Skip to content

Outside Of Time 1149


บทที่ 1149 ต่างมีเส้นทางของตน

นายน้อยวังเซียนที่สวี่ชิงเข้าสิง ได้ถูกแขวนไว้ที่ผาทัณฑ์อัสนี 7 วันแล้ว

เหลืออีก 3 ชั่วยามก็จะครบกำหนดโทษ

ทว่าใน 3 ชั่วยามสุดท้ายนี้ สายฟ้าก็มีพลังที่รุนแรงกว่าปกติ เสียงเปรี้ยงปร้างครืนครั่นดังก้อง ต่อให้อยู่นอกผาทัณฑ์อัสนีก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

เสียงฟ้าคำรนอันยิ่งใหญ่นี้ ราวกับกำลังบอกทุกคนถึงอำนาจของผาทัณฑ์อัสนี

แต่…ร่างที่อยู่ท่ามกลางสายฟ้าร่างนั้น ในเสี้ยวขณะนี้แม้จะดูสะบักสะบอม แต่ใน 3 ชั่วยามสุดท้ายนั้น สายฟ้าสวรรค์อันยิ่งใหญ่กลับแฝงไว้ด้วยการบำรุงหล่อเลี้ยงที่ซ่อนเร้นอย่างล้ำลึก

ซึ่งก็คือเสียงฟ้าดังแต่ฝนตกเบาบาง

ความยิ่งใหญ่ภายนอกเป็นเพียงการแสดงให้คนนอกเห็น อันที่จริง…สายฟ้าที่ส่องประกายไร้ขอบเขตนั้นกำลังแอบบำรุงกายเนื้อและวิญญาณของเขา ปลอบประโลม…การลงโทษตลอด 7 วันนี้

เรื่องนี้คนนอกไม่ทราบ แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างที่สวี่ชิงตรวจสอบพบว่าเกือบทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษใดๆ สุดท้ายฝ่ายที่ทำการลงโทษก็จะแอบช่วยเหลือในตอนท้าย ไม่ต้องการให้นายน้อยผู้นี้ต้องทุกข์ทรมานทั้งกายและใจจริงๆ

ในเมื่อเขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำเซียนจี๋กวง

จงฉือเงยหน้ากวาดตามองอย่างรวดเร็วผาดหนึ่ง ใบหน้าเผยความเจ็บปวด แต่ในใจกลับแค่นเสียงขึ้นจมูก “พ่อที่เมตตามากไป ลูกมักจะเสียคน!”

เล่ห์กลในนี้ คนอื่นไม่รู้ เขาย่อมไม่มีทางไม่รู้ความจริง

แต่ภายนอก เขาก็ยังคงรักษาสีหน้าเจ็บปวด ตะโกนเสียงดังว่า “นายน้อย ท่านต้องอดทนไว้ เหลืออีกแค่ 3 ชั่วยามสุดท้ายเท่านั้นแล้วขอรับ”

“ท่านหลี่เทียนเจียวไปถึงลานประลองแล้ว กำลังรอท่านอยู่ที่นั่นนะขอรับ!”

น้ำเสียงและอารมณ์เต็มเปี่ยม

สวี่ชิงอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น มองไปยังจงฉือ

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพบว่าหลี่เมิ่งถู่ก็มีความสามารถในการแสดงอยู่บ้างเหมือนกัน

ตอนนี้สีหน้าและคำพูดเช่นนี้ หากตนเองไม่ทราบฐานะของอีกฝ่าย น่ากลัวว่าก็คงยากที่จะสงสัยอะไรในทันทีเช่นกัน

และเมื่อสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง การแสดงของจงฉือก็ยิ่งทุ่มเท ราวกับจะช่วงชิงความโปรดปรานจากสายฟ้า

แต่เห็นได้ชัดว่า ไม่อาจช่วงชิงได้

สายฟ้ายิ่งคำรามกึกก้อง พลังยิ่งน่าสะพรึงกลัว แผ่ปกคลุมฟ้าดินที่ผาทัณฑ์อัสนีอยู่ แสงที่ส่องประกาย ราวกับจะเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นสระสายฟ้า

เสียงกัมปนาทดังก้องไม่หยุด

ไม่เพียงแค่ที่นี่ แต่ยังฟาดผ่าไปเหนือเตาหลอมกระบี่ทางทิศเหนือของวังเซียนด้วย

ทางเหนือของวังเซียน มีเตาหลอม

เตาหลอมนี้ดุจเตาหลอมเซียน เปลวไฟพลุ่งพล่าน ราวกับหมื่นอสูรทะยาน แสงอันร้อนแรงส่องสว่างทั่วบริเวณ

ราวกับว่าแม้แต่อากาศก็ถูกจุดติด

และบนผนังเตาหลอม มีอักขระหมุนวน มาพร้อมกับเสียงลุกไหม้ของเปลวเพลิง ราวกับมนต์โบราณที่กำลังสวดร่ายอยู่แว่วๆ

อักขระทุกตัวล้วนแฝงไว้ด้วยความลี้ลับและพลังแห่งฟ้าดิน

นี่คือเตาหลอมฟ้าดินที่ผู้นำเซียนจี๋กวงสร้างขึ้นจากการหลอมโลกใบเล็กนับแสนโลก

สามารถหลอมได้ทุกสิ่ง เปลี่ยนสิ่งผุพังให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์

ในเสี้ยวขณะนี้ มันอยู่ในท่วงท่าที่เหนือโลกใช้ไฟแห่งฟ้าดินหลอมรวมสมบัติวิเศษล้ำค่าแห่งฟ้าดินธาตุทองแต่ละชิ้นอย่างต่อเนื่อง

พวกมันบางส่วนกลายเป็นควันสีเขียวคราม บางส่วนถูกหลอมเป็นของเหลว และทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนมาพร้อมกับการโหมทะลักของพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน

ท่ามกลางการสอดประสานของเปลวเพลิงและพลังวิญญาณ พลังอันคมกริบกำลังก่อกำเนิดขึ้น

นั่นคือต้นแบบกระบี่!

ในอดีตที่ผ่านมา มีกระบี่เซียน 10 เล่มถือกำเนิดขึ้นจากเตาหลอมนี้ กลายเป็นกระบี่คู่กายของผู้นำเซียนจี๋กวง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วระบบดาว

และตามแผนการของผู้นำเซียนจี๋กวง กระบี่ที่เขาต้องการคือ 12 เล่ม เพื่อที่จะสามารถประกอบเป็นค่ายกลกระบี่ได้

วันนี้ กระบี่ 2 เล่มสุดท้ายกำลังก่อตัวขึ้น

ด้วยเหตุนี้ จึงเหนี่ยวนำอัสนีสวรรค์ ฟาดผ่ามายังเหนือเตาหลอมกระบี่ ทำให้สายฟ้าหลอมรวมเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้กระบี่ก่อร่างสำเร็จ

ในเสี้ยวขณะนี้ จากการไหลทะลักเข้าไปของแสงสายฟ้า จากการลุกไหม้ของเพลิงแห่งฟ้าดิน จากการหลอมรวมของของวิเศษล้ำค่าแห่งฟ้าดินเหล่านั้น ภายในเตาหลอมกระบี่ มองเห็นต้นแบบกระบี่ 2 เล่มอย่างเลือนราง กำลังถูกหล่อหลอมขึ้นมา

กลิ่นอายในพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความคมของพวกมันก็ยังคงถูกลับอยู่ตลอด

กระบวนการนี้สำหรับต้นแบบกระบี่ 2 เล่มนี้คือการกลายร่างจากดักแด้เป็นผีเสื้อ คือการที่ปลากระโดดข้ามประตูมังกร

ดังนั้น สำหรับวิญญาณจากภายนอกทั้ง 2 ที่เข้าสิงอยู่ข้างใน จึงเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน!

เชียนจวินและปี้อี้จากสำนักเซียนกระบี่แดนดาราทิศเหนือ ฐานะโลกชั้นที่ 4 ที่ได้มาด้วยความยากลำบากในโลกชั้นที่ 3 ก็คือกระบี่ 2 เล่มนี้นั่นเอง!

นี่เกี่ยวข้องกับวิถีของพวกเขา

พวกเขาทั้งคู่เดิมกำเนิดมาพร้อมกับกระบี่ จัดเป็นกายกระบี่ก่อนกำเนิด ภายในเตาหลอมนี้ ผ่านกระบวนการหลอมกระบี่เซียน ก็ราวกับว่าตนเองก็ถูกหล่อหลอมไปด้วย มีประโยชน์มหาศาล

ดังนั้น ในต้นแบบกระบี่ 2 เล่มที่สิงอยู่ จึงเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด

อีกทั้งกระบี่เซียน 2 เล่มที่กำลังถูกหล่อหลอมอยู่นี้ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจริง ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ พวกมันจะสำเร็จในอีก 1 เดือนข้างหน้า แต่ยังไม่ทันได้ถือกำเนิดขึ้น ก็ถูกทำลายไปพร้อมกับเคราะห์ของวังเซียน

ดังนั้น ชีวิตของพวกมันจึงไม่เคยมีเจ้าของที่แท้จริง

และกระบี่ที่ไม่มีเจ้าของ ทั้งยังไม่ถือกำเนิดเช่นนี้ ตัวมันเองก็ไม่มีผลกรรมเวร สำหรับเชียนจวินและปี้อี้แล้ว พูดได้กระทั่งว่าสมบูรณ์แบบ

ดังนั้น ทั้ง 2 คนจึงพอใจและคาดหวังอย่างมากกับการเข้าสิงในกระบี่ 2 เล่มนี้

ไม่ว่าคนอื่นภายนอกจะเลือกเส้นทางของตัวเองอย่างไร จะปูทางวาสนาของตัวเองอย่างไร จะคว้ามาอย่างไร…วาสนาของพวกเขานั้นก็วางอยู่ตรงหน้าแล้ว

ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องช่วงชิง ขอแค่ฝึกฝนและรับการหล่อเลี้ยงอย่างสงบที่นี่ รออีก 1 เดือนให้หลังก่อกำเนิดขึ้นมาสำเร็จก็พอแล้ว

แม้จะมีแขกไม่ได้รับเชิญ พวกเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะวาสนาของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับดวงดาวคนอื่น

ก็เหมือนกับในเสี้ยวขณะนี้…ท่ามกลางการหลอมจากสายฟ้าและเปลวเพลิง มีเสียงอันสงบดังมาจากนอกเตาหลอมกระบี่

“เตาหลอมนี้ ไม่เพียงแต่สามารถหลอมกระบี่ได้เท่านั้น ยิ่งสามารถหลอมใจขัดเกลานิสัยได้อีกด้วย”

“ดังนั้น วิถีแห่งการหลอมกระบี่ แท้จริงแล้วคือวิถีแห่งการฝึกฝนจิตใจ”

เสียงดังก้องอยู่ในเตาหลอม แผ่ระลอกมายังเชียนจวินและปี้อี้ ทำให้จิตเทพของทั้ง 2 แผ่ขยายออกไป มองดูภายนอก

นอกเตาหลอมกระบี่ ชายหนุ่มร่างเหยียดตรงดุจต้นสนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ

คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วงทอง พลิ้วไหวเล็กน้อยท่ามกลางระลอกคลื่นพลังของสายฟ้าและเปลวเพลิง ราวกับมีมังกรและหงส์เพลิงโบยบินอยู่ปลายแขนเสื้อ แสดงถึงความสูงส่งและลึกลับอย่างเต็มที่

ศีรษะสวมกวานสีม่วงทองประดับอัญมณี บนกวานสลักลวดลายมังกรและหงส์เพลิง สมจริงมีชีวิตชีวาจนผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยำเกรง

หว่างคิ้วยิ่งแผ่กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้คนไม่อาจเมินเฉยต่อการมีอยู่ของเขาได้

ระหว่างพูด เขายกเท้าขึ้น แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า

ฝีเท้ามั่นคงและมีพลัง ทุกย่างก้าวราวกับก้าวเหยียบไปบนจังหวะเวลา

ฟ้าดินเปลี่ยนสีจากการก้าวเดิน ลมเมฆปั่นป่วนตาม

สายฟ้าและเปลวเพลิงที่นี่ก็สั่นไหวตามไปด้วย

และร่างของเขา จากการก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวก็เดินเข้าไปในเตาหลอมกระบี่

มาปรากฏตัวขึ้นข้างต้นแบบกระบี่ทั้ง 2 เล่มนั้นในเตาหลอมกระบี่

กระบี่ต้นแบบส่งเสียงคำราม

แผ่กลิ่นอายอันคมกริบออกมา

แต่ชายหนุ่มผู้นี้ไม่สนใจเลย ดวงตาของเขาลึกซึ้งและสว่างไสว ราวกับสามารถมองทะลุทุกสรรพสิ่งในโลก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาและเยือกเย็น เขามองไปยังต้นแบบกระบี่ 2 เล่มเบื้องหน้า เอ่ยราบเรียบขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้ง 2 อยู่ในเตาหลอมเพลิงนี้ ไม่เพียงแต่จะรอการก่อร่างสำเร็จในท้ายที่สุดเท่านั้น อีกทั้งในระหว่างกระบวนการนี้ การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งของของทองคำ ล้วนแต่เป็นการทดสอบจิตใจของพวกเจ้า”

“และเตาหลอมนี้ดุจเตาหลอมเซียน ภายในเตาหลอมเซียนเก็บซ่อนฟ้าดิน จิตใจนี้ดุจกระจก ภายในกระจกสะท้อนฟ้าดิน”

จากคำพูดที่ดังมาของชายหนุ่ม เปลวเพลิงในเตาหลอมดูเหมือนจะยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้นมาอีกหลายส่วน พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเป็นกลุ่มๆ พุ่งออกมาจากเตาหลอม ทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือน

และภายใต้การชำระล้างของพลังนี้ ต้นแบบกระบี่ทั้ง 2 ก็ได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงที่มากยิ่งขึ้น

“วาสนาครั้งนี้ ดีมาก” เสียงของชายหนุ่มสงบนิ่ง ทว่ากลับเปี่ยมด้วยอำนาจพลังแห่งวาจาสิทธิ์

“แต่ประวัติศาสตร์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหตุการณ์ไม่อาจถูกแทนที่ได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าประวัติศาสตร์ช่วงนี้จะเป็นภาพสะท้อนหรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่น้อย!”

“ดังนั้นข้าอนุญาตให้พวกเจ้าล่องเรือไปตามกระแสน้ำ ได้รับวาสนาในกระแสแห่งประวัติศาสตร์ที่ไหลไป”

“แต่ถ้าหากพวกเจ้ามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย ข้าก็จะลงมือลบพวกเจ้าออกไปเอง ยึดสิทธิ์การอยู่ที่โลกชั้นที่ 4 ของพวกเจ้า”

“จำไว้ให้ดี จงรักษากฎระเบียบ!”

เชียนจวินและปี้อี้ได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ส่งเสียงกระบี่ที่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมเชื่อฟังออกมา

พวกเขามองฐานะของผู้มาเยือนออก และยังมองวิถีเต๋าของอีกฝ่ายออกด้วยเช่นกัน

นี่คือการเลือกข้างและการแลกเปลี่ยน

และทางเลือกของพวกเขาแต่เดิมก็คือการรักษากฎเกณฑ์ ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งกัน

ดังนั้น ร่างของชายหนุ่มพร่าเลือนไป สุดท้ายก็ออกไปจากเตาหลอมกระบี่ มาปรากฏตัวอยู่นอกสายฟ้าและเปลวเพลิง

ที่นั่น มีผู้ติดตามกำลังรออยู่

เมื่อเห็นชายหนุ่มปรากฏตัว ผู้ติดตามก็ก้มศีรษะ เดินตามหลังไป

ตลอดทาง ทั้ง 2 คนเดินออกจากบริเวณเตาหลอมกระบี่ เดินไปในวังเซียน

ระหว่างทาง ผู้บำเพ็ญวังเซียนคนใดก็ตามที่เห็นชายหนุ่มผู้นี้ ต่างก็ต่างสีหน้าเคารพนอบน้อม โค้งคารวะทำความเคารพในทันที

“คารวะท่านอริยะเซียน”

ในวังเซียนแสงเรืองรอง ผู้ที่สามารถถูกเรียกว่าอริยะเซียนได้ มีเพียงศิษย์สายตรงทั้ง 4 ของผู้นำเซียนจี๋กวงเท่านั้น

นี่เป็นคำเรียกที่ใช้เฉพาะพวกเขาเท่านั้น

และในเสี้ยวขณะนี้ ศิษย์ 3 คนอยู่ข้างนอก อยู่ในวังเซียนแสงเรืองรองมีเพียงศิษย์น้องสี่เท่านั้น!

ชายหนุ่มผู้นี้คือศิษย์คนที่ 4 ของผู้นำเซียนจี๋กวง ฐานะและตำแหน่งของเขาดูเหมือนจะเป็นรองลงมาจากนายน้อยเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ในใจของทุกคนนั้นอยู่เหนือกว่า

เป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มเจินจวินศิษย์น้องสี่ผู้นี้ หลังจากยิ้มตอบผู้คนแล้ว ก็พาผู้ติดตามข้างกาย เดินกลับไปยังตำหนักอริยะเซียนของตนเอง

ในเสี้ยวขณะที่ก้าวเข้าไป ผู้ติดตามก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านผู้อาวุโส เชียนจวินกับปี้อี้พวกเขา…”

“พวกเขารักษากฎระเบียบ” ชายหนุ่มกล่าวราบเรียบ

ผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก

ฐานะที่แท้จริงของเขาคือโจวเจิ้งลี่!

หลังจากมาถึงโลกชั้นที่ 4 อันที่จริงเขาคือคนแรกที่จำฐานะของซิงหวนจื่อได้ เพราะทั้ง 2 คนไม่เพียงแต่มาจากแดนดาราทิศตะวันออกเหมือนกัน อีกทั้งวิถีที่เลือกในโลกชั้นที่ 4 นี้ก็เหมือนกันด้วย

พวกเขาต้องการรักษาประวัติศาสตร์ของโลกชั้นที่ 4 ทำให้ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ดำเนินไปตามปกติ

แต่เพื่อให้ได้รับประโยชน์มากขึ้นจากกระบวนการนี้ พวกเขาต้องการผู้ต่อต้าน จากนั้นก็ปราบปราม

ใช้วิธีรักษากฎระเบียบเช่นนี้ เพื่อเติมเต็มธรรมนูญของตนเองให้สมบูรณ์

“เชียนจวินกับปี้อี้ หาง่ายมาก แต่เสียหลิงจื่อกับหลี่เมิ่งถู่ซ่อนตัวได้ลึกมาก…ยังมีเจียงฝานกับหย่วนซานซู่ ตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส”

โจวเจิ้งลี่มองไปยังซิงหวนจื่อ

ซิงหวนจื่อที่เข้าสิงอริยะเซียนคนที่ 4 สีหน้าเป็นปกติ สายตามองออกไปยังท้องฟ้านอกตำหนัก เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ มีบุคคลอยู่ 2 คนที่เป็นประเด็นสำคัญ”

“คนหนึ่งคือผู้นำเซียน อีกคนหนึ่งคือบุตรชายของเขา”

“ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ย่อมจะลงมือกับพวกเขา”

“ส่วนคนแรกนั้นเหนือกว่า ดังนั้นเราจึงมุ่งเน้นไปที่นายน้อยผู้นั้นก็พอ”

“เขาเปรียบเสมือนเหยื่อ จะดึงดูดปลามากมายให้มารวมตัวกัน…”

“อย่างเช่นบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้น”

“และยังมีหลี่เทียนเจียวที่นัดประลองกับเขาคนนั้น”

“แม้กระทั่งสหายศึกษาข้างกายเขา”

ซิงหวนจื่อกล่าวอย่างช้าเนิบ

โจวเจิ้งลี่ครุ่นคิด ใบหน้าเผยรอยยิ้ม กำลังจะพูด

แต่ซิงหวนจื่อกลับส่ายศีรษะ

“เรื่องพวกนี้ ความจริงข้าไม่สนใจเลย แต่มีคนหนึ่งที่เจ้ามองข้ามไป ข้าเองก่อนหน้านี้ก็มองข้ามไปเช่นกัน”

“จนกระทั่งคนผู้นี้ลงมือในโลกชั้นที่ 3 ทำลายแผนการหนึ่งของข้า เขาจึงได้เข้ามาอยู่ในสายตาของข้า”

“ข้ากำลังคิดว่า ฐานะของเขาในโลกชั้นที่ 4 ผู้นี้ คือใครกัน”

……

3 ชั่วยามในที่สุดก็ผ่านไป

บนหน้าผาทัณฑ์อัสนี สายฟ้าที่รายล้อมอยู่ในฟ้าดินนั้น ตรงเวลาอย่างยิ่ง ราวกับกลัวว่าเกินไปแม้อึดใจเดียวก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด

หายไปในทันที

สวี่ชิงที่ถูกแขวนอยู่กลางอากาศ เครื่องพันธนาการบนตัวก็สลายไปในทันทีเช่นกัน ร่างเพียงไหววูบ ก็ลงสู่พื้น

ยืนอยู่เบื้องหน้าจงฉือ

เสื้อผ้าบนตัวขาดรุ่งริ่ง บาดแผลดูเหมือนจะสาหัสมาก แต่…ล้วนเป็นแค่บาดแผลภายนอก ดูเกินจริงเท่านั้นเอง

จงฉือทำสีหน้าเจ็บปวด รีบนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้แต่แรกมาสวมใส่ให้นายน้อยของตนเอง

จากนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “นายน้อย หลี่เทียนเจียวได้ประกาศก้องที่ลานประลองว่า การเอาชนะท่านในสภาพเช่นนี้ไม่สมศักดิ์ศรี ท่านรักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้วค่อยไปก็ได้”

“นอกจากนี้ สาวงามจิ้งจอกผู้นั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย…”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ไม่จำเป็น ไปตอนนี้เลย!”

พูดจบก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

จงฉือส่ายศีรษะในใจ แอบคิดว่าผู้นี้เป็นคนเจ้าชู้จริงๆ ขนาดถูกลงโทษมาขนาดนี้ แต่พอได้ยินว่ามีสาวงามอยู่ด้วย ก็ยังอยากรีบไปทันที

คิดในใจเช่นนั้น แต่คำพูดที่ออกมาจากปากกลับเปลี่ยนไปอีกแบบ “นายน้อยเทพสง่า ชาญฉลาดปราดเปรื่อง พรสวรรค์โดดเด่น กล้าหาญเกินใคร ศิลปะเซียนสูงส่ง อัจฉริยะแห่งหมื่นยุคสมัย”

“ในอนาคตนายน้อยขึ้นครองราชย์ ย่อมทำให้ระบบดาวรุ่งเรือง ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข สร้างความสงบสุขชั่วนิรันดร์ กำหนดกาลเวลาและจักรวาล”

คำพูดชุดนี้ส่งออกไป ดังขึ้นในหูของสวี่ชิง เขาที่กำลังเดินไปข้างหน้า ยังอดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า หันไปมองจงฉือแวบหนึ่ง

จงฉือกะพริบตาปริบๆ แอบคิดว่านี่ฟังคำพูดเหล่านี้จนชินแล้ว เลยไม่พอใจอย่างนั้นหรือ

ดังนั้นก็แอบถอนหายใจ ตัวละครที่เขาเข้าสิงนี้ ขึ้นชื่อเรื่องการประจบประแจง ทำให้เขารู้สึกว่ามันยากเกินไป ดังนั้นสมองก็หมุนอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นายน้อยแม้ไม่ได้กล่าว แต่ความหมายในสายตาข้าน้อยเข้าใจแล้ว! ซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”

“ได้รับคำยกย่องและเมตตาจากใต้เท้า ข้าน้อยซาบซึ้งใจหาใดเปรียบ จะขอทุ่มเทสุดกำลัง ทำงานรับใช้ดุจม้าและสุนัข แต่มีคำพูดจากใจที่มิอาจไม่กล่าว นายน้อยผู้บาดเจ็บสาหัส เพื่อรักษาสัญญา ยังคงไปต่อสู้ ความกล้าหาญดุจแม่ทัพนี้สะท้านสะเทือนทั่วทุกทิศทาง ดุจดวงดาวอันเจิดจรัส น่าเคารพยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุคนี้!”

สวี่ชิงเงียบงัน ไม่สนใจอีกต่อไป ดึงสายตากลับมา ร่างเพียงไหววูบ…

เดินออกจากบริเวณผาทัณฑ์อัสนี

เมื่อปรากฏตัวขึ้น ก็มาอยู่ในวังเซียนแล้ว

ทอดสายตามองรอบๆ แสงสวรรค์เจิดจรัส สรรพสิ่งสงบสุข ท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกสีแดงฉาน

ภาพแห่งยุคอันรุ่งเรือง ปรากฏสู่สายตา

“ที่นี่คือมิติเวลาในอดีตของวังเซียนแสงเรืองรอง!”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version