Skip to content

Outside Of Time 544

บทที่ 544 อำนาจแห่งวิหคเพลิงสวรรค์

พื้นที่ต้องห้ามกลายเป็นสิ่งประหลาดจากเสียงเพลงที่ดังมา

เสียงของความว่างเปล่านั้นแผ่ความเยือกเย็นมา จุดที่แล่นผ่านล้วนมีเกล็ดน้ำแข็งบนพื้น หญ้าหลายต้นแข็งตัวเป็นหนาม ต้นไม้แต่ละต้นกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็ง

และเสียงเพลงนี้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของราตรีมืดมิดอยู่แล้ว ดังนั้นการปรากฏตัวของมันจึงไม่ได้ทำลายความเงียบงันของที่นี่ แต่กลับทำให้พื้นที่ต้องห้ามนี้ยิ่งลึกล้ำขึ้นไปอีก

สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น ฟังอยู่เงียบๆ ในใจเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย ความทรงจำเมื่อเจ็ดปีก่อนผุดขึ้นมา

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินเสียงเพลง

เสียงเพลงพื้นที่ต้องห้าม เป็นต้นกำเนิดของความน่ากลัวสำหรับคนเก็บกวาด ผู้ที่ได้ยินล้วนตายไปหมดแล้ว

แต่สำหรับสวี่ชิง ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้นแล้ว

ในตอนนั้นเขายังไม่มีพลังป้องกันตนเอง ทำได้เพียงเฝ้ารอการมาเยือนของความตายท่ามกลางความมืดมนเยือกเย็นที่แช่แข็งสรรพสิ่ง

แต่ตอนนี้ต่อให้เขายืนอยู่บนแผ่นดินที่ไม่ใช่เขตปกครองผนึกสมุทร ก็ยังสัมผัสถึงการรวมตัวของดวงชะตาที่มาจากเขตปกครองผนึกสมุทรได้

การสนับสนุนของดวงชะตาเช่นนี้ เว้นเสียแต่จะพบกับสิ่งประหลาดที่มีกายทิพย์น่าหวาดหวั่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางโจมตีเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบนท้องฟ้าที่ยังมองเห็นเรือศึกบรรพกาลได้อย่างเลือนราง ชิงฉินก็กำลังจับจ้องอยู่บนจุดที่สูงกว่า

ดังนั้นในใจสวี่ชิงจึงไม่ได้หวาดกลัวเสียงเพลงนี้ ในดวงตากลับฉายแววคาดหวัง จับจ้องไปทางที่เสียงฝีเท้าดังมา

เขากำลังรอ รอเงาที่จะปรากฏตรงนั้น

เจ้าเงาขยายอาณาเขตใต้เท้าเขาออกไปถึงร้อยจั้ง ราวกับกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามพิเศษแห่งหนึ่ง ต้นหญ้าทั้งหมดในขอบเขตร้อยจั้งนี้กลายเป็นดวงตา ต้นไม้ใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นโลงศพ

ดวงตานับไม่ถ้วนลืมขึ้นพร้อมกัน ล้อมสวี่ชิงไว้ด้านใน จับจ้องตามเขาไป

กลิ่นอายสิ่งประหลาดที่มาจากเจ้าเงาฟุ้งกระจายขึ้นมาในเสี้ยวขณะนี้ เผยความป่าเถื่อน ความหิวโหย และความหวาดกลัว

พื้นที่ต้องห้ามตอนนี้ หากมองจากด้านบนลงมา จะเห็นว่าหมอกหนาปกคลุมที่นี่ มีเพียงพื้นที่ร้อยจั้งที่สวี่ชิงอยู่เท่านั้นที่ยังชัดเจน

และเสียงเพลงของความว่างเปล่าในหมอก ค่อยๆ ชัดขึ้น เสียงฝีเท้าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ

จนกระทั่งด้านนอกฮาณาเขตร้อยจั้ง เสียงเพลงยังคงอยู่ แต่ฝีเท้ากลับหยุดชะงัก

เห็นได้ว่ามีรองเท้าฟางย้อมเลือดสดจนกลายเป็นสีแดงคู่หนึ่งที่ชายขอบปราณหมอกท่ามกลางความเลือนราง

รองเท้าคู่นี้ ไม่อยู่ในความทรงจำสวี่ชิง เขาไม่เคยเห็น

บนรองเท้าฟาง ปราณหมอกพัดม้วน ค่อยๆ ก่อร่างเป็นเงาร่างคนแปลกหน้าร่างหนึ่ง มองออกว่าเป็นหญิงสาว สวมชุดคลุมยาวสีดำ

ชุดคลุมตัวใหญ่มาก ราวกับว่าปกคลุมพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังนาง และเมื่อนางมาถึง ต้นหญ้ารอบด้านก็ลู่ลง ต้นไม้ใหญ่บิดเบี้ยว ราวกับกำลังหมอบกราบ

ยิ่งมีไอพลังประหลาดแผ่ซ่านมา ผสานไปในปราณหมอก ทำให้ปราณหมอกยิ่งตีเกลียว กลายเป็นแรงกดดัน ปกคลุมไปทั้งสี่ทิศ

ดวงตาทั้งสองของนางเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ข้างหนึ่งแดงข้างหนึ่งขาว

ในดวงตาสีแดง มองเห็นดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน ส่วนในดวงตาสีขาว เป็นโครงกระดูกมหาศาล

ตอนนี้ ดวงตาคู่นี้จับจ้องไปที่สวี่ชิง และกำลังจับจ้องไปที่เจ้าเงาของสวี่ชิง

“อาหาร!”

เสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากนาง ออกมาจากในปราณหมอก ออกมาจากต้นไม้ใบหญ้า มาจากทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้าม สะท้อนก้องไม่หยุด กลายเป็นเสียงแว่วกังวาน

ดวงตาของเจ้าเงาในอาณาเขตร้อยจั้งเปล่งแสงมืดมน ขณะที่เพ่งเล็งไปที่หญิงสาวผู้นี้ ความรู้สึกหวาดกลัวก็รุนแรงอย่างยิ่ง

“เจ้า…พื้นที่ต้องห้าม…”

คลื่นอารมณ์ของที่มาจากเจ้าเงา ส่งเข้ามาในใจสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงสายตาเย็นชา ส่วนหญิงสาวชุดดำตอนนี้กำลังย่างเข้ามาในอาณาเขตร้อยจั้งของสวี่ชิง แต่จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เงียบนิ่งไป

ครู่ต่อมา เสียงก็ดังขึ้นอีก

“หลีกไป!”

เสียงนี้แปรเป็นการกีดกันและขับไล่ ปะทุขึ้นมาจากในพื้นที่ต้องห้าม

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ประสานหมัดคารวะไปทางเจ้าพื้นที่ต้องห้ามผู้นั้น เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“รบกวนท่านแล้ว”

ปราณหมอกพัดเกลียว ค่อยๆ โหมทับไปที่ร่างของหญิงสาวคนนั้น และพลังกีดกันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในตอนนี้ ซ้ำยังเผยจิอาฆาตออกมารางๆ ราวกับกำลังหาโอกาส

แต่เห็นได้ว่าชัดแรงกดดันที่มาจากท้องฟ้าทำให้มันหวาดกลัวอยู่บ้าง จึงไม่ได้เปลี่ยนจิตอาฆาตนี้เป็นการกระทำ

เมื่อเห็นร่างของเจ้าพื้นที่ต้องห้ามนั้นยังคงเลือนราง สวี่ชิงส่งเสียงออกมาอย่างยำเกรง

“ท่านลืมเรื่องอะไรบางอย่างไปหรือไม่”

ร่างในปราณหมอกก็ทำเหมือนหูทวนลม

สีหน้าสวี่ชิงยังคงยำเกรง เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ คนที่ได้ยินเสียงเพลงครั้งที่สองจะได้รับของขวัญ ให้คนผู้นั้นได้เห็นร่างที่อยากเห็นมากที่สุด

“วันนี้ เป็นครั้งที่สองที่ข้าได้ยินเสียงเพลง”

ร่างในปราณหมอกกวาดผ่านสวี่ชิงอย่างเยือกเย็น ไม่สนใจ หันหลังเดินเข้าไปในหมอก ขณะที่เลือนรางลงเรื่อยๆ ความเย็นเยียบมืดมนรอบด้านก็ยิ่งเข้มข้น เสียงสะท้อนก้องยังคงดังกังวานในฟ้าดิน กลายเป็นการกีดกันที่เข้มข้นยิ่งขึ้น

สีหน้าสวี่ชิงมืดครึ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา เก็บความยำเกรงลงไป เอ่ยอย่างแช่มช้า

“เรือศึกบรรพกาล!”

สิ้นเสียง ท้องฟ้าก็ครืนครัน เรือศึกบรรพกาลพันจั้งก็ร่อนลงมาในพริบตา แผ่แรงกดดันที่น่าครั่นคร้ามออกมา ยิ่งมีนักพรตซือหนานรวมถึงผู้ครองกระบี่อีกพันคน ทยอยแผ่กระจายกลิ่นอาย สะกดพื้นที่ต้องห้าม

พื้นที่ต้องห้ามสั่นสะเทือน ปราณหมอกตีเกลียวอย่างรุนแรง ร่างที่คิดจะจากไปชะงักฝีเท้า ตอนที่หันหลังมาบนร่างก็แผ่คลื่นพลังที่น่าหวาดหวั่น จับจ้องสวี่ชิงด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“ข้อเรียกร้องของข้า ไม่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล”

สวี่ชิงสบตาเจ้าพื้นที่ต้องห้าม เอ่ยแช่มช้า

“ผู้อาวุโสชิงฉิน”

บนท้องฟ้า เสียงแกว๊กทำลายล้างที่เหมือนรออยู่นานแล้ว ในที่สุดสวี่ชิงก็เรียกเสียที มาพร้อมความตื่นเต้นกึกก้องไปทั้งแปดทิศ และร่อนลงมาจากฟากฟ้า ราวกับเป็นมือใหญ่ไร้ลักษณ์ตบลงมายังพื้นที่ต้องห้าม

ร่างของชิงฉินมาเยือน

แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน พัดเกลียวปราณหมอกจนสลายหายไปเป็นวงกว้างอย่างรุนแรงถึงสูงสุด

เจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้น สองตาเปล่งแสงวูบวาบ ทั่วร่างแผ่จิตสังหารน่าครั่นคร้าม ทั้งในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามก็มีเสียงพิณหวีดแหลมเสียงหนึ่งดังมาเลาๆ

เสียงพิณนี้ดังไปทั้งพื้นที่ต้องห้าม ขณะที่ดังกังวานพื้นที่ต้องห้ามก็สั่นสะเทือน โครงกระดูกหลายร่างเดินออกมาจากในต้นไม้ วิญญาณร้ายหลายร่างมุดออกมาจากต้นหญ้า

ระเบิดจิตสังหารตรงมาทางสวี่ชิง

และทัศนียภาพที่นี่ก็เปลี่ยนไปด้วยเสียงพิณนี้

ราวกับก่อนหน้านี้พื้นที่ต้องห้ามทั้งหมดมีผ้าโปร่งคลุมไว้ ตอนนี้เลิกผ้าโปร่งออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ต้นหญ้าที่นี่ส่วนใหญ่แปรมาจากวิญญาณร้าย ต้นไม้ใหญ่ของที่นี่ส่วนใหญ่เติบโตขึ้นมาจากการทับถมของโครงกระดูกหลายต่อหลายร่าง

ต้นหญ้าธรรมดากับต้นไม้ใหญ่ก็มี กินครองพื้นที่ไปสี่ส่วน ส่วนพื้นที่ต้องห้ามอีกหกส่วน ล้วนเต็มไปด้วยโครงกระดูก

นั่นเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว สรรพชีวิตที่ตายที่นี่ทั้งหมด

“พื้นที่ต้องห้ามนี้ไม่ได้แข็งแกร่งนัก กลายพันธุ์ไปแค่ครึ่งเดียว ตอนที่ที่นี่กลายพันธุ์ได้ถึงสิบส่วน ถึงจะกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามระดับสูงสุด ถึงตอนนั้น ก็ไม่ใช่ที่ที่ข้าสะกดได้แล้ว ต้องใช้แรงคนมากกว่านี้

“แต่ตอนนี้ลองผนึกมันได้”

กลางท้องฟ้า ร่างของนักพรตซือหนานเดินออกมาจากเรือศึกบรรพกาล มองเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้น เอ่ยกับสวี่ชิง

คำพูดของนักพรตซือหนาน ทำให้เสียงพิณในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามยิ่งหวีดแหลม โครงกระดูกรอบด้านก็ยิ่งร้องคำราม

เจ้าเงาทางนี้ ก็แสดงความปรารถนาไปหาสวี่ชิงด้วย

แต่สวี่ชิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากเขาคารวะนักพรตซือหนาน ก็มองเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้น เอ่ยราบเรียบ

“โปรดจำแลงร่างที่ข้าอยากจะเห็นออกมา นี่คือกฎเกณฑ์ของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้”

เสียงพิณสะท้อนก้องอย่างหนักหน่วง เจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา

“จะหยามเกียรติพื้นที่ต้องห้ามไม่ได้!” พูดจบ นางก็ยกมือขึ้น พื้นที่ต้องห้ามทั้งหมดเริ่มฟื้นคืน พลังกีดกันและขับไล่ปะทุขึ้นมารอบด้าน

เห็นว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่พร้อมจะปะทุขึ้นมาทุกเมื่อ

สวี่ชิงก็สีหน้าไร้อารมณ์ ยกมือซ้ายขึ้นชี้ท้องฟ้า

“ของวิเศษเวทต้องห้าม!”

ในเมืองหลวงเขตปกครองที่อยู่ห่างจากที่นี่ไกลแสนไกล ของวิเศษเวทต้องห้ามพลันสั่นสะเทือนขึ้น บนท้องฟ้าเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า พุ่งไปทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

โหวเหยาที่กำลังจัดการงานราชการในจวนเจ้าเขตปกครองสังเกตเห็น เงยหน้าขึ้นมองผาดหนึ่ง ยิ้มแล้วก็ไม่สนใจ

ในพริบตาพริบตานี้ แสงสีทองผืนนั้นปรากฏบนท้องฟ้าทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ปรากฏบนท้องฟ้าของเขตพื้นที่ต้องห้ามคนเก็บกวาด กลายเป็นตาข่ายสีทองขนาดยักษ์ ปกคลุมพื้นที่ต้องห้าม แผ่พลังสะกดที่น่ากลัวออกมา

เสียงพิณหยุดลงฉับพลัน

เจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้น หน้าเปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก พลันเงยหน้าขึ้น จ้องไปที่ตาข่ายสีทองบนท้องฟ้าเขม็ง ปราณหมอกด้านหลังตีเกลียว เห็นได้ชัดว่าระลอกคลื่นลูกมหึมาโหมซัดในใจ

โครงกระดูกและวิญญาณร้ายที่กินพื้นที่ไปหกส่วนของพื้นที่ต้องห้ามก็ชะงักไป

ครู่ต่อมา เจ้าพื้นที่ต้องห้ามเก็บสายตากลับมา เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็โบกมือ ทันใดนั้นปราณหมอกสีแดงกลุ่มหนึ่งก็กระจายออกมาจากร่าง เริ่มรวมตัวข้างๆ

ปราณหมอกนี้ ราวกับแปรมาจากต้นกำเนิด ตอนนี้หลังจากกระจายออกมา นางก็ดูเลือนรางลงย่างชัดเจน

ปราณหมอกไม่ได้รวมตัวเร็วมากนัก ราวกับแฝงความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังค่อยๆ รวมกันเป็นรองเท้าคู่หนึ่ง

นั่นคือรองเท้าที่หัวหน้าเหลยสวมก่อนที่จะตาย

ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่นขึ้นมา ขณะที่ปราณหมอกบิดเบี้ยวก็ค่อยๆ จำแลงร่างของหัวหน้าเหลย คั่นร่างสวี่ชิงด้วยปราณหมอก ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน

สวี่ชิงดวงตาแดงรื้นเล็กน้อย

“หัวหน้าเหลย…”

หัวหน้าเหลยยิ้ม พยักหน้าให้กับสวี่ชิง จากนั้นก็มองไปรอบๆ ราวกับถอนใจแผ่วเบา ค่อยๆ เดินถอยหลัง จนแปรกลับไปเป็นปราณหมอกอีกครั้ง สลายหายไป

รองเท้าคู่นั้น ก็ค่อยๆ ถอยไปเช่นกัน จนสลายหายไปในหมอก

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เขานึกถึงประโยคนั้นที่หัวหน้าเหลยเคยพูดไว้

‘ไม่ต้องรอ รอจนถึงถึงที่สุด สุดท้ายก็เป็นความว่างเปล่า…’

“ความว่างเปล่าหรือ” สวี่ชิงพึมพำ มองปราณหมอก เขายังรออยู่

รอร่างที่อาจจะปรากฏขึ้นหลังจากนี้

แม้ตำนานของพื้นที่ต้องห้ามนี้คือการทำให้คนหลังจากได้ยินเสียงเพลงครั้งที่สองมองเห็นคนที่อยากพบ เช่นนั้นสวี่ชิงจึงรู้สึกว่านอกจากหัวหน้าเหลยแล้ว ตนก็ยังอยากจะพบปรมาจารย์ไป๋ และอยากพบกับนายท่านหก

เขายังอยาก จะพบกับพ่อแม่ของตนด้วย

เพียงแต่…เวลาไหลผ่านไปทีละนิด สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายรองเท้าคู่ที่สองก็ไม่ปรากฏ สิ่งนี้ทำให้สีหน้าเขาหดหู่เล็กน้อย เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหดหู่ท้อแท้ มองไปที่เจ้าพื้นที่ต้องห้าม

“ผู้อาวุโส ยังมีเงาร่างอื่นอีกหรือไม่”

เจ้าพื้นที่ต้องห้ามดวงตาจดจ้อง มองสวี่ชิงเขม็ง

ชิงฉินคำรามต่ำ เรือศึกบรรพกาลแผ่พลังอำนาจ ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามส่องแสงวูบวาบ

เจ้าพื้นที่ต้องห้ามเงียบนิ่ง

ร่างของนายท่านหกก็ค่อยๆ ปรากฏในปราณหมอก

สีหน้านายท่านหกตอนแรกงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนครุ่นคิด สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง

เผยรอยยิ้ม

มองนายท่านหก สวี่ชิงก็รู้สึกเศร้า ประสานหมัดคารวะอย่างลึกซึ้ง

นายท่านหกยิ้มตอบรับ ร่างค่อยๆ เลือนราง จนสลายหายไปในปราณหมอก

ปราณหมอกเริ่มกลับไป

“ไม่ทราบว่าผุ้อาวุโสสามารถชักนำร่างของปรมาจารย์ไป๋รวมถึงพ่อแม่ของข้ามาได้หรือไม่ขอรับ หากมีค่าใช่จ่ายในระดับหนึ่ง ผู้เยาว์จะชำระให้”

สวี่ชิงเอ่ยอย่างยำเกรง

แต่ความยำเกรงของเขาถูกเจ้าแห่งพื้นที่ต้องห้ามมองข้าม เกียรติของพื้นที่ต้องห้าม ทำให้เสียงพิณดังขึ้นอีกครั้ง หวีดแหลมอย่างยิ่ง เจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นสีหน้ามืดครึ้มเย็นยะเยือกถึงขีดสุด เสียงเยือกเย็นสะท้อนก้อง

“วิหคเพลิงสวรรค์รับสั่ง พื้นที่ต้องห้ามปักษาสวรรค์ทักษิณไม่รุกรานภายนอก แต่ผู้ที่รุกรานพื้นที่ต้องห้ามปักษาสวรรค์ทักษิณ จะต้องถูกแดนต้องห้ามปักษาราชันสยบ!”

โครงกระดูกรอบๆ ร้องคำราม

ต่อให้พลังอำนาจของตาข่ายของวิเศษต้องห้ามบนฟากฟ้ารวมถึงชิงฉินและนักพรตซือหนานจะปะทุขึ้นในพริบตา ความเหี้ยมโหดของที่แห่งนี้ยังคงพวยพุ่งออกมา

พื้นที่ต้องห้าม สามารถถูกสะกดได้ ถูกผนึกได้ แต่ไม่อาจหยามเกียรติได้

แต่พริบตาต่อมา ชิงฉินก็ปะทุแสงสีแดงม่วงทั่วร่าง หัวตรงกลางฉายแววโอหังและหยามเหยียด เมื่อสะบัด ปากก็มีขนนกสีแดงเพิ่มขึ้นมา

พริบตาที่ขนนกเส้นนี้ปรากฏขึ้น พื้นที่ต้องห้ามสั่นสะเทือน เจ้าพื้นที่ต้องห้ามในชุดคลุมดำตนนั้นตื่นตะลึง สีหน้าขัดขืนดิ้นรนสุดท้ายก็ก้มหน้า ส่วนสียงพิณในส่วนลึกเริ่มเสียงสั่นเครือ

นี่คือขนของวิหคเพลิงสวรรค์

สำหรับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ วิหคเพลิงสวรรค์ ไม่เพียงแต่เป็นจักรพรรดิของแดนต้องห้ามปักษาราชัน แต่ยังเป็นจักรพรรดิของพื้นที่ต้องห้ามทั้งทวีปนี้ด้วย

ปราณหมอกลอยกลับ เคลื่อนไหวมารวมกันต่อเนื่อง

แต่แปลกมาก แม้ครั้งนี้จะปล่อยให้เจ้าพื้นที่ต้องห้ามรวมตัวอย่างไร เงาร่างทั้งสามก็ไม่อาจก่อตัวขึ้นมาได้

ร่างของพ่อแม่สวี่ชิง ปรากฏออกมาเพียงเค้าโครง จากนั้นก็สลายหายไป ส่วนปรมาจารย์ไป๋แม้จะก่อโครงร่างขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจชัดเจนได้ ก็สลายหาย

ภานี้ ทำให้สายตาสวี่ชิงแข็งค้าง มองไปทางเจ้าพื้นที่ต้องห้าม

ครู่ต่อมา ภายใต้เสียงร้องแกว๊กของชิงฉิน เสียงแหบพร่าของเจ้าพื้นที่ต้องห้ามก็สะท้อนก้องทุ้มต่ำ

“มีดวงวิญญาณเผ่ามนุษย์สองคน ถูกบูชาไปให้บิดาเทพ ข้าไม่มีอำนาจชักนำ

“และอีกดวงวิญญาณหนึ่ง ไม่อยู่ในแผ่นดินต้องประสงค์”

พูดจบ ร่างของเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นก็พลันถอยหลัง ผสานเข้ากับปราณหมอกในพริบตา และหมอกหนาที่นี่ก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว พุ่งไปรวมกันจากทั้งแปดทิศที่ส่วนลึกที่สุดของพื้นที่ต้องห้าม ก่อตัวเป็นพลังปิดผนึก กั้นโลกภายนอกกับตนเองเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าการออกมาครั้งนี้ สำหรับมันแล้วไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด ดังนั้นตอนนี้หลังจากพูดจบ มันก็เลือกปิดผนึก

สิ่งที่ตามมาจากนั้น คือการกีดกันจากทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้าม

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

สำหรับร่างของบิดามารดาที่มองไม่เห็น อันที่จริงเขาก็สังหรณ์ใจอยู่แล้ว เมืองเป็นเอกในตอนนั้นถูกเซ่นไหว้ให้แด่เสี้ยวหน้าเทพเจ้า

เพียงแต่วิญญาณของปรมาจารย์ไป๋ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกสงสัย

‘ไม่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์?’

สวี่ชิงขมวดคิ้ว นึกถึงก่อนหน้านี้การตายของปรมาจารย์ไป๋ สุดท้ายก็มองไปทางที่ผืนอินทนิลตั้งอยู่

ที่เขามาทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณครั้งนี้ ที่สุดท้ายที่จะไปคือจะไปผืนอินทนิลเพื่อเซ่นไหว้ปรมาจารย์ไป๋ ขณะเดียวกันจะไปพบกับสหายวัยเด็กด้วย

‘ท่าทางรายละเอียดการตายของปรมาจารย์ไป๋ หลังจากไปครั้งนี้ ต้องถามเฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้ให้ละเอียด’

สวี่ชิงครุ่นคิด จากนั้นก็ประสานหมัดไปทางชิงฉินกับนักพรตซือหนาน

“ลำบากผู้อาวุโสทั้งสองให้รอข้ามาหลายวัน ข้าคิดว่าจะวิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่งของข้าที่นี่เสียหน่อย”

นักพรตซือหนานมองเจ้าเงาใต้เท้าสวี่ชิง พยักหน้าเล็กน้อย พาคนจากไป ส่วนชิงฉินก็ร้องแกว๊ก จากนั้นก็สยายปีกทะยานไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามที่กั้นด้วยปราณหมอกผืนนั้น

เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกสนใจเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นไม่น้อย

เสียงพิณสั่นระรัว ปราณหมอกตีเกลียว ร่างของชิงฉินหายไปในปราณหมอก

ส่วนด้านในจะเกิดอะไร สวี่ชิงก็ชี้ขาดไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด ชิงฉินที่มีขนวิหคเพลิงสวรรค์อยู่ ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน

ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่สนใจ หันหลังเดินไปที่บ้านในพื้นที่ต้องห้ามของเขาในตอนนั้น

ตอนนี้ใกล้จะฟ้าสางแล้ว ขณะที่รุ่งอรุณเบิกฟ้า สวี่ชิงก็มาถึงที่ที่กลุ่มสายอัสนีปะทะกับหมาป่าเกล็ดดำในตอนนั้น

ที่นี่ สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ตอนนั้นข้าผนึกเจ้าที่นี่

“เช่นนั้นวันนี้ ใช้ที่นี่เป็นขอบเขต อย่าไปที่ส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม และไม่ต้องไปที่กลุ่มศาลเจ้าด้วย ที่อื่นแล้วแต่เจ้าจะแผ่ขยายออกไป

“ทำให้ข้าเห็น ว่าเจ้าจะเติบโตได้ถึงระดับใด”

เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา เจ้าเงาใต้เท้าเขาก็แผ่ขยายออกร้อยจั้งในพริบตา ดวงตานับไม่ถ้วนลืมตาขึ้นในนั้น ขณะมองไปที่สวี่ชิง ก็ส่งคลื่นอารมณ์มาว่า

“ขอบคุณ…นายท่าน…”

พูดจบ อาณาเขตร้อยจั้งก็เลือนรางไปในพริบตา แผ่ขยายไปรอบทิศอย่างรวดเร็ว ปกคลุมต้นหญ้าที่ไม่ได้กลายพันธุ์เพราะเจ้าพื้นที่ต้องห้ามในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้

ไอพลังประหลาดมหาศาล รวมตัวกันมาจากทั้งแปดทิศ ทะลักเข้าไปในตัวเจ้าเงา เสียงเคี้ยวดังลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ

ต้นหญ้าก็ดี ต้นไม้ใหญ่ก็ดี ราวกับกลายเป็นอาหารของเจ้าเงาทั้งหมด

อสูรกลายพันธุ์เหล่านั้นในที่แห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั้งพื้นที่ต้องห้าม ส่วนคนเก็บกวาดที่เข้ามาที่นี่ หลังจากสัมผัสทุกอย่างได้ก็สั่นสะท้านกันหมด เลือกหลบหนีทันที

สำหรับคนเก็บกวาดเหล่านี้ หลังจากเจ้าเงาครุ่นคิด ก็ไม่กล้ากลืนกิน มันไม่แน่ใจท่าทีของสวี่ชิง จึง กลืนกินอสูรกลายพันธุ์กับไอพลังประหลาดต่อไป

กลิ่นอายของมันค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และต้นหญ้าและต้นไม้ใหญ่ที่มันกลืนกิน ก็ไม่ได้สลายหายไปจริงๆ แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ ต้นหญ้ามีดวงตาผุดออกมาเต็มไปหมด ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นโลงศพ

อสูรกลายพันธุ์ที่ถูกเจ้าเงากลืนกินก็เช่นกัน ล้วนมีดวงตาผุดออกมามหาศาล จากนั้นก็ฟื้นคืนชีพ

ราวกับมันใช้วิธีนี้ กลืนกินอำนาจในพื้นที่ต้องห้าม

เวลาก็ผ่านไปถึงสามวันเช่นนี้

พื้นที่ต้องห้ามประมาณหนึ่งส่วนแผ่กลิ่นอายเจ้าเงาออกมา รูปร่างลักษณะเปลี่ยนไปแล้ว

ส่วนการกลืนกินของเจ้าเงาก็มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว กลืนกินต่อไม่ได้ ตลบม้วนกลับมาจากทั่วสารทิศ ไปยังจุดที่สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ แผ่คลื่นพลังที่เกือบจะทะลวงขั้นรวมถึงความเบิกบาน

สวี่ชิงลืมตาขึ้น มองไปอย่างเย็นชา

“กลืนกินไปหนึ่งส่วน ถึงฝืนทะลวงขั้นได้ ยังไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนะ”

เจ้าเงาที่เดิมทีภาคภูมิใจ เมื่อได้ยินก็สั่นไหว รีบร้อนส่งอารมณ์ออกมา

“ต่อเนื่อง…ค่อยๆ…แข็งแกร่ง…”

“รีบทะลวงขั้น” สวี่ชิงแค่นเสียงเย็นชา

เจ้าเงาสั่นเทา รีบร้อนหดกลับมา ไม่นานนักต้นไม้ใหญ่ขนาดยักษ์สูงร้อยจั้งต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิง

ต้นไม้นี้หนาใหญ่ ยอดไม้เหมือนร่ม ขณะที่พลังน่าครั่นคร้าม ก็แผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมาเป็นระยะ บนต้นไม่มีใบไม้ แต่มีดวงตาสีแดงชาดงอกออกมาเต็มไปหมด

แต่แววตาของดวงตาทุกดวงล้วนไม่ใช่ความดุร้าย แต่เป็นความเชื่อฟัง

จึงยิ่งดูแปลกประหลาด

หลิงเอ๋อร์โผล่ออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง มองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น อ้าปากส่งเสียงใส

“สู้ๆ!”

คำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าให้กำลังใจเจ้าเงา ทำให้เจ้าเงาตื่นเต้นอย่างมาก กิ่งไม้สั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงครืนครันผ่าฟ้าทลายดินดังกึกก้องออกมาจากร่าง

พริบตาต่อมา ต้นไม้ร้อยจั้งต้นนี้ก็รูปลักษณ์เปลี่ยนไป กลายเป็นโลงศพขนาดยักษ์โลงหนึ่ง ดวงตาผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเช่นกัน กลิ่นอายของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า ทั้งยังมีจิตแห่งความตายแผ่ซ่านไปรอบทิศ

จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นคลื่นวนสีดำ ด้านในมีเสียงคำรามดิ้นรนลอดออกมา สภาวะขั้นที่สามของเจ้าเงากำลังก่อร่าง

สวี่ชิงจ้องคลื่นวนสีดำเขม็ง ความคาดหวังปะทุขึ้นมาในใจ

บางครั้งประโยชน์ของเจ้าเงาก็มีประสิทธิผลที่อยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นหลังจากที่เข้าใจความน่ากลัวในพลังสะกดของผลึกวารีสีม่วง เขาก็หวังว่าเจ้าเงาจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“ขั้นสาม จะเปลี่ยนเป็นอะไร”

ตอนที่สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ในคลื่นวนสีดำนั้นก็มีเสียงครืนครันดังออกมา ขนาดของมันขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา เปลี่ยนจากร้อยจั้งเป็นพันจั้ง ลอยขึ้นกลางอากาศ

ไม่ได้ตั้งตรง แต่แผ่ขยายออกไป ราวกับเป็นเมฆดำปกคลุมท้องฟ้าพันจั้ง

น้ำฝนสีดำโปรยปรายจากคลื่นวนลงบนพื้น เมื่อสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นว่านี่ไม่ใช่น้ำฝน แต่เป็นเงาที่น่าตื่นตะลึง

ในอาณาเขตพันจั้งมืดมิดไปหมด ราวกับอาณาบริเวณนี้ถูกแยกออกมา

ภาพนี้ สวี่ชิงที่เห็นก็เริ่มประทับใจบ้างแล้ว

นักพรตซือหนานรวมถึงผู้ครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองบนท้องฟ้าก็พากันชำเลืองมอง

ตอนนี้เอง เสียงอัสนีก็ดังกัมปนาทออกมาจากคลื่นวน ใบหน้าขนาดยักษ์ดวงหนึ่งนูนเด่นออกมาจากในนั้น

ทั้งๆ ที่ใบหน้าไม่คุ้นเคยตอนนี้กำลังร้องคำราม ทว่าที่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงอัสนีฟาดผ่า ราวกับเสียงของเขา ถูกช่วงชิงความรู้ความเข้าใจไป แล้วมอบเสียงสายฟ้าให้

และการคงอยู่ของมันก็ไม่นานนัก แค่ไม่กี่อึดใจก็สลายหายไปในคลื่นวนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน คลื่นพลังปราณก่อกำเนิดวูบหนึ่ง ก็แผ่ออกมาคลื่นวน

รูปร่างของมันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ใช่คลื่นวนอีกต่อไป แต่กลายเป็นม่านดำขนาดพันจั้งกลางท้องฟ้า ราวกับเป็นปานดำบนท้องฟ้า

ยิ่งมีคลื่นอารมณ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกคลื่นหนึ่ง สะท้อนก้องในคลื่นวน

“ข้า..แข็ง…แกร่ง!”

สวี่ชิงแค่นเสียงเย็นชา

คลื่นอารมณ์นี้ก็แผ่ความหวาดกลัวในพริบตา เปลี่ยนความนัย

“ข้า…อ่อน…แอ”

จากนั้น ไม่ต้องรอให้สวี่ชิงถาม เจ้าเงาที่กลายเป็นม่านฟ้าสีดำ ก็สำแดงความสามารถใหม่ออกมาทันที แค่เห็นว่ากลางม่านฟ้าพันจั้ง ปรากฏดวงดาราขึ้นมากมาย

ราวกับว่า อาณาเขตพันจั้งนี้ไม่ใช่ปานดำ แต่กลายเป็นท้องฟ้า

ดวงดาราแต่ละดวงเหล่านั้นเป็นดวงตาที่น่าสะพรึงกลัว พวกมันส่องแสงพร่างพราย กลายเป็นแสงระยิบระยับจากการกะพริบตา

“นายท่าน…ข้าอำพราง…หลบหนี…ส่งข้าม…”

คลื่นอารมณ์ของเจ้าเงา บอกเล่าความสามารถของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงขมวดคิ้ว การวิวัฒนาการของเจ้าเงาครั้งนี้ นอกจากกระบวนการและรูปร่างลักษณะที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ด้านความสามารถก็เหมือนจะไม่ได้โดดเด่นถึงเพียงนั้น

เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่พอใจ ม่านฟ้าพันจั้งก็สั่นระริก เจ้าเงารีบสื่อคลื่นอารมณ์ออกมาอีกครั้ง

“ดวงตา…ชิงร่าง…ปิดผนึก…”

“เท่านี้หรือ” สวี่ชิงสายตาเย็นชาเล็กน้อย

เจ้าเงายิ่งสั่นเทา เอ่ยเสียงดัง

“ข้า…ชิงร่าง…เทพเจ้า!”

ม่านตาสวี่ชิงหดเกร็ง ลุกขึ้นยืน มองไปที่ม่านฟ้าพันจั้ง

“อนาคต…” บนม่านฟ้า ดวงตาทั้งหมดกะพริบเล็กน้อย

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“กลับมานี่”

ม่านฟ้าพันจั้งร่อนลงมากลับมาอยู่ด้านหลังสวี่ชิงในพริบตา ขณะที่กำลังสั่นเทา หลิงเอ๋อร์ก็หัวเราะเบาๆ

“พี่สวี่ชิง เจ้าเงาน้อยพยายามมากแล้วนะเจ้าคะ”

พูดจบ หลิงเอ๋อร์ ก็ขยิบตาให้สวี่ชิง

เจ้าเงาสั่นระริก คลื่นอารมณ์ตื้นตันปะทุขึ้น มันไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความเย็นชาที่มาจากสวี่ชิง

ดังนั้นความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในความเยือกเย็นนี้ ก็ทำให้มันรู้สึกซาบซึ้งใจกับหลิงเอ๋อร์อย่างมากทันที ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร ดังนั้นมันจึงบิดร่าง เล่นกลต่างๆ เพื่อทำให้หลิงเอ๋อร์หัวเราะ

เสียงหัวเราะนี้ ทำให้เจ้าเงาก็แผ่คลื่นอารมณ์ดีใจ แต่พริบตาต่อมามันก็เห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ชิงดวงนั้น จึงยังสั่นเทาอยู่ จึงไม่กล้าแสดงความดีใจมากเกินไป

สวี่ชิงไม่ได้สนใจเจ้าเงา ลุกขึ้นไหววูบ ทะยานไปที่เรือศึกบรรพกาล ตอนที่ก้าวเข้าไป นักพรตซือหนานก็มองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกผาดหนึ่ง สหายร่วมรบเหล่านั้นของเขาก็พากันคลี่ยิ้มออกมา

สวี่ชิงก็ยิ้มเช่นกัน ขอบคุณพวกเขา หันหน้ามองไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม

ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ชิง ปราณหมอกส่วนลึกพื้นที่ต้องห้ามตีเกลียว ชิงฉินพุ่งออกมาอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ส่งเสียงร้องแกว๊กอย่างพึงพอใจบนท้องฟ้า

ส่วนมันไปทำอะไรที่นั่น คนนอกไม่อาจล่วงรู้

สวี่ชิงสงสัยเล็กน้อย กวาดตามองไปยังพื้นที่ต้องห้าม ปราณหมอกที่นั่นหอบม้วนอย่างรวดเร็ว มองอะไรไม่เห็นเลย

ทว่าสุดท้ายเห็นชิงฉินไม่เป็นอันใด สวี่ชิงจึงไม่ได้ขบคิดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก ไม่นาน เรือศึกบรรพกาลก็หวีดหวิว พุ่งทะยานไปยังผืนอินทนิล

ที่นั่น คือที่สุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ของสวี่ชิง

หลังจากผ่านเรื่องราวในพื้นที่ต้องห้าม เขาก็ตัดสินใจจะถามเรื่องก่อนที่ปรมาจารย์ไป๋จะตาย มีอะไรผิดปกติหรือไม่

ตอนนั้นเขาไปที่ผืนอินทนิล จดจ่ออยู่กับเรื่องการแก้แค้นหลังจากที่ปรมาจารย์ไป๋ตาย มองข้ามเรื่องตอนที่ยังมีชีวิตไป

ส่วนคำพูดของเจ้าพื้นที่ต้องห้าม ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่า เรื่องนี้ เกรงว่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version