บทที่ 494 สวี่ชิงรับคำสั่ง ถืออำนาจดุจดั่งเจ้าวัง!
สวี่ชิงไม่สนใจเสียงร้องตื่นตกใจโหยหวนและคาดไม่ถึงนั่น ตอนนี้ภายใต้จิตใจที่กู่ก้อง วิหคทองบนท้องฟ้าส่งเสียงคำราม พุ่งมาอย่างรวดเร็วจากบนท้องฟ้า
ประชิดเข้าไปใกล้ทันที ครึ่งหนึ่งผสานมาในร่างสวี่ชิง อีกครึ่งหนึ่งลอยอยู่ข้างนอก สยายปีกขนาดถึงร้อยจั้ง ขนหางปลิวพริ้ว รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม
กลิ่นอายของสวี่ชิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในเสี้ยวขณะนี้ พลังแข็งแกร่งทรงอำนาจเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง
มองไกลๆ สวี่ชิงที่อยู่ภายใต้การวนเวียนของวิหคทอง ประดุจจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ปรากฏตัวมาบนโลกมนุษย์
พลังหนึ่งปราณเก้าวังแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ยิ่งมีระลอกคลื่นพลังกายเนื้อแผ่ซ่านมาบนร่างของเขา ทำใรู้สึกเหมือนกับผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดทำให้กำลังรบของสวี่ชิงถึงระดับสองปราณเก้าวัง
กำลังรบประเภทนี้อยู่บนตัวผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั่วทุกทิศเลื่อนลั่นกึกก้อง ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้เนื่องจากระลอกคลื่นของทั้งสองฝ่าย ก่อเป็นคลื่นลูกมหึมา แปรเปลี่ยนระลอกคลื่น เกิดเป็นวงแล้ววงเล่าไม่ขาดสาย และยิ่งแผ่หมอกพิษของสวี่ชิงไปไกล
ผู้บำเพ็ญที่หลบหนีไปพวกนั้นแม้จะออกไปจากบริเวณเขาประกายอรุณแล้วก็ยังไม่สามารถหลีกหนีการสังหารด้วยพิษได้
กวาดสายตามองไป พื้นดินล้วนเป็นน้ำสีดำหลังจากการสังหารด้วยพิษ ห่างออกไปไกลๆ ยังมีผู้บำเพ็ญร้องโหยหวนร่วงจากบนท้องฟ้าตกไปในหุบเหวสมุทร
โจรชั่วช้าที่เคยมีมากมายตอนนี้เหลือไม่ถึงสี่ส่วน แต่ละคนในใจ+ถูกความหวาดกลัวเข้าแทนที่
และอาวุธเวทบนเขาประกายอรุณตอนนี้ก็ฟื้นขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางการปะทุพลังไม่หยุด ฟ้าดินสั่นไหวอยู่ตลอด ผู้บำเพ็ญที่มาโจมตีต่างรู้…สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
การมาถึงของสวี่ชิงดูเหมือนมาคนเดียว แต่พลังสยบที่เกิดขึ้นจากการโจมตีสังหารผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นสองคน ก็สั่นคลอนจิตใจผู้คน
ขณะเดียวกันก็ต้องพูดเลยว่า พลังของพิษต้องห้ามถึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดในศึกครั้งนี้
แต่สวี่ชิงไม่ได้คลายความระมัดระวัง สีหน้าของเขาเย็นชา เงยหน้าจ้องมองเงาร่างสีดำที่มีปีกบนท้องฟ้า มือขวาคว้าเถาวัลย์บนท้องหนิงเหยียน เตรียมตัวให้พร้อมลงมือทุกเวลา
คนคนนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดธรรมดาๆ ร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดช่วงปลาย แผ่พลังแข็งแกร่งเป็นระลอกๆ และการลงมือลอบโจมตีเมื่อครู่ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกถึงอันตราย
อีกทั้งอีกฝ่ายเหมือนหุ่นเชิดเซียนของเผ่าเคียงเซียนมาก แต่เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างเล็กน้อย ไม่ได้มีสามเศียรหกกร
ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก ขณะสะบัดมือก็ใช้แผ่นหยกของเจ้าวังรับช่วงดูแลควบคุมอาวุธเวทบนเขาประกายอรุณพวกนั้น ทำให้พวกมันปรับเปลี่ยนทิศทาง จับเป้าหมายเงาบนท้องฟ้า
ในใจกลับประเมินความแตกต่างของสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาสังหารระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
อย่างไรยามที่ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณคนหนึ่งเมื่อมีกำลังรบสิบวังสวรรค์แล้ว นอกจากไม่มีพลังวิเศษจิตเทพและไม่สามารถเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญหนึ่งปราณเท่าไรแล้ว
พลังวิเศษเรื่องนี้สวี่ชิงมีพลังต้นกำเนิดเทพไปต่อกร
ด้านการสยบจากประสาทสัมผัสเทพ วิหคทองขั้นสามของเขาและพลังต้นกำเนิดเทพทำให้เขาสามารถต่อกรได้เช่นกัน
ส่วนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ความเร็วกายเนื้อของสวี่ชิงรวมกับปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ ในระยะห่างสั้นๆ ก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ดังนั้น เมื่อครู่เขาสังหารปราณก่อกำเนิดสี่แขนนั่น หมัดเดียวก็ทำลายเปลือกนอกพรสวรรค์ของอีกฝ่าย หมัดที่สองทำลายกายเนื้อและผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ภายใต้ฝ่ามือที่ซัดลงมาฝ่ามือหนึ่งผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนสุดท้ายก็ตัวระเบิด
แต่ว่าระดับปราณก่อกำเนิดกับระดับปราณก่อกำเนิดด้วยกันนั้นต่างออกไป
ก็เหมือนระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ บางคนระดับบริบูรณ์สูงสุดแล้วก็เพิ่งจะเป็นระดับหกวังสวรรค์ ส่วนบางคนกลับเป็นแปดวังสวรรค์ หากมีตะเกียงแห่งชีวิตขีดจำกัดสูงสุดสามารถไปได้ถึงสิบสามวังสวรรค์
สำหรับผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดทั่วไป หนึ่งปราณก็คือช่วงต้น สามปราณคือช่วงกลาง ห้าปราณคือช่วงปลาย สุดท้ายหกปราณคือบริบูรณ์
ผู้บำเพ็ญสี่แขนตนนั้นสามารถสะกดไว้ในกรมราชทัณฑ์ได้ ขีดจำกัดสูงสุดของพลังบำเพ็ญในอนาคตที่จะไปถึงได้คงไม่ใช่แค่หกปราณ แต่ไม่มีประโยชน์ เขาไม่มีเวลาให้ได้พัฒนาต่อแล้ว
ดังนั้น สังหารผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหกแขนที่มีกำลังรบสองปราณ สวี่ชิงดูเหมือนสู้ข้ามระดับ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น พลังแท้จริงของเขาสามารถสะกดได้โดยสิ้นเชิง
ส่วนผู้บำเพ็ญช่วงกลางทั่วๆ ไป หากสวี่ชิงคิดจะฆ่าให้ตาย ในอดีตนั้นยากลำบาก
เหมือนในตอนที่เผชิญหน้ากับฉู่เทียนฉวินที่เมื่อได้รับบาดเจ็บแล้วพอจะนับได้ว่าเหลือเพียงสามปราณ สวี่ชิงเสี่ยงอันตรายเกือบตาย แม้จะชนะแต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ความรุนแรงของบาดแผลอยู่ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่ใช่หลิงเอ๋อร์ หากไม่ใช่ผลึกวารีสีม่วง เขาคงตายไปแล้ว
แต่ตอนนี้ร่างกายที่ถูกนิ้วเทพเจ้าเปลี่ยนแปลง ได้ชดเชยข้อบกพร่องนี้
ต่อให้เขาไม่สามารถสำแดงร่างเทพที่แท้จริงได้ พลังและความเร็วยกระดับขึ้นมาจากระดับกายเนื้อแต่เดิมเพียงสามเท่า แต่จะอย่างไรก็ทำให้เขาได้รับกำลังรบระดับหนึ่งปราณ นี่คือกายเนื้อระดับปราณก่อกำเนิด
และสิ่งที่เขาแข็งแกร่งที่สุดคือการป้องกัน!
ในกายเนื้อร่างนี้เนื่องจากมีเส้นสีทองนับไม่ถ้วน ดังนั้นพลังการป้องกันของร่างสวี่ชิงตอนนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การใช้ร่วมกัน เขาไม่ใช้วิชาเทพก็สามารถสู้กับผู้บำเพ็ญที่มีกำลังรบช่วงกลางสามปราณได้ สำแดงวิชาเทพสวี่ชิงสามารถสังหารผู้บำเพ็ญที่มีกำลังรบช่วงกลางสี่ปราณได้ อีกทั้งตัวเองยังปลอดภัยไร้บาดแผลอีกด้วย
หากเป็นห้าปราณ สวี่ชิงปะทุกำลังรบทั้งหมดก็สามารถสู้ได้ แพ้ชนะไม่รู้ แต่มีอัตราสูงมากว่าเขาทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ และอีกฝ่ายก็ทำลายกายเนื้อของเขาไม่ได้เช่นกัน
‘ตอนนี้การโจมตีสังหารกายเนื้อของข้าเทียบได้กับหนึ่งปราณ วิหคทองหนึ่งปราณ เก้าวังสววรค์ของตัวเองรวมกับเคล็ดวิชาผสานเงาก็เป็นหนึ่งปราณ ซึ่งก็จะเป็นกำลังรบสามปราณ รวมกับวิชาเทพเจ้าของข้า สามารถสู้กับระดับสี่ปราณได้!
“และสิ่งที่ข้าแข็งแกร่งที่สุดคือการป้องกันกายเนื้อ ร่างนี้ในระดับขั้นปราณก่อกำเนิดไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้’
ผ่านการลงมือก่อนหน้านี้ ในใจสวี่ชิงวิเคราะห์ขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ประกายเย็นเยือกในดวงตาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเงาร่างสีดำบนท้องฟ้า น่าจะมีกำลังรบประมาณห้าปราณ
และหญิงกลางคนคนนั้นตอนนี้ก็ลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน มาถึงข้างกายต่างเผ่าปีกดำตนนั้น สีหน้าฉายแววเคารพยำเกรง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“พี่ใหญ่ พลทหารคนนี้มีปัญหา เผ่าต่างๆ ที่สนับสนุนผลักดันเรื่องนี้จะลงมือเมื่อใด”
ขณะพูดนางก็กระอักเลือดสดๆ สีดำออกมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างมีหลายส่วนที่เกิดการเน่าเปื่อย แม้นางจะสะกดเอาไว้สุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้มากนัก
และจุดจบน่าสมเพชเวทนาของคนที่โดนพิษเหล่านั้นก็ทำให้ใจของนางหวาดกลัว เกิดความรู้สึกอยากถอย
“น่าสนใจ” ต่างเผ่าปีกดำที่อยู่กลางอากาศ มองสวี่ชิงอย่างเยือกเย็นผาดหนึ่ง
เขาสังเกตได้ถึงการจับเป้าหมายของของวิเศษเวทเขาประกายอรุณ และมองเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดทั้งหลายกระเจิดกระเจิง ก็รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
นอกจากนี้ทางสวี่ชิงทางนั้นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของสวี่ชิงไม่ธรรมดา อีกทั้งผู้บำเพ็ญที่เหมือนอาวุธคนนั้นในมือของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นกัน
แล้วยังมีภูเขารูปร่างมนุษย์ที่อยู่บนท้องฟ้า พลังอำนาจสยบของภูเขาลูกนี้แข็งแกร่งมาก ทำให้ในใจของเขาเกิดความขยาด
ส่วนอสูรสมุทรบรรพกาลที่จ้องตนเขม็งมาจากในเมฆหมอกก็ทำให้เขารับมือได้ค่อนข้างยาก สุดท้ายเขากวาดตามองไปยังหมอกพิษที่ตลบอวลอยู่ข้างล่าง รูม่านตาหดเล็กลงเล็กน้อย
“วิชาแปลกประหลาดเช่นนี้…อีกทั้งแสงประกายอรุณของคนผู้นี้ก็จัดการยากเช่นกัน นอกจากนี้ ต่างเผ่าที่ซ่อนตัวเหล่านั้น ก่อนที่จะมั่นใจว่าสนามรบตะวันตกและเหนือแตกพ่าย พวกเขาก็แค่ซ่อนอยู่ในที่ลับคอยให้การสนับสนุนเท่านั้น พวกหนูสกปรกไม่กล้าเผยตัวในที่แจ้ง ตอนนี้…”
ทุกอย่างทำให้ความขยาดในใจของต่างเผ่าปีกดำตนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหลังจากมองสวี่ชิงอย่างเคร่งขรึมผาดหนึ่ง เขาก็ยกมือคว้าหญิงวัยกลางคนที่พิษกำเริบใกล้จะร่วงลงไปเต็มทีเอาไว้ ร่างพลันถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว บินไปในท้องฟ้าอย่างเร็วรี่ แปรเปลี่ยนเป็นจุดดำ เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาจากไปไกลทันที
การจากไปของเขาก็เป็นจุดสิ้นสุดของการล้อมโจมตีเขาประกายอรุณครั้งนี้
สวี่ชิงไม่ได้ไล่โจมตีต่างเผ่าปีกดำไปจนสุดขอบฟ้า ร่างเขาเพียงไหววูบก็หิ้วหนิงเหยียนสังหารผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่หนีกระจัดกระจายรอบๆ เขารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ลงมืออย่างโหดเหี้ยม เลือดค่อยๆ ไหลกลายเป็นแม่น้ำ เสียงโหยหวนน่าสังเวชน้อยลงเรื่อยๆ
บรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงาก็แผ่ขยายไล่โจมตีไปเช่นกัน อสูรสมุทรบรรพกาลดำดิ่งลงไป กลืนกินทั้งแปดทิศ
จวบจนเมื่อผู้บำเพ็ญที่สามารถมองเห็นได้ถูกสวี่ชิงฆ่าไปหมด เขาถึงได้เก็บทุกอย่าง เก็บหมอกพิษที่ตลบอวลอยู่ที่นี่กลับมา แล้วจึงสลายแสงประกายอรุณที่ปกป้องผู้ครองกระบี่หลายสิบคนไป
ผู้ครองกระบี่เหล่านี้อาการบาดเจ็บของทุกคนไม่เบาเลย แต่ในดวงตาตอนนี้ล้วนแฝงด้วยความตื่นตะลึงฮึกเหิมและความยากจะเชื่อ สายตาที่มองมาทางสวี่ชิงต่างเต็มไปด้วยความยำเกรงและความคลั่งไคล้ ต่างพากันก้าวขึ้นไปโค้งคารวะ
“คารวะอาลักษณ์สวี่!”
ซุนไห่ ชายชราที่อยู่ในนั้นรีบก้าวขึ้นไป โค้งคารวะสวี่ชิงอย่างเคร่งขรึม
“ข้าน้อยซุนไห่คารวะอาลักษณ์สวี่!”
จากเสียงแตกตื่นฮือฮาของนักโทษพวกนั้นก่อนหน้านี้ เขาก็มั่นใจในฐานะของสวี่ชิง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้สวี่ชิงทำตามคำสั่งของเจ้าวัง ประกาศโองการหลายฉบับทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร
ในเสี้ยวขณะนั้น ชื่อของเขาก็เลื่องลือไปทั่วทั้งโถงครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว
และตำแหน่งอาลักษณ์ย่อมสูงกว่าผู้ครองกระบี่ทั่วไป ดังนั้นซุนไห่เรียกตัวเองว่าข้าน้อยนั้นไม่ผิด
ตอนนี้ขณะที่ทำความเคารพ ในใจของซุนไห่ก็เกิดคลื่นยักษ์ซัดอยู่ตลอดเวลา เขาในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดที่เพิ่งทะลวงขั้นได้ ย่อมรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของศัตรูที่มารุกรานครั้งนี้ ลำพังเพียงระดับปราณก่อกำเนิดต่างเผ่าสามตนนั้นที่ปรากฏให้เห็นซึ่งหน้า ก็ทำให้พวกเขาไม่อาจต้านทานได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งห้าปราณตนนั้นที่ปรากกฏขึ้นในตอนท้าย
พลังบำเพ็ญระดับห้าปราณ ในผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดทั่วไปก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดแล้ว กระทั่งว่าหากอยู่ในขั้วอำนาจสำนักใดก็ตาม ล้วนเป็นกำลังสำคัญอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียเทียบกับอัจฉริยะโดดเด่นแล้ว ผู้บำเพ็ญทั่วไปที่เป็นระดับไฟชีวิตสามดวงหกวังสวรรค์ทะลวงขอบเขตถึงจะมีจำนวนมากที่สุด พวกเขาเมื่อทะลวงขั้นแล้วขีดจำกัดสูงสุดคือหกปราณ ดังนั้นห้าปราณทุกคนล้วนจะดูถูกไม่ได้
แต่สวี่ชิงทางนี้ไม่ใช่แค่สังหารช่วงกลางสองตน ยิ่งทำให้ผู้บำเพ็ญห้าปราณตนนั้นเลือกที่จะถอยหนี กำลังรบเช่นนี้แสดงออกมาจากระดับแก่นลมปราณคนใดก็ตามยิ่งเป็นที่น่าตื่นตะลึงทั้งนั้น
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้หากไม่ใช่สวี่ชิงมาเขาประกายอรุณเพื่อตรวจสอบ เกรงว่าเขาประกายอรุณตอนนี้คงถล่มไปแล้ว และเรื่องนี้ดูเหมือนบังเอิญ แต่ความจริงแล้ว ทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร จำนวนครั้งของเรื่องประเภทนี้ที่เกิดขึ้นก็มากขึ้น
“ข่าวสารข้อมูลของข้าทางนี้ไม่ได้แม่นยำรวดเร็วขนาดนั้น รู้เพียงโถงครองกระบี่สามมณฑลที่เหลือ หลังจากที่สนามศึกทางตะวันตกและเหนือเพลี้ยงพล้ำ ก็ถูกเผ่าที่มีใจวางแผนคิดเป็นอื่นบางเผ่าแอบให้การสนับสนุนทำลายอาวุธ ผลักดันผู้บำเพ็ญไร้สังกัดโจมตียึดครอง แต่ดีที่สำนักเผ่ามนุษย์ไปออกรบ จึงไม่ได้รับผลกระทบ”
ซุนไห่เอ่ยอย่างขมขื่น
“จำนวนที่แท้จริงเกรงว่าคงจะสาหัสมากกว่านี้ แต่ว่าพวกมันก็กล้าแค่ซ่อนอยู่ในที่ลับเท่านั้น สนามศึกทางตะวันตกและทางเหนือเหนือพวกเราเผ่ามนุษย์ยืนหยัดรักษาเอาไว้ไม่แตกได้หนึ่งวัน พวกมันก็ไม่กล้าโจมตีโถงครองกระบี่ซึ่งหน้าหนึ่งวัน อีกทั้งเป้าหมายของต่างเผ่าพวกนี้ก็เดาไม่ยาก นี่ก็เพื่อเตรียมสิ่งแสดงความจงรักภักดีเอาไว้หลังจากที่สนามศึกแตกพ่าย เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์รุกรานเข้ามา
“หวังเพียงหลังจากที่เผ่ามนุษย์เราผ่านพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ ก็สังหารต่างเผ่าที่จิตใจชั่วช้าพวกนี้ให้สิ้นซาก!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสาง ความมืดถูกอาทิตย์รุ่งอรุณขับไล่จากที่ไกลๆ แสงอาทิตย์หมื่นจั้งสาดส่องมาบนเขาประกายอรุณ ทำให้แสงพรายรุ้งยามเช้าของภูเขาลูกนี้สาดทอ ระยิบระยับพราวพร่าง
จ้องมองเขาประกายอรุณหลังการต่อสู้ แม้ที่นี่จะเละเทะระเนระนาดไปหมด แต่สภาพความเสียหายไม่อาจบดบังความงดงาม ภายใต้แสงรุ้งพราย ทุกอย่างยังคงสวยงาม
“ทุกอย่างจะดีขึ้น” สวี่ชิงที่ถูกแสงพรายรุ้งส่องสะท้อน ในแสงอาทิตย์นั่น เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
สามวันหลังจากนั้น หลังจากที่ซ่อมค่ายกลทำให้เปิดมันขึ้นใหม่อีกครั้ง สวี่ชิงก็ไปจากเขาประกายอรุณ ตอนมาเขามาคนเดียว ตอนกลับมีหนิงเหยียนอยู่ข้างกาย
เหตุที่จากไปเร็วแบบนี้ นอกจากจะเพราะสวี่ชิงตรวจสอบเบาะแสที่ต้องการได้แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ…ในวันที่สามเขาได้รับโองการจากเจ้าวัง
“สวี่ชิง การตรวจสอบจะได้ผลหรือไม่เจ้าวางเอาไว้ก่อน มีเรื่องเกี่ยวกับทางสนามศึก เจ้ารีบกลับเขตปกครองโดยเร็ว!
“แนวรบตะวันตกและเหนือทั้งสองที่ต้องการกำลังทหาร ต้องการทรัพยากร ข้าอยู่แนวหน้าไม่อาจกลับไปได้มอบอำนาจให้เจ้าถืออำนาจแทนข้า ร่วมกับปลัดเขตปกครอง จัดการเรื่องนี้ที่เขตปกครองหลวง
“ป้ายคำสั่งของเขา ตอนนี้เจ้ามีอำนาจเต็ม!”
เสียงของเจ้าวังฉายความเหนื่อยล้าอยู่ลึกๆ ในเสี้ยวขณะที่ดังออกมา แสงสีทองทางหนึ่งก็พุ่งลงมาจากตาข่ายบนท้องฟ้า ตรงดิ่งมาที่ป้ายของเจ้าวังที่อยู่บนตัวสวี่ชิง ท่ามกลางเสียงกร๊อบๆ เป็นระลอกๆ ที่ดังสะท้อน ป้ายคำสั่งป้ายนี้ก็เปิดความสามารถออกทั้งหมด
“น้อมรับคำบัญชา!”
สวี่ชิงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม เขาไม่ได้ถามว่าทำไม เขารู้ว่าสนามรบตอนนี้อันตราย และรู้ถึงความสำคัญและเร่งด่วนของโองการฉบับนี้
เขายิ่งรู้ดีว่าสงครามจะต้องมาถึงขั้นวิกฤตแล้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเจ้าวังคงไม่จัดการเช่นนี้ น่าจะโยกย้ายกำลังทหารและมอบทรัพยากรได้อย่างสุขุมมากกว่านี้
มีเพียงเร่งด่วนมากๆ เท่านั้นถึงให้เขาหยุดการตรวจสอบ ไปปฏิบัติภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า
‘เจ้าวังไม่เชื่อคนนอกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นโหวเหยาที่เขตสงครามทางเหนือ หรือเจ้าวังพิธีการและเจ้าวังอาญาทั้งสอง หรือจะเป็นปลัดเขตปกครองที่วางไว้ให้ดูแลแนวหลัง เขาล้วนไม่เชื่อใจทั้งนั้น ดังนั้น การส่งทรัพยากรและกำลังทหารที่เกี่ยวพันกับแนวหน้าแบบนี้ เขาถึงได้ให้ข้าไปร่วมด้วย
‘ดูเหมือนเข้าไปมีส่วนร่วมแต่ความจริงคือตรวจสอบ นอกจากนี้ วิธีการของเจ้าวังน่าจะลงมือหลายเส้นทาง จะต้องมีผู้ครองกระบี่คนอื่นปฏิบัติหน้าที่อยู่ฝ่ายต่างๆ เช่นกัน ข้าทางนี้อาจจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้น’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ในใจกังวลต่อสถานการณ์ในสนามรบ จึงพาหนิงเหยียนรีบร้อนจากไปจากเขาประกายอรุณ
ดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาเสียเปล่า ในสามวันก่อนที่เจ้าวังจะส่งโองการมา หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับซุนไห่ ก็ได้สอบถามถึงการเกิดขึ้นของแสงประกายอรุณทุกครั้งว่าจะเกิดละอองเจ็ดสีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจำนวนหนึ่งขึ้นอย่างช้าๆ และคงอยู่ในบริเวณที่ปรากฏ
ละอองพวกนี้ปรากฏขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานถึงสิบปี ทีแรกจะมีแสงพรายรุ้งรางเลือนแฝงอยู่ แต่แสงนี้ไม่อาจนำมาใช้ได้ และไม่อาจเก็บได้เช่นกัน อีกทั้ง จากเวลาที่หมุนผ่านก็จะค่อยๆ สลายไป
ปกติแล้วประมาณสิบปีก็จะหายไปโดยสมบูรณ์ เท่ากับกับเวลาที่ละอองปรากฏคงอยู่ และสุดท้ายละอองที่ไม่ได้มีแสงประกายอรุณ ก็จะสิ้นสุดปรากฏการณ์นี้ลง
รายละเอียดนี้เป็นประโยชน์กับเบาะแสที่สวี่ชิงหามาได้
เบาะแสที่เขาสืบเจอไม่ได้มาจากรายละเอียดปลายทางของแสงประกายอรุณเจ็ดร้อยกว่าเส้นในบันทึก แต่มาจากนิ้วเทพเจ้า
สวี่ชิงรู้สึกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถหาแสงประกายอรุณที่ไม่ได้ถูกจดบันทึกเจอ เช่นนั้น คนที่ตั้งใจก็จะต้องทำได้ถึงจุดนี้เช่นกัน
เขาจึงลองปลุกนิ้วที่หลับใหลในเขตติงหนึ่งสามสองขึ้นมา หลังจากที่ในที่สุดก็ปลุกประสาทสัมผัสรับรู้ของมันให้ตื่นขึ้นมาได้เล็กน้อย สวี่ชิงก็พูดคุยอย่างอ่อนโยนทันที ภายใต้คำสัญญาต่างๆ นานา ก็ถามถึงตำแหน่งที่อีกฝ่ายหาแสงประกายอรุณได้
ขั้นตอนการพูดคุยไม่ได้ราบรื่นนัก อีกฝ่ายขี้ลืมรุนแรงนัก
ดังนั้นใช้เวลาถึงสามวัน สวี่ชิงไปค้นหาตามสถานที่มากมาย ในที่สุดก็หาสถานที่ที่นิ้วพบแสงประกายอรุณเจอ ที่นั่นเป็นรอยแยกใต้แผ่นดินที่ห่างไกลทางหนึ่ง
ในรอยแยกสวี่ชิงเห็นหุ่นเชิดที่ตายไปไม่นานตัวหนึ่ง บนนั้นยังมีกลิ่นอายของนิ้วเทพเจ้าหลงเหลือเล็กน้อย สภาพของมันแหลกละเอียดโดยสมบูรณ์ มองเพียงลักษณะคร่าวๆ ออก มองที่มาดั้งเดิมของมันไม่ออก
ขณะเดียวกันที่นี่ยังมีละอองเจ็ดสีที่แฝงแสงประกายอรุณเลือนรางอยู่จำนวนหนึ่งไว้ด้วย อีกทั้งแสงเหล่านั้นกำลังสลายไปนิดๆ สวี่ชิงวิเคราะห์ครู่หนึ่ง ประมาณสิบปีก็จะสลายไปหมดจริงๆ
ละอองพวกนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในตอนที่แสงประกายอรุณเกิดขึ้น ทุกอย่างนี้บ่งบอกว่าแสงประกายอรุณของเขาเกิดขึ้นที่นี่ และจากการที่สวี่ชิงก็ค้นหาที่นี่ เขาก็ค้นพบด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านว่า ละอองที่นี่…เหมือนว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นจากแสงทางหนึ่ง
ในนี้มีจำนวนหนึ่งที่มีไม่มาก แสงประกายอรุณที่แฝงอยู่เลือนรางยิ่งกว่า ท่าทางเหมือนว่าอีกปีหรือสองปีก็จะสลายหายไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะบนหุ่นเชิดนั่น มีละอองแบบนี้มากที่สุด
เห็นได้ชัดว่าหุ่นตัวนี้มีคนจัดวางไว้ที่นี่ ใช้สำหรับลบร่องรอยการเก็บละออง
วิเคราะห์เช่นนี้ก็รู้ได้ไม่ยาก น่าจะเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ที่นี่มีแสงพรายรุ้งทางหนึ่งปรากฏขึ้น!
แต่ก็เหมือนของสวี่ชิงทางนี้ โถงโครงกระบี่ยังไม่ได้ทำการบันทึกใดๆ เพิ่งปรากฏออกมายังไม่ทันลอยออกไป ก็ถูกคนเก็บเอาไปในทันที
ข้อค้นพบนี้ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ว่าการคาดเดาเรื่องลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิตของท่านเจ้าวังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าถูกต้อง
หรือก็คือการตายของเจ้าเขตปกครอง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเกี่ยวพันกับลูกกลอนนี้
สวี่ชิงและหนิงเหยียนไปจากเขาประกายอรุณพร้อมด้วยเบาะแสนี้ หุ่นเชิดแหลกเละตัวนั้นสวี่ชิงก็เก็บไปเช่นกัน
เนื่องจากที่นี่ไม่สามารถส่งข้ามได้ เขาประกายอรุณก็เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงทะยานไปตลอดทาง เร่งเดินทางไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง
ระหว่างทางหนิงเหนียนอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรหลายครั้ง แต่เห็นสวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด เขาที่อยู่ในความหวาดกลัวจึงไม่กล้าถาม แต่ว่าความซับซ้อนในใจ ต่อให้จนถึงตอนนี้ก็ยังกระหน่ำซัดโหม
ความจริงที่ต้นสิบลำไส้ที่นั่นเขาก็สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลได้แล้ว ในใจสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีการคาดเดาเลาๆ ทว่าการคาดเดาเช่นนี้เหลือเชื่อเกินไป ดังนั้นหลังจากเรื่องนั้นก็เกิดความลังเล ทว่าฝ่ามือที่ซัดลงมาอย่างคุ้นเคยของสวี่ชิงฝ่ามือนั้นทำให้เขารู้สึกว่าถูกซัดจนวิญญาณกระเด็นออกมาแล้ว
“คนที่กัดข้าจะต้องเป็นเฉินเอ้อร์หนิวอย่างแน่นอน เจ้านั่นเป็นสุนัขบ้าหรืออย่างไร ไม่ใช่แค่กัดข้า สุดท้ายยังไปกัดวิถีสวรรค์อีกด้วย สมควรแล้วที่ระเบิดจนเหลือแต่หัว!”
หนิงเหยียนในใจโกรธเคือง แต่กลับจนปัญญา เขารู้จักเถาวัลย์เส้นนั้นบนท้องของตัวเองดี และรู้ดีว่าวัตถุนี้จัดการยากมาก
นอกจากนี้ สามวันที่เขาประกายอรุณเขาได้พูดคุยกับผู้ครองกระบี่ ก็ได้รู้ถึงการตายของเจ้าเขตปกครอง การเข้ารุกรานของพวกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ความตื่นตะลึงในใจรุนแรงมาก เทียบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว เขาพลันรู้สึกว่าเรื่องของตัวเองแค่นี้เหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องอะไร
เวลาก็ผ่านไปสามวันเช่นนี้เอง
สามวันนี้ความเร็วของสวี่ชิงปะทุขึ้นทุกด้าน ในที่สุดก็พาหนิงเหยียนทะลุผ่ามณฑลประกายอรุณและพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงเขตปกครอง ก้าวเข้ามาในพื้นที่เมืองหลวงเขตปกครอง
ที่นี่สวี่ชิงไม่จำเป็นต้องปกปิดร่องรอยต่อไป เขาหาค่ายกลส่งข้ามแห่งหนึ่ง ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดกลับมายังเมืองหลวงเขตปกครอง
ในตอนที่เขาจากไป คนในเมืองหลวงเขตปกครองจิตใจหวาดหวั่น ความปั่นป่วนวุ่นวายแอบซ่อน
ครั้งนี้กลับมาสวี่ชิงค้นพบจุดที่แตกต่างออกไปได้ทันที แม้แนวรบทางตะวันตกและเหนือจะฉุกเฉินทุกด้าน สถานการณ์อันตราย แนวป้องกันเขตปกครองผนึกสมุทรพร้อมจะแตกพ่ายทุกเวลา
แต่เผ่ามนุษย์ในเมืองหลวงเขตปกครองเห็นได้ชัดว่าด้านสถานการณ์ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก แม้จะยังแฝงไว้ด้วยความกลัวต่ออนาคต แต่กลับมีความหวังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
กระทั่งว่าร้านค้าก็แทบจะเป็นปกติ ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างน้อยภายนอกก็มองไม่เห็นความความเสื่อมโทรมที่มาพร้อมกับสงคราม
ไปจากค่ายกลส่งข้าม สวี่ชิงที่เดินอยู่บนถนน ผ่านจากการพูดคุยของผู้คนรอบๆ และเสียงตะโกนจากผู้บำเพ็ญของเขตปกครองที่ในช่วงทุกระยะหนึ่ง ก็พอจะรู้ถึงเหตุผล
“ทุกคนอย่าได้แตกตื่น อย่าได้แย่งชิง ใต้เท้าปลัดเขตปกครองบอกแล้วว่า วังครองกระบี่และขั้วอำนาจสำนักทั้งหมดของเผ่ามนุษย์ต่างอยู่ที่แนวหน้า กำลังปกป้องบ้านเมือง ปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทรของเรา
“อีกทั้งใต้เท้าปลัดเขตปกครองยังบอกอย่างแน่ชัดว่า กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์กำลังเดินทางมา อีกไม่นานอันตรายก็จะได้รับการควบคุมแก้ไข ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติ
“ในระหว่างนี้ การก่อความวุ่นวายใดๆ หรือการขึ้นราคาของใดๆ ล้วนจะได้รับโทษอย่างหนัก!
“อย่าได้ตื่นกลัว ฟ้าดินจะไม่เปลี่ยนแปลง และจะไม่เกิดความวุ่นวาย หลายวันนี้พวกต่างเผ่าที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้ถูกใต้เท้าปลัดเขตปกครองสะกดควบคุมไปแล้วหรอกหรือ อีกทั้งใต้เท้าก็บอกแล้วว่าท่านเจ้าวังอยู่แนวหน้าปกป้องคุ้มครองพวกเรา พวกเราจะสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนภายในเพิ่มไม่ได้”
จากการเคลื่อนไปข้างหน้า จิตใจของสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่น ช่วงที่ปลัดเขตปกครองที่อยู่ดูแลช่วงนี้ เห็นได้ชัดว่าทำอะไรไปมากมาย ส่วนหนิงเหยียนที่อยู่ข้างหลังสวี่ชิงตอนนี้มองรอบๆ พลางฟังไปด้วย จิตใจของเขาก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน
แทบจะไม่ทันถึงหนึ่งก้านธูปที่สวี่ชิงกลับมา เขาเพิ่งมาถึงวังครองกระบี่ ก็ได้รับข้อความถ่ายทอดเสียงจากปลัดเขตปกครอง
“สวี่ชิง? ข้าได้รับโองการจากท่านเจ้าวัง ให้เจ้ากลับมาจากสนามรบเพื่อจัดการธุระของกองทัพ เจ้ามาหาข้าที่นี่ก่อน”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้ว่าสถานการณ์วิกฤต ดังนั้นหลังจากที่จัดการให้หนิงเหยียนไปอยู่กับผู้ครองกระบี่ที่อยู่ดูแลแนวหลังวังครองกระบี่แล้วโยกมาที่กรมอาลักษณ์ของตัวเองแล้ว เขาก็รีบมายังจวนปลัดเขตปกครอง
นอกจวนปลัดเขตปกครอง ผู้บำเพ็ญของเขตปกครองมากมาย เดินขวักไขว่ไปมา ขณะที่ประกาศกฎอัยการศึก ปลัดเขตปกครองก็ได้ประกาศภารกิจมากมายลงมา ให้ผู้บำเพ็ญเขตปกครองไปจัดการ
การมาถึงของสวี่ชิงมีคนมารายงานในทันที ไม่นานนักเขาก็เห็นปลัดเขตปกครองที่อยู่ในจวน
อีกฝ่ายดูเหนื่อยล้าอ่อนโรยกว่าตอนที่เขาจากไปมาก ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด
ตอนนี้กำลังรับยาลูกกลอนมาจากมือของบ่าวชราข้างกาย หลังจากมองผาดหนึ่งก็วางเอาไว้ข้างๆ ไม่ได้กินลงไปในทันที
ปกติแล้ว พลังบำเพ็ญถึงระดับนี้ยากที่จะเกิดสภาวะเหนื่อยล้าเช่นนี้ นอกเสียจากจะเกิดความกดดันในจิตใจ พลังบำเพ็ญล้วนไม่มีผล จึงทำให้คนคนหนึ่งอ่อนล้าได้ถึงเพียงนี้
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครองช่วงนี้บ่าทั้งสองแบกไว้ซึ่งภารกิจของทั้งเขตปกครอง ภายในต้องทำให้สุขสงบมั่นคง ภายนอกต้องรักษาสมดุล ภายใต้การที่มีศึกทั้งภายในภายนอกเช่นนี้ความกดดันสูงมาก กระทั่งว่าบาดแผลเก่าที่วิญญาณเทพก็เกิดสัญญาณกำเริบ แต่ยาก็จะกินมากไม่ได้…เฮ้อ”
บ่าวชราข้างกายปลัดเขตปกครองหลังจากเห็นสวี่ชิงก็ถอนหายใจเบาๆ
“อย่าได้พูดเหลวไหล ข้าไม่กินก็เพราะยากินมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อาการบาดเจ็บของข้าข้ารู้ดี ไม่เป็นไร” ปลัดเขตปกครองขมวดคิ้ว ตำหนิออกมา แล้วพูดกับสวี่ชิง
“สวี่ชิง ช่วงนี้ข้าได้รับเรื่องด่วนของโถงครองกระบี่จากหลายมณฑล มีห้ามณฑลแล้วที่โถงครองกระบี่ที่ภายใต้การผลักดันจากเผ่าใหญ่ๆ บางเผ่าก็ถูกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเข้ายึดครอง เจ้าวังพูดถูกต้อง เผ่าใหญ่พวกนี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง!
“ข้าให้เจ้ายืมผู้บำเพ็ญเขตปกครองได้ ร่วมกันมุ่งหน้าไปช่วยเหลือ”
ปลัดเขตปกครองมองไปทางสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ข้าได้รับโองการจากท่านเจ้าวัง แนวหน้าอเนจอนาถ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ต้องการกำลังทหารและทรัพยากรมหาศาล ข้าจะหาวิธี หากเจ้ามีวิธีอะไรก็มาบอกกับข้าได้ ข้าจัดการเอง”
สวี่ชิงประสานหมัดโค้งคารวะ เขารู้ดีว่าภาระหน้าที่ของอีกฝ่ายหนักมาก ในเมื่อแนวหลังทั้งหมดล้วนอยู่บนร่างของเขา จะรับประกันให้แนวหลังไม่ปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงสงครามได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ขอบคุณใต้เท้าปลัดเขตปกครองมากขอรับ ข้าน้อยเตรียมสำรวจความต้องการด้านทรัพยากร ซื้อจากต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทร ซื้อตามผลสำรวจ ขอปลัดเขตปกครองอนุมัติ”
ปลัดเขตปกครองพยักหน้า
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ หากบังคับขู่เข็ญนั้นยากมากอีกทั้งยังสิ้นเปลืองเวลา ใช้วิธีการซื้อละมุนละม่อมกว่ามาก เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าการเงินของเมืองหลวงเขตปกครองจะฝืดเคือง แต่กระเบียดกระเสียรก็ยังพอมี”
สวี่ชิงเอ่ยขอบคุณ ไปจากจวนปลัดเขตปกครอง ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าใดๆ หลังจากกลับมาถึงกรมอาลักษณ์แล้ว เขาก็รีบสั่งการลงไป สำรวจความต้องการทรัพยากรของทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร นอกจากนั้นยังส่งคนมุ่งหน้าไปยังเผ่าเคียงเซียนที่ปิดตัวไม่ออกมาเพื่อหารือเรื่องซื้อขายทรัพยากร
จากคำสั่งแต่ละคำสั่งๆ ที่ถ่ายทอดลงไป ผู้ครองกระบี่หลายร้อยคนที่อยู่ดูแลวังครองกระบี่ก็รับคำสั่งทันที
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เจ้าวังยังอยู่ สวี่ชิงก็จัดการงาน ออกคำสั่งแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ผู้ครองกระบี่ที่อยู่ดูแลแนวหลังต่างแยกย้ายไปปฏิบัติงาน
แต่ในใจของสวี่ชิงเป็นกังวล เขารู้ว่าพลังบำเพ็ญของตัวเองไม่พอที่จะค้ำยันทำภารกิจนี้สำเร็จ โดยเฉพาะการเดินทางไปเขาประกายอรุณครั้งนี้ เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงจิตมุ่งร้ายที่ซ่อนเร้นของต่างเผ่าพวกนั้น
เขารู้ว่าต่อให้เป็นการซื้อทรัพยากรก็คงจะเจออุปสรรคบางอย่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมอบกำลังทหารให้ทางสนามรบเลย
‘หากอยากทำภารกิจที่เจ้าวังมอบหมายให้สำเร็จ มอบความช่วยเหลือให้กับแนวหน้าที่วิกฤต…ข้าต้องการกำลังรบที่แข็งแกร่ง ทรงอำนาจ ทางปลัดเขตปกครองไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด!’ สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยืนอยู่ในตำหนักอาลักษณ์ มองไปทางท้องฟ้าข้างนอก
ตอนนี้โลกข้างนอกเป็นเวลากลางคืน เมฆดำลอยอวล ไม่มีสายฟ้า แต่ฝนกลับค่อยๆ ร่วงลงมา สาดไปบนพื้นหินนอกตำหนัก
ไอเย็นเยือกมาตามการซัดสาดของน้ำฝน หอบม้วนขึ้นมาจากพื้นดิน แผ่ออกไปข้างนอก พัดมาที่ขาทั้งสองข้างของสวี่ชิง
‘อาจารย์กับท่านบรรพจารย์ แล้วก็จื่อเสวียนทางนั้น…พวกเขาล้วนกำลังต่อกรกับแดนต้องห้ามมรณะ ไม่มีเวลามาสนใจ
‘ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ตอนนี้ไม่มีข่าวคราว’
สวี่ชิงครุ่นคิด สุดท้ายก็เงยหน้ามองไปทางนอกเขตปกครองใกล้ทะเลทราย ในสมองของเขามีภาพเงานกยักษ์สามหัวผุดขึ้นมา
‘นกยักษ์ชิงฉิน!’ ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายออกมา
สำหรับความทรงจำต่อชิงฉิน สวี่ชิงหยุดไว้ที่ตอนมาเมืองหลวงเขตปกครองครั้งแรก อีกฝ่ายปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ปากคาบหนิงเหยียนเอาไว้ ทุกที่ที่พาดผ่านล้วนเกิดลมคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนเชื่อมฟ้าดิน รัศมีอำนาจท่วมท้น ทรงพลังมหาศาล
ตอนนั้นเฉินถิงหาวที่อยู่ข้างเขาได้บอกไว้ว่า นกยักษ์ชิงฉินเป็นเผ่าพันธุ์ประหลาดบรรพกาล สายเลือดสามารถสืบย้อนบรรพกาล บรรพบุรุษเคยติดตามจักรพรรดิโบราณ
ส่วนฐานะ มันเคยเป็นสหายกับเจ้าเขตปกครองคนก่อน ในตอนที่เจ้าเขตปกครองคนก่อนเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี้กลับสู่ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิก็ได้เชื้อเชิญมันด้วย แต่ชิงฉินไม่ได้ตามไป แต่พำนักอาศัยอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร
ศึกนี้ ฐานะของชิงฉินสูงส่ง ต่อให้เป็นเจ้าวังก็ไม่เคยเชิญได้
‘จากคำพูดของเฉินถิงหาวในตอนนั้นบอกว่านกยักษ์ชิงฉินมีใจเอนเอียงทางเผ่ามนุษย์ ตอนนี้สถานการณ์ฉุกเฉินวิกฤต ข้าลองดูได้
‘นอกจากนี้…’
ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก
‘หากชิงฉินปฏิเสธ ก็ไม่รู้ว่านกยักษ์ตัวนี้กลัวดวงจันทร์สีแดงหรือไม่!’
สวี่ชิงไม่มีวิธีแล้ว หากอยากมอบกำลังทหารและทรัพยากรที่แนวหน้าต้องการอย่างเร่งด่วน ก็มีแต่ต้องใช้วิธีใหม่ๆ แล้ว
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ หาหนิงเหยียนที่กำลังยุ่งอยู่เจอ ไม่อนุญาตให้ได้พูดอะไร คว้าตัวไว้ก็ไปทันที
“สวี่…ศิษย์พี่สวี่ชิง พวกเราจะไปทำอะไรหรือ” หนิงเหยียนตัวสั่น มองสีหน้าของสวี่ชิง ในใจของเขาเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข
“ข้าจะพาเจ้าไปหาสหายเก่าคนหนึ่ง”
“สหายเก่าหรือ” หนิงเหยียนตื่นตกใจ จากนั้นก็สูดลมหายใจ ถามอย่างระมัดระวังขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ใช่ศิษย์พี่เอ้อร์หนิวหรือไม่”