Skip to content

Outside Of Time 1130


บทที่ 1130 : 8 วิถีสูงสุดวัฏจักรก่อกำเนิด

ในความว่างเปล่า กายเนื้อเป็นเรือ จิตโดยสารเรือ ทวนกระแสธารไปข้างหน้า

เส้นทางนี้ช่างยาวไกลนัก

เมื่อนึกย้อนวันวาน ขุนนาง พ่อค้า คนเถื่อน หมอ ชาวบ้าน เด็กหนุ่ม…

ดูเหมือนธรรมดา เป็นประสบการณ์ เป็นการเวียนว่ายตายเกิด เป็นชีวิต

นั่นเป็นเพราะอยู่ในห้วงนั้น จึงมองไม่ทะลุหมอกควัน

ในเสี้ยวขณะนี้ตื่นขึ้น หันกลับไปมอง

นั่นคือธาตุทั้ง 5 ชัดๆ

สวี่จินหงในฐานะอัครเสนาบดี แม้จะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ทั้งชีวิตก็ใช้มาตรการอันเด็ดขาดค้ำจุนราชวงศ์ จิตใจดั่งมีทัพกล้าเรือนหมื่น เพรียบพร้อมด้วยศาสตราและม้าศึก ชีวิตของเขา คือสัญลักษณ์แห่งธาตุทอง

ความมั่งคั่งคือทอง อำนาจคือทอง อาวุธศัสตราคือธาตุทอง ชะตาก็เป็นธาตุทองเช่นกัน

สวี่หงผู้ฝันอยากเป็นพ่อค้าใหญ่และมั่งคั่ง ทั้งชีวิตใจบุญสุนทาน เคยมีทรัพย์สินมหาศาล เคยระหกระเหินพลัดพราก เผชิญโชคชะตาอันโหดร้าย ท้ายที่สุดก็แห้งเหือดสิ้นสูญ ชีวิตของเขา คือสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ

ทรัพย์สินคือน้ำ แปรเปลี่ยนไหลเวียน มีทั้งความแห้งแล้งและน้ำท่วม 2 ขั้ว มีคำกล่าวว่าคุณธรรมสูงสุดคือดุจน้ำ ดังนั้นชะตาชีวิตของเขาก็คือธาตุน้ำ

สวี่ซานคนเถื่อน ภูเขานี้ไม่ใช่ดิน แต่มีความหมายของป่า ชีวิตดุจจอกแหน วัยเด็กเหมือนไม้ผุ วัยผู้ใหญ่กลายเป็นโจรป่า หลบซ่อนปะปนอยู่ในป่าเขา ชะตาชีวิตดุจไม้ผุ

สติปัญญาน้อยและอารมณ์โกรธง่าย สิ่งภายนอกง่ายต่อการกระทบอารมณ์ ดังนั้นชีวิตนี้ยอมยืนตายก็จะไม่ยอมคุกเข่าอยู่อย่างอัปยศ

หมอสวี่อวี้ รักษาผู้คนด้วยจิตเมตตา หัวใจของหมอผู้เมตตา ยินดีเป็นเตาหลอมแห่งฟ้าดิน หลอมสมุนไพร ร่างกายดุจไฟ ชีวิตดุจไฟ

นี่คือเปลวเพลิงแห่งดวงใจนกกระจอกเพลิง ประกายลุกไหม้อันงามสง่าที่ปกปักษ์คุ้มครองโชคชะตา

ทว่าในชาตินี้ เมื่อพลังแห่งลมและไฟแผดเผาออกมา หัวใจดับสิ้น กระทั่งยามตายหัวใจจึงหวนคืน และลมไฟจึงกลับคืนมา

สวี่คุนชาวบ้านธรรมดา ชีวิตเรียบง่าย ซื่อสัตย์และพูดน้อย เท้าเหยียบไอดินร้อน หลังโดนแสงตะวันแรงกล้าแผดเผา ใช้แรงไม่รู้จักร้อน แต่เสียดายที่ฤดูร้อนยาวนาน

หัวยันฟ้า เท้าเหยียบดิน เพื่ออนาคตข้างหน้า สั่งสมชะตาธาตุดิน

ส่วนเด็กหนุ่มและเสี้ยววิญญาณของผู้บำเพ็ญ คือคนเดียวกัน

รับภารกิจในการส่งสาร ดุจเส้นด้ายยาว

เริ่มต้นจากไฟของหมอ ผ่านดินของชาวบ้านธรรมดา แล้วจึงพบตัวตนที่แท้จริง

ข้ามผ่านกาลเวลา

นี่คือชะตาแห่งกาลเวลา

“ขาดเพียงมิติ…”

สวี่ชิงพึมพำ

“ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเส้นทางนี้ยังไม่สมบูรณ์”

การเวียนว่ายตายเกิดอยู่เบื้องหน้า ส่วนต้นกำเนิดอยู่เบื้องหลังการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นเขาจึงเดินไปพลาง มองไปพลาง

ไม่จมดิ่งอีกต่อไป

ดุจแขกผู้มาเยือน พบเห็นชีวิตร้อยแปดพันเก้า

สิ่งที่เห็นคือวิถีไร้ลักษณ์ จึงมีทั้งชายและหญิง มีทั้งคนแก่และเด็ก มีทั้งราชสำนัก และโลกยุทธภพ

ฉากแล้วฉากเล่า ปรากฏขึ้นตรงหน้า

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ไม่จดจำกาลเวลา

เส้นทางนี้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ มองไปเรื่อยๆ ฝีเท้าของสวี่ชิง ก็หยุดลงในที่สุด

สิ่งที่มองเห็นในสายตา สิ่งที่จิตใจจับจ้อง คือตัวเขาเองในการเวียนว่ายตายเกิด…ที่กลายเป็นนักแสดงละคร

……

ชีวิตนักแสดง แสดงบทบาทมากมาย

เมื่อวาน เสียงฆ้องกลองดังก้องไปทั่ว เพลิดเพลินกับการแสดงบนเวที ชายแขนเสื้อยาวสะบัดพลิ้วไหว

วันนี้ธงปลิวไสว ลมพัดมา 8 ทิศ กำหนดความภักดีและความชั่วร้าย สีดำ ขาว แดง

ใบหน้าเดียวกัน การแต่งแต้มสีที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็กลายเป็นชีวิตในห้วงเวลาต่างๆ

มีการแสดงบทชีวิตที่ราบรื่น มีการแสดงบทตายที่น่าเสียดาย

ชีวิตก็เหมือนละคร เรื่องราวโลกีย์ในโลกมนุษย์มากมายในอดีตและปัจจุบัน ล้วนถูกขับร้องออกมาในการแสดง

ไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันนั้น มีหัวใจที่แท้จริงแบบไหน

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่านานไปแล้ว จะแยกแยะความจริงกับภาพลวงตาออกหรือไม่

มีเพียงในพริบตาที่การแสดงจบลงผู้คนแยกย้าย เมื่อลบสีสันทั้งหมดออก คนที่เดินออกมาก็แบกรับความคิดโศกเศร้า รำพึงรำพันสะท้อนใจถึงชีวิตในอดีตและอนาคตที่แสดงบทบาทความสุขและความเศร้า ชีวิตล่องลอยดุจฝัน กาลเวลาดุจสายน้ำ ค่อยๆ จางหายไปอย่างเงียบงัน ไม่ทิ้งร่องรอย…

ในที่สุด ก็ถอนหายใจเบาๆ

“ในโลกนี้มีบทบาทสุขเศร้ามากมาย คนผู้นี้อย่าได้กล่าวถึงความทุกข์ระทมเลย…”

“แยกไม่ออก…”

บทเพลงแห่งความสุขมักจะทำให้ผู้คนมึนเมา กาลเวลาในสายตายังดูพร่าเลือน

ความทรงจำแต่ละส่วนล้วนเป็นระลอกคลื่น เมื่อฝันตื่นขึ้น เดิมทีก็เป็นเพียงความฝันดอกเหมยที่พบกันเมื่อพันปีหมื่นปี

ดังนั้น การแสดงนี้ จากบทโหมโรงถึงบทสุดท้าย

ชีวิตนี้ จากเกิดถึงตาย

ความฝันนี้ จากการจมดิ่งถึงตื่นจากฝัน

สวี่ชิง ตื่นขึ้นมา

ในความว่างเปล่า พึมพำเบาๆ

“นี่มันคือละครที่ไหนกัน นี่คือชีวิตในห้วงกาลเวลา…”

“และคนมีเกิดมีตาย ละครก็มีเริ่มมีจบสิ้น ความแตกต่างของการเกิดกับตาย ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างความฝันกับการตื่น ผันผวนเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถสอบสวนหาข้อเท็จจริงได้”

“เช่นนั้น ข้ามผ่านการเวียนว่ายตายเกิด ก้าวออกจากชีวิต หลังตื่นจากฝัน ที่ปลายสุดของม้วนภาพนี้ สิ่งที่กำลังรอข้าอยู่คืออะไรกัน”

คำตอบ ได้ปรากฏแล้ว

เพราะเขาตลอดเส้นทางนี้ ก็ได้ก้าวขึ้นไปจนสุดปลายม้วนภาพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว และในที่สุดก็มองเห็นจุดกำเนิดของม้วนภาพนี้

และยังเป็นรากฐานแห่งวิถีที่รองรับการเวียนว่ายตายเกิดของม้วนภาพ

มัน เดิมทีก็คือภาพวาดภาพหนึ่ง

ภาพที่หลี่เมิ่งถู่เปิดออกเป็นเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ทว่าสวี่ชิงในในเสี้ยวขณะนี้ สิ่งที่เห็นคือภาพวาดทั้งหมด

นั่นคือผลึกแก้วชิ้นหนึ่ง

ตกลงสู่ความอลหม่าน ปรากฏในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด เปล่งประกายแสงเจิดจรัสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แล้วก็แตกออกเป็น 10 ส่วนที่ไม่สม่ำเสมอ

กระจัดกระจายไป

จากนั้น ก็ปรากฏผืนดินหนาขึ้นมา

นี่คือภาพที่เกิดจากผืนดินหนา และยังเป็นฉากที่บรรยายไว้เอาไว้บนอุกาบาตที่สวี่ชิงเคยเห็นผ่านจากสายตาของบรรพจารย์เซียนเมื่อครั้งที่สัมผัสรับรู้ 8 วิถีสูงสุดในตอนนั้นอีกด้วย

การกำเนิดฟ้าดิน

และยิ่งชัดเจนขึ้น!

“ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่วาดในม้วนภาพนี้ จะเป็นฉากนี้”

สวี่ชิงพึมพำ

“นั่นคือผลึกแก้วสีม่วงก้อนหนึ่ง”

เหมือนกับของเขาไม่มีผิดเพี้ยน

ดังนั้น สวี่ชิงจึงเงียบงัน

เขาในตอนนี้สัมผัสได้ถึงวิธีที่จะจากไป

เขาได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดของม้วนภาพมาจนสุดทางแล้ว

ตอนนี้ขอเพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ก็จะออกไปจากม้วนภาพนี้ได้

แต่สายตาของเขา กวาดมองไปยังผลึกแก้วทั้ง 10 ส่วนที่แตกสลายนั่น

นานหลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็เผยประกายอันแรงกล้า

“การถูกผนึกในม้วนภาพนี้ คือทั้งความเป็นความตาย และเป็นทั้งโชคชะตา!”

“วิถีกายเซียนของข้า มีต้นกำเนิดจากผลึกแก้ว 10 ส่วนที่แตกสลายนั่น ตอนนี้เมื่อเห็นอีกครั้ง อีกทั้งยังชัดเจนกว่าที่เคยเห็น ข้าสามารถ…ยืนยันวิถีของข้าได้อีกครั้ง!”

คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็ไม่ลังเล นั่งขัดสมาธิลง จิตเทพและแม้กระทั่งวิญญาณก็พลันแผ่ออกไป ดุจดาวตก พุ่งตรงไปยังผลึกแก้ว 10 ส่วนที่แตกสลายนั้น

เสี้ยวพริบตาต่อมา การเวียนว่ายตายเกิดก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่คนอีกต่อไป

……

ข้าคืออุกกาบาตที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

ตกลงบนดวงดาวที่มีนามว่าชะตาสวรรค์

ไม่รู้ว่าตนเองมาจากที่ใด

ที่นั่น กาลเวลาไหลผ่าน ข้าค่อยๆ เกิดสติปัญญาขึ้นมา ในความรางเลือนก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตได้บ้าง

แต่ไม่ชัดเจนนัก คลุมเครือเหลือเกิน

จำได้เพียง ทะเลทรายแห่งหนึ่ง

ดังนั้น ในเวลาส่วนใหญ่ ข้าจึงเฝ้ามองดวงดาราดวงนี้ เฝ้าดูโชคชะตาของสรรพชีวิตบนดวงดาว และหวนระลึกถึงว่าตนจากมาจากที่ใด ระลึกถึงเรื่องราวของผืนทะเลทรายนั้น

แต่น่าเสียดาย ข้าจำได้ไม่มากนัก ไม่ว่าข้าจะพยายามมากเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่จำได้ว่ามีฝุ่นผงและแม่น้ำสายหนึ่งเท่านั้น

พวกมันคือใคร

ข้าค่อนข้างสับสน

และในห้วงเวลาที่ข้าครุ่นคิดนี้ บนดาวชะตาสวรรค์ ข้าก็มักจะถูกผู้คนในที่นี้พบเห็น

บางครั้ง พวกเขาก็คิดว่าข้าเป็นเพียงสิ่งธรรมดา บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นลางร้าย

เช่นกัน ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้คนในที่นี้ถือว่าข้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มากราบไหว้สักการะบูชาข้า

กาลเวลาผ่านไปรวดเร็ว ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป

ภาพฉากแล้วฉากเล่าเหล่านี้ ข้าไม่ใส่ใจ

เดิมคิดว่าชีวิตที่เหลือก็คงเป็นเช่นนี้

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้บำเพ็ญจากนอกดาวชะตาสวรรค์ ได้มาถึงที่นี่ และมองเห็นข้า

เขาดูเหมือนจะดีใจจนเนื้อเต้น แบกข้าออกจากดาวชะตาสวรรค์ ออกจากดาวดวงนี้ ไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าอัคคีสวรรค์

ที่นั่น ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก

และข้าจะจดจำทวีปนี้ไปตลอดชั่วกาลนาน เพราะที่นั่นมีภูเขาไฟลูกมหึมา ภูเขานี้…กินพื้นที่ถึง 9 ส่วนของแผ่นดินใหญ่อัคคีสวรรค์

ข้าถูกพาไปที่นั่น ถูกโยนลงไปในปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังลุกไหม้ หินหนืดอันไร้ที่สิ้นสุดและความร้อนระอุโอบล้อมข้า เผาผลาญข้า หลอมข้า

กระทั่ง ข้ากลายเป็นเหล็กก้อนหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญคนนั้นที่พาข้ามาที่นี่ อาศัยพลังของภูเขาไฟนี้ ในที่สุดก็หลอมข้าให้กลายเป็นกระบี่ที่คมกริบเล่มหนึ่ง

มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าป่าบรรพกาล ตัดต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดที่นั่นลง

ราวกับเป็นการแก้แค้น

ส่วนผู้บำเพ็ญคนนั้นก็บาดเจ็บสาหัส พาข้าจากไป และในหลายปีต่อมาก็แตกดับ ส่วนข้าในห้วงเวลาอันยาวนาน ก็ได้พบกับผู้ครองกระบี่คนอื่นๆ อีก

พวกเขาไม่มีข้อยกเว้น สุดท้ายก็ล้วนแตกดับโดยไม่คาดฝัน

คำกล่าวที่ว่า “ลางร้าย” ก็ตกมาอยู่บนตัวข้าอีกครั้ง

ดังนั้น ผู้ครองกระบี่คนสุดท้าย จึงพาข้ามายังแม่น้ำหยินที่เป็นสีดำทั้งยังตลบอวลไปด้วยความตาย ลบวิญญาณของข้า แล้วโยนทิ้งลงไป

ข้าตกลงไปในแม่น้ำ จมลงไป ดวงจิตสลายไป

จมอยู่ใต้โคลนตมก้นแม่น้ำยาวนาน

แต่กลิ่นอายบนตัวข้า สำหรับสายน้ำนี้แล้ว ราวกับสามารถก่อให้เกิดการหล่อเลี้ยงอันยอดเยี่ยม ทำให้มันขยายใหญ่ขึ้น และยิ่งไหลเชี่ยวกรากขึ้น

และก่อนตาย ข้าได้ยินใครบางคนพูดกับข้าว่า

“นี่คือ ไฟข่มทอง และทองก่อเกิดน้ำ”

……

เดิมทีข้าไม่ได้ชื่อกู่อี่ติงเดือน 3

ชื่อนี้เป็นเพราะในห้วงเวลา ข้าเห็นว่าในเดือน 3 ของปีกู่อี่ติงมีฝนหยดลงมาเม็ดหนึ่ง

มันไร้สติสัมปชัญญะ วันหนึ่งมีคนเรียกขานมันว่า ฝนเดือน 3 กู่อี่ติง ดังนั้นมันจึงมีสติปัญญา กลายเป็นทะเลสาบ หลายปีต่อมา กลายเป็นทะเลเหนือ

ข้าเห็นทุกสิ่งนี้แล้วรู้สึกว่าไม่เลว ดังนั้นก่อนที่มันจะถือกำเนิดก็ใช้ชื่อนี้

“เมื่อเจ้าถือกำเนิด ข้าจะคืนชื่อให้เจ้า”

ชีวิตของข้าก็นับว่าผันผวน ข้าเคยกลืนกระบี่เหล็กที่มีพลังสังหารมหาศาลลงไป

พลังพิฆาตของกระบี่นี้เป็นประโยชน์ต่อการหล่อเลี้ยงข้าเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ข้าขณะที่ไหลเวียนก็ปกคลุมท้องฟ้าดารา ดับภูเขาไฟที่ทั้งน่าตกตะลึงและมีมหึมาลูกหนึ่งลงไป ท่วมจมมัน

ทว่าชะตาชีวิตหลายครั้งก็เป็นเช่นนี้ มีเหตุมีผล วันหนึ่งมีผู้วิเศษกลุ่มหนึ่งมาถึง พวกเขานั่งเรือพิเศษลำหนึ่งเข้ามาในชีวิตของข้า

เรือลำนั้นมีวาสนากับข้า

ดังนั้น ข้าจึงทนไม่ได้ที่จะทำลายมัน เห็นเสี้ยววิญญาณของมันกำลังจะสลายไป จึงหล่อเลี้ยงมัน ทำให้มันมีโอกาสฟื้นคืนขึ้นมาได้

เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดว่าวัตถุประสงค์ของผู้วิเศษกลุ่มนี้ คือการส่งมันเข้าไปในภูเขาไฟที่ข้าดับไปแล้วลูกนั้น ใช้การเผาผลาญมันเป็นค่าตอบแทนเพื่อทำให้ภูเขาไฟฟื้นคืนขึ้นมา

การปะทุของภูเขาไฟ เดิมทีไม่อาจกลบฝังข้าได้ แต่เถ้าภูเขาไฟที่พ่นออกมาคือเคราะห์ของข้า ทำให้ข้ากลายเป็นไอ กลายเป็นฝน หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

ในความเลือนราง ข้าคล้ายได้ยินเสียงหนึ่ง

“นี่คือ ดินข่มน้ำ และ น้ำก่อเกิดไม้”

……

ข้าถือกำเนิดขึ้นบนทะเลทรายแห่งหนึ่ง

ฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาอย่างกะทันหัน ทำให้ข้ามีชีวิตชีวา และมอบสติปัญญาให้แก่ข้า แต่ก็เพราะเกิดสติปัญญาขึ้น ทำให้ข้าเข้าใจว่าความโดดเดี่ยวคืออะไร

ดังนั้น ข้าจึงเปลี่ยนแปลงผลกรรมเวรบางอย่าง ใช้การทำให้ตัวเองอ่อนแอลงเป็นค่าตอบแทน แยกตัวตนออก ทำให้รอบๆ เกิดสิ่งมีชีวิตที่เหมือนข้ามากขึ้น

ไม่นานนัก ลำธารหายไป ป่าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาก็ครอบครองทุกสิ่ง

และที่นี่ ก็ค่อยๆ มีชื่อเรียกขานว่า ป่าบรรพกาล

เผ่าพันธุ์ของข้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกมันติดต่อกับโลกภายนอก สัมผัสฟ้าดิน ดังนั้นจึงมีการบำเพ็ญ

ส่วนข้ากลับยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ เวลาส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะหลับใหล บางครั้งตื่นขึ้นมาก็เฝ้ามองกาลเวลา เห็นความแค้นและความรักของเผ่าพันธุ์ เห็นความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของเผ่าพันธุ์ เห็นเผ่าพันธุ์ชีวิตเผ่าพันธุ์แล้วเผ่าพันธุ์เล่าถูกเผ่าพันธุ์ของข้าทำลายล้าง

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้บำเพ็ญจากเผ่าพันธุ์ที่เคยถูกทำลายล้าง ถือกระบี่พิเศษเล่มหนึ่งมาแก้แค้น

สังหารเผ่าพันธุ์ของข้า ยืนอยู่ตรงหน้าข้า

ข้ามองกระบี่เล่มนั้น รู้ดีว่านั่นคือเคราะห์ในโชคชะตาของข้า

ดังนั้น ข้าจึงเลือกที่จะยอมรับ ความตายจึงมาถึงใต้กระบี่นี้

ในระหว่างการสลายตัวของดวงจิตที่ใช้เวลาหมื่นปี ซากศพของข้าถูกผู้คนนำไปใช้ หลอมเป็นเรือลำหนึ่ง

เดิมทีข้าปฏิเสธ

แต่พวกเขาบอกว่า มีเพียงเรือที่ทำจากวัสดุจากตัวข้าเท่านั้น ที่สามารถแล่นในแม่น้ำที่มีชื่อว่ากู่ยี่ติงเดือน 3 ได้ อีกทั้งในการแล่นนี้ สามารถดูดซับพลังจากแม่น้ำเพื่อเสริมกำลังได้

ทำให้ข้ามีโอกาสฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกครั้ง

ข้าก็เชื่อ แต่ผลลัพธ์คือ พวกเขาใช้ซากร่างของข้า จุดภูเขาไฟที่ตายไปแล้วขึ้นมาใหม่

ในตอนนั้น ข้าได้ยินคำพูดหนึ่ง

“นี่คือ ทองข่มไม้ และ ไม้ก่อเกิดไฟ”

……

ข้าถือกำเนิดขึ้นในห้วงท้องฟ้าดารา เผาหลุมดำหลุมหนึ่ง กลายเป็นร่างกาย กลายเป็นภูเขาไฟ

ผู้คนเรียกข้าว่าอัคคีสวรรค์

เปลวไฟคือชีวิตของข้า และก็เป็นนิสัยของข้า ดังนั้นข้าจึงคำรามตลอดทั้งปี สะท้านสะเทือนไปทั่วทุกทิศ

วันหนึ่ง มีคนมาถึงเบื้องหน้าข้า โยนอุกกาบาตลูกหนึ่งลงมา

ข้าหลอมมันให้กลายเป็นเหล็ก กลายเป็นกระบี่

เดิมทีคิดว่าความรุ่งโรจน์ทั้งชีวิต ก็เหมือนกับเปลวไฟบนร่างกายของข้า จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์

แต่แม่น้ำสีดำที่เต็มไปด้วยความตายและพลังสังหาร มาจากห้วงท้องฟ้าดาราปกคลุมข้า ดับข้าลง

นี่คือเคราะห์ของข้า ไม่ว่าจะคำรามอย่างไร ต่อต้านอย่างไร ก็ล้วนไร้ประโยชน์

กระทั่งห้วงเวลาอันเนิ่นนานผ่านไป มีเรือลำหนึ่งก็มาถึง มันลุกไหม้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ปลุกข้าให้ตื่น การระเบิดที่สงบนิ่งมานานนับไม่ถ้วน ก่อให้เกิดฝุ่นผงเต็มฟ้า

นั่นคือความโกรธของข้า ปกคลุมทุกสิ่ง

สิ่งที่มาพร้อมกับความโกรธ ดูเหมือนจะยังมีคำพูดหนึ่งที่ดังมาจากที่ใดไม่รู้

“นี่คือ น้ำข่มไฟ และ ไฟก่อเกิดดิน”

……

ข้าคือเถ้าถ่านจากการปะทุของภูเขาไฟ หลังจากตกตะกอนแล้วก็กลายเป็นผืนดิน

ในพริบตาที่ข้าถือกำเนิดขึ้น ข้าได้ถมแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลจนราบเรียบ

นั่นคือสิ่งที่ข้าภูมิใจที่สุด

และในโคลนตมของแม่น้ำ มีกระบี่เหล็กเล่มหนึ่ง

ข้ามองกระบี่เล่มนี้ ไม่รู้ว่ากาลเวลาได้ผ่านไปแล้ว

ดังนั้น ชีวิตของข้า จึงน่าเบื่อหน่าย

กาลเวลาไหลผ่านไป ข้าค่อยๆ หลับใหลไป ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เมื่อข้าตื่นขึ้น ตัวข้าก็กลายเป็นทะเลทรายแล้ว

การมาถึงของน้ำฝน หล่อเลี้ยงพืชพรรณ ชีวิตของข้าถูกดูดซับไปทีละน้อย

และดาบเล่มนั้น ในห้วงเวลาอันไร้ขีดจำกัดนี้ ถูกข้าหล่อเลี้ยง มันค่อยๆ ตกตะกอน ในที่สุดก็กลายเป็นอุกกาบาต

สุดท้าย ในเสี้ยวขณะที่ชีวิตของข้าถูกดูดซับ และกำลังจะตาย ข้าใช้พละกำลังเฮือกสุดท้าย ส่งอุกกาบาตลูกนี้ไปยังห้วงท้องฟ้าดารา

กลายเป็นดาวตก ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด

แต่ข้าก็รู้สึกยินดี

เพราะมันได้แบกรับการเวียนว่ายตายเกิดของข้า แบกรับการฟื้นคืนของข้า

ชาติหน้า ข้าไม่อยากน่าเบื่อหน่ายแบบนี้แล้ว

พึมพำไปเรื่อยๆ ข้าก็หลับตาลง

เพียงแต่ในจิตสำนึกที่พร่าเลือน คล้ายว่ามีคำพูดหนึ่งกำลังดังก้องอยู่

“นี่คือ ไม้ข่มดิน และ ดินก่อเกิดทอง”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version