระบวนการนี้ จะเกิดวิถีเซียนขึ้นพร้อมกัน วิถีเซียนอยู่เหนือวิถีสวรรค์ สิ่งที่แสดงออกมาคืออำนาจ คือรอยเต๋า”

“สิ่งเหล่านี้ เจ้าน่าจะรู้หมดแล้ว”

เสียงของคนพายเรือข้ามฟากสงบนิ่ง ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย

สวี่ชิงตั้งใจฟัง เมื่อได้ยินก็พยักหน้า

“แต่มีบางเรื่อง ก็ต้องให้ผู้บำเพ็ญระบบดาวที่ 5 ฝึกฝนไปจนถึงระดับหนึ่ง สำนัก หรือตระกูล หรือผู้อาวุโสถึงจะบอกให้รู้”

คนพายเรือข้ามฟากมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง

“นั่นคือแก่นแท้ของระดับเจ้าเหนือหัวระดับนี้!”

“ตัวอ่อนเซียนหรือขอรับ” สวี่ชิงเอ่ยปาก

คนพายเรือข้ามฟากพยักหน้าเล็กน้อย “ตัวอ่อนเซียน หรือที่เรียกว่ามายาสัจจะอมตะ”

“มายาหมายถึงวิญญาณของเจ้า สัจจะหมายถึงกายเนื้อของเจ้า”

“ระดับเจ้าเหนือหัวทั้งระดับก็คือกระบวนการที่สับเปลี่ยนและหลอมผสานกัน”

เรื่องเหล่านี้ สวี่ชิงเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ในตอนนี้จึงตั้งใจฟังอย่างมาก

เสียงของคนพายเรือข้ามฟากยังคงดำเนินต่อไป

“ตามกระบวนการนี้ ระดับเจ้าเหนือหัวแบ่งออกเป็น 3 ขั้นย่อย ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย”

“ขั้นแรกในนั้น คือการปล่อยวิญญาณของตนออกไป สร้างกายเนื้อขึ้นใหม่นอกร่างกาย นี่คือมายาสัจจะ”

“ผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวในเวลานี้ ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ”

“ที่แข็งแกร่งเพราะมายาอยู่นอกกาย ค่อยๆ เข้ามาแทนที่สัจจะ ดังนั้น ความเข้าใจในอำนาจ การควบคุมสรรพสิ่ง ล้วนไปถึงขั้นที่คาดไม่ถึง”

“ส่วนที่อ่อนแอ เพราะสัจจะถูกมายาซ่อนไว้ ดังนั้น ขอเพียงมีวิธีทำร้ายสัจจะ การสังหารก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างปราณกระบี่ที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้ จุดประสงค์พื้นฐานของมันคือการทำลายสัจจะ”

“ปราณกระบี่ทางนั้นดูน่าสนใจอยู่บ้าง แม้จะยากที่จะทำร้ายผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลางขั้นอมตะได้ แต่ผู้ที่มอบให้เจ้า ไม่ธรรมดา”

คนพายเรือข้ามฟากกล่าวมาถึงตรงนี้ก็หยุดเล็กน้อย ให้เวลาสวี่ชิงได้ขบคิด

ส่วนสวี่ชิงนั้นจิตใจแผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ ก่อนหน้านี้ลางสังหรณ์ของเขาสัมผัสรับรู้ได้ว่า ปราณกระบี่ของท่านปู่เก้าบางทีอาจไม่ได้ผลกับผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลางมากนัก ตอนนี้จากคำพูดของคนพายเรือข้ามฟาก เขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว

จากนั้นในสมองก็ผุดผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวที่เขาเคยสังหารไปขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจไม่มากนัก ดังนั้นในการต่อสู้จึงไม่เคยสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนพายเรือข้ามฟากก็สูบกล้องยาสูบ พ่นควันออกมาแล้วกล่าวต่อ

“เมื่อทำได้ถึงมายาสัจจะอีกทั้งบริบูรณ์แล้ว ก็จะสำรวจขั้นที่ 2 ได้”

“ขั้นที่ 2 คือการหลอมรวมกายเนื้อที่เดิมถูกมายาซ่อนไว้ให้กลายเป็นวิญญาณ ขั้นนี้เรียกว่าอมตะ”

“ผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวในขั้นนี้ สัจจะและมายาสามารถสลับเปลี่ยนได้ในชั่วพริบตา ในระดับหนึ่งแล้วก็แทบจะไม่มีจุดอ่อน ดังนั้นจึงเป็นอมตะ”

“ส่วนขั้นที่ 3 ต้องใช้อำนาจและรอยเต๋าแล้ว ใช้รอยเต๋าเป็นเส้นไหม ถักทอตัวตน ทำให้มายาสัจจะอมตะหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ คว้าดวงดาวลงมา กลายเป็นหนึ่งเดียว เช่นนี้ก็จะบรรลุตัวอ่อนเซียน!”

“ในพริบตาที่สำเร็จ นั่นคือเตรียมสู่เซียน ซึ่งก็คือมหาจักรพรรดิ”

คนพายเรือข้ามฟากเอ่ยเนิบนาบ

สวี่ชิงได้ยินมาถึงตรงนี้ เมื่อรวมกับความรู้ความเข้าใจของตนเอง สำหรับระดับเจ้าเหนือหัวระดับนี้ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว

ทว่า โอกาสเช่นนี้หายากยิ่งนัก ดังนั้นสวี่ชิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น

“ผู้อาวุโส ระดับเตรียมสู่เซียนมหาจักรพรรดิ กระทั่งเซียนคิมหันต์ที่อยู่เหนือขึ้นไป จะแสดงออกให้เห็นอย่างไรบ้างขอรับ”

คนพายเรือข้ามฟากมองกระบี่จักรพรรดิที่อยู่ข้างสวี่ชิงผาดหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบนาบ

“ระดับเตรียมสู่เซียน หรือก็คือขั้นบันไดเทวะของเทพเจ้า เอกลักษณ์ของระดับนี้คือธรรมนูญ!”

“ธรรมนูญ คือพลังอำนาจ คือเจตจำนง และคือรากฐาน คือพลังแห่งการบัญชาการก่อนที่เซียนจะถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริง”

“ส่วนเซียนชั้นล่าง…”

คนพายเรือข้ามฟากพ่นควันออกมา ในม่านหมอกนั่น ใบหน้าของเขาที่เดิมถูกบดบังอยู่ใต้หมวกสานอยู่แล้ว ก็ยิ่งพร่ามัวลงไปอีก

มีเพียงเสียงอันสงบนิ่งเท่านั้นที่ดังสะท้อนก้องอยู่บนแม่น้ำเทพเจ้าสีเลือดสายนี้

“นั่นคือจุดสูงสุดของระบบดาวชั้นล่าง”

“ไม่ว่าใคร ก็ล้วนไร้ข้อบกพร่อง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้”

“เพียงแต่ในระบบดาวชั้นล่างนี้ ภายใต้ธรรมนูญที่ระดับสูงขึ้น พวกเขาก็มีขอบเขตแล้ว”

สวี่ชิงหายใจเข้าลึก จิตใจแผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ปั่นป่วน โค้งคารวะคนพายเรือข้ามฟากอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโส เหนือเซียนชั้นล่างขึ้นไปคือ…”

คนพายเรือข้ามฟากครั้งนี้เงียบนิ่งไปนานกว่าเดิม เสียงก็เปลี่ยนมาแหบแห้งเล็กน้อย “เหนือเซียนชั้นล่าง คือผู้นำเซียน!”

“ผู้นำแห่งปวงเซียน!”

ฟังมาถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็นึกถึงตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกกับเขาว่า เขาไม่เชื่อว่าเหนือเซียนชั้นล่างจะไม่มีเส้นทางต่อ เขาคิดว่าอาจจะมีผู้นำเซียน อาจมีจอมเซียน…

“ตอนนั้น ความจริงศิษย์พี่ใหญ่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว”

สวี่ชิงนึกย้อนอดีต พึมพำในใจ

และเสียงของคนพายเรือข้ามฟากก็ยังคงดังก้อง

“แต่ความยากของระดับนี้ พูดได้ว่าท้าทายสวรรค์ ในระบบดาวที่ 5 ทั้งหมด ตลอดเวลาอันเนิ่นนานที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ก็มีผู้นำเซียนเพียง 11 คนเท่านั้น”

“พวกเขาประจำอยู่ในตำหนักเซียนทั้ง 11 ของเมืองเซียน แต่ละคนล้วนเป็นต้นกำเนิดของธรรมนูญ”

กล่าวจบ คนพายเรือข้ามฟากก็พลันหัวเราะขึ้นมา

“ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นระดับขั้นที่อยู่เหนือผู้นำเซียนขึ้นไป ข้าก็บอกเจ้าพร้อมกันเลยทีเดียวให้ก็ได้”

“เหนือผู้นำเซียน คือจอมเซียนเพียงผู้เดียว!”

“จอมเซียนปกครองดูแลระบบดาว อยู่ตำแหน่งเดียวกับจอมเทพ และจอมเซียนในระบบดาวที่ 5 คนปัจจุบัน ก็เป็นเพียงผู้เดียวใน 36 ระบบดาวชั้นบนทั้งหมด”

“ก่อนที่เขาจะสำเร็จเป็นจอมเซียน เขาก็ถูกเรียกว่า บรรพจารย์มนุษย์ที่ 5”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version