บทที่ 1162 ดอกเชียนหนิวที่แสนงาม
กลางเดือน 12 เต้าโม่ ปี 2,999 ศักราชจิ่วอั้น
ห่างจากที่ผู้นำเซียนจิ่วอั้นจะลงจากตำแหน่ง และผู้นำเซียนจี๋กวงจะเข้ารับตำแหน่งเหลือเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ยังเป็นวันมงคลสมรสของนายน้อยวังเซียนแสงเรืองรองกับบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้นด้วย
งานมงคลสมรสนี้ หากเป็นในเวลาปกติ ไม่ใช่แค่จะสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งระบบดาวที่ 5 เท่านั้น แต่ยังดึงดูดผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนให้มาที่นี่ด้วยท่าทีพินอบพิเทา
กระทั่งพูดได้ว่า ผู้นำเซียนทุกองค์แม้จะไม่ได้มาด้วยตนเอง ก็จะต้องส่งให้ศิษย์คนโตมาเพื่อให้สมเกียรติ
แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาละเอียดอ่อน ผู้นำเซียนจี๋กวงได้ปฏิเสธแขกจากภายนอกทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่าไม่เหมาะจะจัดงานให้ใหญ่โตหรูหรา ทำให้งานแต่งงานครั้งนี้จัดอยู่เพียงในวังเซียนเท่านั้น
ถึงกระนั้น ของกำนัลและการจัดเตรียมที่จำเป็นก็ย่อมต้องสรรหา
ดังนั้น วังเซียนทั้งหมดจึงประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าแดงทั่วทุกหนทุกแห่ง
โดยเฉพาะตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต ยิ่งเป็นเช่นนั้น
สิ่งเหล่านี้เดิมก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อยู่แล้ว แม้จะสร้างความเคลื่อนไหวก็ไม่อาจก่อสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่โตนัก อีกทั้งยังจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ภายหลังอีกด้วย ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ได้เข้าไปขัดขวาง ปล่อยให้ขุนนางพิธีการของวังเซียนยุ่งวุ่นวายไปมาอยู่ในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต
เขานั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ในตำหนักหลัก ศึกษาค้นคว้าทรายแห่งกาลเวลาที่ได้รับมาต่อไป
เรื่องภายนอกก็ให้จงฉือเป็นผู้ประสานงานและจัดการ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานนัก แสงพรายรุ้งยามเย็นที่เกิดจากดวงอาทิตย์ยามอัสดงก็แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า สาดส่องเข้ามาในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต เหล่าขุนนางพิธีการก็เก็บรายละเอียดขั้นสุดท้ายในการตกแต่งตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต
ส่วนจงฉือนั้น กำลังเงยหน้าตรวจสอบการจัดวางและการตกแต่งสิ่งของต่างๆ อย่างละเอียด
จากนั้นก็ชี้ไปที่ลูกแพรปักที่แขวนอยู่บนชายคา ขมวดคิ้วพลางกล่าวกับขุนนางพิธีการที่อยู่ข้างๆ ว่า “สีของลูกแพรปักนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก แค่เห็นก็รู้แล้วไม่ใช่ทำมาจากดอกกุหลาบเหมันต์ทั้งหมด ปกติแม้จะมองไม่ออก แต่ตอนนี้เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบ สิ่งเจือปนก็ปรากฏออกมา”
“จำนวนก็ไม่เป็นมงคล ต้องเป็นเลขคู่ รีบเปลี่ยนซะ!”
“แล้วก็ผ้าแพรสีแดงที่ประดับไว้ ความแวววาวไม่พอ การไหลเวียนของวิชาเวทพลังเซียนที่แฝงอยู่ภายในก็ไม่เป็นธรรมชาติ”
“เปลี่ยนซะ!”
“แล้วก็…”
จงฉือเรียกได้ว่าทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เขารู้สึกว่าตนเองจะต้องแสดงผลงานให้ดี เพราะเมื่อวานนายน้อยได้ช่วยพูดอะไรบางอย่างดีๆ กับเซียนเสี่ยวฮุ่ยจากตำหนักวังครองวิญญาณให้เชียวนะ
ตามนิสัยของเจ้าของร่างนั้น ย่อมต้องรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ จงฉือยังถอนหายใจในใจ เขารู้ถึงทิศทางของประวัติศาสตร์ รู้ดีว่างานแต่งงานนี้แท้จริงแล้ว…คือพิธีที่เต็มไปด้วยเลือด
“นายน้อยผู้นี้ ในอีกครึ่งเดือน จะต้องตายอย่างอนาถที่นี่…รวมถึงทุกคนที่นี่ ไม่มีใครรอด”
“จะว่าไปแล้ว จากการที่ได้สัมผัสกับนายน้อยผู้นี้ช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือแก่นแท้ ความจริงก็เป็นคนดี ถึงแม้จะค่อนข้างเจ้าชู้ไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วตามฐานะของเขา ก็แค่เจ้าชู้เท่านั้น…นี่ก็เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว”
จงฉือถอนหายใจ ในช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกว่า ชีวิตในวังเซียนนั้นไม่มีแรงกดดันอะไรเลย แค่ดูแลปกป้องนายน้อยให้ดีก็พอ
กลับเป็นตัวเขาเองในโลกความเป็นจริงที่ต้องแบกรับภาระมากมาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือชะตากรรมของตนเอง ล้วนต้องดิ้นรน ต้องพลิกผันเปลี่ยนแปลงให้ได้
ขณะเดียวกัน สำหรับแผนการร้ายของอาจารย์ของเขา เขาในฐานะที่เป็นดวงดาว ก็ย่อมมองเห็นเบาะแสบางอย่างออก แต่ภายนอกกลับไม่สามารถแสดงออกได้เลย
ทำได้เพียงหาวิธีโต้กลับอย่างลับๆ
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ เขาก็จำต้องยอมรับว่าตัวเองความจริงแล้วชอบ…จงฉือฐานะตัวตนนี้มากกว่า
ตอนนี้ในเสี้ยวขณะที่ความคิดผุดขึ้น สายตาของเขากวาดตามอง เห็นกระเบื้องอิฐบนพื้นมีตำหนิ จึงขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปาก
แต่ในเสี้ยวขณะนี้เอง แสงพร้ายรุ้งสีแดงบนท้องฟ้าก็พลันเปล่งประกายเจิดจ้า แทบจะส่องสว่างระยิบระยับ
มีเสียงหงส์เพลิงดังมาจากฟากฟ้า
เหนี่ยวนำแสงพรายรุ้งจากทั่วทุกสารทิศ รวมมายังเหนือท้องฟ้าของตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต สะท้อนแสงกับขบวนหงส์เพลิง 9 ตัวที่ลอยมาอย่างสง่างาม
จะเห็นรถม้าที่ประดับประดาอย่างงดงาม เปล่งประกายแสงเจิดจรัสท่ามกลางแสงสนธยา ราวกับจะส่องสว่างทุกซอกทุกมุมของตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต
ส่วนหงส์เพลิง 9 ตัวที่ลากรถม้า ก็ก่อเปลวไฟสีแดง ราวกับจะเผาผลาญแสงพรายรุ้งยามสนธยา เสียงร้องของพวกมันยิ่งทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แสนยานุภาพของหงส์เพลิงแสดงอย่างเต็มที่
ส่วนรอบๆ รถม้า ยังคงมีทหารองครักษ์นับร้อยคน แต่ละคนเคร่งขรึม สวมเกราะสีดำ ถือหอกยาว รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา
พวกเขาคือขบวนเกียรติยศของบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้น และเป็นผู้พิทักษ์ด้วย
ตอนนี้เมื่อเกี้ยวขบวนลอยลงมา ขุนนางพิธีการทั้งหมดในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขตที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็ก้มศีรษะลงโค้งคารวะ
จงฉือรูม่านตาหดเล็ก แต่ภายนอกก็เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม รีบก้าวไปข้างหน้า กล่าวเสียงดังทำความเคารพโค้งคารวะ
“คารวะเซียนหลิงหวง”
เสียงแค่นจมูกเย็นชาดังออกมาจากภายในเกี้ยว ไม่นานนัก เมื่อสาวใช้ทั้ง 2 ที่อยู่ข้างเกี้ยวเปิดม่านออก สตรีผู้เลอโฉมและสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากภายใน
ผู้ที่มาคือบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้น มีนามว่า หลิงหวง!
เพียงแต่นางในวันนี้ ไม่ได้แสดงอาการโกรธเพื่อซ่อนความอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งปรากฏตัวที่ผาทัณฑ์อัสนี แต่…ดวงตาของนางลึกล้ำและเฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดที่ซ่อนเร้นที่สุดในใจของผู้คนได้
ใบหน้าสงบนิ่ง แฝงด้วยพายุ
เครื่องแต่งกายก็ไม่ใช่แบบเดิม
ชุดชาววังสีน้ำเงินขาวหรูหราเป็นอย่างยิ่ง รวมกับสีหน้าที่แววขุ่นเคืองเริ่มปะทุ ก็ยิ่งทำให้ทั้งคนมีความน่ายำเกรงอย่างไม่อาจล่วงละเมิดได้
ราวกับว่าการมีอยู่ของนางเองคือพลังสยบกำราบอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้คนเมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ไม่กล้าที่เสียมารยาท
ตอนนี้ก้าวเดินออกจากเกี้ยวทีละก้าว…ทีละก้าว เดินเข้าไปในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต เมื่อยืนอยู่ที่นั่น ความสง่างามทรงอำนาจในตัวนางก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น
เพราะนางรู้ถึงคุณค่าและตำแหน่งของตนเองอย่างชัดเจน และรู้ว่าจะใช้พลังนี้เพื่อรักษาเกียรติและผลประโยชน์ของตนอย่างไร
ดังนั้นสายตาที่ราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งหลอกลวงและคำโกหก ก็กวาดมองไปยังทุกสิ่งที่นี่ สุดท้ายก็หยุดลงที่จงฉือ
“วังบุปผา รื้อแล้วหรือยัง”
เสียงของนางทุ้มต่ำแต่มีพลัง ทุกคำพูดราวกับค้อนที่ตอกลงบนหัวใจของผู้คน ทำให้เกิดความยำเกรงอย่างอดไม่ได้
ผู้คนต่างก้มหน้าเงียบงัน แม้แต่จงฉือก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมมาจากคำพูดของสตรีที่อยู่ตรงหน้า
‘ไม่ได้พบกันหลายวัน คนผู้นี้ปรับตัวเข้ากับฐานะได้อย่างสมบูรณ์แล้ว หากไม่ใช่ว่ามองร่องรอยออกในวันนั้น เกรงว่าวันนี้เมื่อพบกันอีกครั้ง ก็ยากที่จะพบว่านางอาจจะเป็นผู้มาจากภายนอก’
จงฉือในใจครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงต่ำทุ้มว่า “นายน้อยเมื่อหลายวันก่อนได้สั่งการลงมา ให้คนไปรื้อวังบุปผา แต่เป็นที่ข้าน้อยเองที่มัวแต่จัดการการตกแต่งงานมงคลสมรสของนายน้อยกับท่าน จึงละเลยเรื่องเล็กน้อยอย่างการรื้อวังไป…”
“พรุ่งนี้ข้าน้อยจะไปจัดการเลยขอรับ”
เซียนหลิงหวงสีหน้าอึมครึม เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ไม่ต้องพรุ่งนี้ รื้อวันนี้เลย”
พูดพลางเดินไปข้างหน้า
จงฉือรีบทำท่าพยายามจะอธิบาย แต่เพิ่งจะก้าวไปข้างหน้า ก็ถูกขบวนเกียรติยศที่อยู่ข้างกายเซียนหลิงหวงบีบให้ถอยกลับทันที ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งกระแสจิตถึงนายน้อยอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็รีบวิ่งตามไป ตะโกนเสียงดังว่า “นายหญิงน้อย งานหนักเช่นนี้ ให้ข้าจัดการเองก็ได้แล้วขอรับ”
ขณะพูด ภายใต้การนำของเซียนหลิงหวงที่มาพร้อมด้วยความโกรธ วังบุปผาก็ปรากฏลิบๆ อยู่ข้างหน้า และการมาถึงของพวกนางก็ราวกับเมฆดำบดบังอาทิตย์ ทำให้แสงพรายรุ้งยามสนธยาบนท้องฟ้ามืดมิดลงด้วย
ท่ามกลางความรางเลือน มีลมกรรโชกพัดมาจากความว่างเปล่า พัดเข้าไปในวังบุปผา ทำให้หมู่มวลดอกไม้ใบหญ้าในนั้นต่างไหวเอน
แต่…ดอกโบตั๋นที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นของนายน้อย สวมชุดผ้าโปร่งบาง เรือนร่างวับๆ แวมๆ รวมกับสีหน้าที่เกียจคร้าน ทำให้ทั้งคนดูแล้วเต็มไปด้วยเสน่ห์
สำหรับความวุ่นวายภายนอกวัง นางไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พึมพำเสียงเบาว่า “พี่น้องทั้งหลาย เล่นดนตรีต่อไป ร่ายรำต่อไป”
หมู่มวลร้อยบุปผาหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ดนตรีเซียนดังขึ้นอีกครั้ง
นอกวัง จงฉือเห็นภาพนี้ ก็รูม่านตาทั้ง 2 ข้างหดเล็ก จากนั้นก็ถอยไป 2-3 ก้าว ไม่ขัดขวางอีกต่อไป
ส่วนเซียนหลิงหวง ในดวงตามีจิตสังหาร เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ลบวังโสมมนี่ออกไปจากสายตาของข้าเดี๋ยวนี้!”
คำพูดของนางเมื่อดังออกมา ขบวนเกียรติยศในชุดเกราะสีดำที่อยู่ข้างกายนาง แต่ละคนก็มีไอเย็นเยือกพวยพุ่งขึ้นมา ท่ามกลางรัศมีอำนาจที่พลุ่งพล่าน ก็พากันก้าวไปข้างหน้า
ไม่จำเป็นต้องลงมือ ไอเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา จากการก้าวไปของพวกเขา ก็ทำให้ทุกสิ่งรอบกายกลายเป็นน้ำแข็งในทันที และหลังจากแช่แข็งผนึกแล้ว ก็สลายกลายเป็นเศษธุลี
เดินไปข้างหน้า พร้อมแหลกสลาย
และรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางพิธีการ หรือจงฉือ หรือแม้แต่องครักษ์ของตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขตเอง…ล้วนไม่ได้ขัดขวางเลย
เพราะ…ทั้งวังเซียนแสงเรืองรอง ผู้ที่มีสิทธิ์รื้อวังบุปผานั้น เดิมทีมีเพียงผู้นำเซียนจี๋กวงเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ทั้ง 4 ของเขาก็ไม่มีสิทธิ์นี้
แต่ตอนนี้…ผู้ที่มีสิทธิ์นี้เพิ่มขึ้นอีก 1 คน
นั่นคือนายหญิงน้อยผู้ที่กำลังจะแต่งงานกับนายน้อย!
ฐานะของนาง ในเรื่องการรื้อวังบุปผานั้น กระทั่งว่าถูกต้องชอบธรรมยิ่งกว่าผู้นำเซียนเสียอีก รวมกับผู้นำเซียนก่อนหน้านี้ก็เคยกล่าวว่าจะรื้อวังบุปผาจริงๆ
ดังนั้นการกระทำของเซียนหลิงหวง จึงไม่มีใครมีสิทธิ์ขัดขวาง
จึงปล่อยให้ขบวนเกียรติยศของนางดำเนินต่อไป
เสียงกัมปนาทดังไม่ขาดสาย
วังบุปผาภายใต้การบุกของขบวนเกียรติยศ กลายเป็นเศษซากที่แตกสลาย เป็นเศษธุลีลอยละลิ่วเป็นชั้นๆ จากภายนอกสู่ภายใน
ส่วนเซียนหลิงหวง ก้าวเดินตามหลังมา สีหน้าที่เย็นชา
เมื่อเห็นดังนั้น จงฉือก็ทำได้เพียงถอนหายใจในใจ แอบคิดว่า ‘นายน้อย เรื่องนี้ข้าก็จนปัญญาแล้ว’
ขณะที่จงฉือกำลังรำพึงรำพัน ขบวนเกียรติยศที่อยู่ด้านหน้าก็ได้รุกเข้าไปในส่วนลึกของวังบุปผาแล้ว
ดังนั้น สระน้ำนั่น มวลดอกไม้นั่น และสาวงามจิ้งจอกผู้นั้น ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของผู้คนทั้งหลาย
และปรากฏในครรลองสายตาของเซียนหลิงหวงด้วย
สิ่งที่เห็นมีแต่ผ้าโปร่งบางสีสันสดใสมากมาย เรียกได้ว่าเป็นบ่อเหล้าป่าเนื้อ คลื่นความเย้ายวนพลุ่งพล่าน สรีระโค้งเว้ามากมายเรียวขางามสะดุดตา รูปแบบแตกต่างกันออกไป
มีทั้งความงดงามชวนให้หลงใหล ความเย้ายวนน่าพิศวง ความบริสุทธิ์น่ารัก ความงามสง่าแบบผู้ใหญ่ และความสดใสมีชีวิตชีวา
แม้กระทั่งต่างเผ่าก็มี…
เมื่อมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เซียนหลิงหวงก็กัดฟันแน่น กล่าวทีละคำๆ “เสียงดนตรีและคำพูดโสมม ทำลายจิตใจคนสกปรก ท่าทางยั่วยวน เสื่อมเสียศีลธรรม ไร้ยางอาย ต่ำช้าที่สุด!”
เหล่าบุปผาได้ยินดังนั้น ก็พากันจ้องมองอย่างโกรธเคือง
ส่วนสาวงามจิ้งจอกกลับสงบนิ่ง มืองามหยิบองุ่นที่อยู่ข้างๆ ใส่เข้าปากเล็กๆ ของนาง สายตาจับจ้องไปที่เซียนหลิงหวง หัวเราะเบาๆ ว่า “พี่สาวก็เป็นคนงามเช่นกันนะเจ้าคะ เพียงแต่น่าเสียดายที่โชคชะตากลั่นแกล้ง หากพี่สาวไม่ใช่ว่าเป็นบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้น เกรงว่าพี่สาวก็คงมีวาสนาได้เป็นพี่น้องกับพวกเรา ในวังบุปผาจะต้องมีดอกเชียนหนิวอย่างพี่สาวด้วย ที่คอยจูงวัวให้เจ้านาย เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรา”
สาวงามจิ้งจอกถอนหายใจเบาๆ ทำท่าทางเสียดายอย่างยิ่ง
เซียนหลิงหวงได้ยินดังนั้น ดวงตาก็วาววามดุดันขึ้นในทันทีที่ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นร่างที่นางสิงอยู่ หรือตัวนางเอง ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ประชดประชันเสียดสีเปรียบเปรย กระทั่งยังมีคำพูดที่สกปรกเช่นนี้มาก่อนเลย
ดอกเชียนหนิว ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ดอกเชียนหนิวอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น นางจึงจ้องมองสาวงามจิ้งจอก ในสมองมีคำพูดเหล่านั้นที่อริยะเซียนที่ 4 เคยกล่าวกับนางผุดขึ้น
จากนั้นก็กล่าวเสียงเย็นชาว่า “สถานที่ที่สกปรกและคนสกปรกเช่นนี้ จงขับไล่ออกไปจากวังเซียนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
