บทที่ 552 ยามที่สู้กับสวรรค์ หาไม่สักวันจะผันแปร
แผ่นหยกแผนที่ที่นายกองมอบให้สวี่ชิง เห็นได้ชัดว่าทิศทางที่สำรวจไว้ก่อนหน้าไม่ใช่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้บันทึกไว้ละเอียด แค่บอกไว้คร่าวๆ เท่านั้น
แต่ก็ยังบรรยายว่าความร่วมมือสองชนเผ่านี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์
พวกเขาคือเผ่าคันฉ่องรวมถึงเผ่าผืนนภา
ที่ปรากฏตรงหน้าขู่ขอดูใบผ่านทางกับสวี่ชิง ก็คือเผ่าเงาคันฉ่อง
ร่างกายของเผ่านี้คือกระจก วัยเด็กเป็นกระจกบานเล็ก กระทั่งเติบใหญ่ก็ใหญ่ขึ้นมหาศาล
ถือเป็นหนึ่งในชนเผ่าแปลกประหลาด
และเป็นชนเผ่าที่ปรากฏขึ้นใหม่หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน
คนในเผ่านี้มีสองเพศในร่างเดียวกัน ขยายเผ่าพันธุ์รวดเร็วยิ่ง ส่วนพรสวรรค์ของพวกเขาคือสามารถส่องศัตรูไว้ในบานกระจก และควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ยิ่งมีบางส่วนที่ชอบรุกรานเผ่าอื่น เข้าไปสิงร่าง
แต่ที่ทำได้ถึงจุดนั้น ต้องมีพรสวรรค์แข็งแกร่ง มีเพียงทายาทสูงศักดิ์ในเผ่านี้เท่านั้นที่ทำได้
ส่วนพวกคนในเผ่าเงาคันฉ่องที่มาสกัดสวี่ชิงตอนนี้ ก็เป็นแค่ทหารชายแดนของเผ่านี้เท่านั้น พลังบำเพ็ญประมาณสร้างฐาน พลังบำเพ็ญใกล้เคียงกับฐานะของสวี่ชิงในตอนนี้
พวกเขาจึงกล้าแสดงเจตนาร้ายอย่างไม่ปิดบังต่อหน้าสวี่ชิง ราวกับว่าขอแค่สวี่ชิงบ่งบอกตัวตนไม่ได้ พวกเขาก็จะพุ่งมาสังหารเขาทันที
ถึงอย่างไรในสายตาพวกเขา เผ่ามนุษย์ก็เป็นชนเผ่าระดับล่าง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ มองเผ่าเงาคันฉ่องเหล่านี้อย่างเย็นชา สายตามาดร้ายของอีกฝ่าย เขาจดจำไว้แล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของอีกฝ่าย ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงกวาดตามองพวกเขา จ้องมองตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หลังจากนั้นก็โยนแผ่นหยกสำนักบุปผาหยินหยางที่นายกองให้ไว้ออกไป เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสวัตถุอย่างไร
พริบตาต่อมา เผ่าเงาคันฉ่องตนหนึ่ง ร่างสวี่ชิงในบานกระจกของเขา ก็ยื่นมือออกจากผิวกระจก
มือผู้นี้ ในกระจกนั้นเหมือนกับของสวี่ชิงไม่ผิดเพี้ยน แต่หลังจากยื่นออกมากลับเป็นควันสีดำ รับแผ่นหยกไว้เหมือนกำลังตรวจสอบ
ไม่นานนัก พวกเขาก็ทราบผล ต่างขมวดคิ้ว
เจตนาร้ายกับความละโมบในแววตาไม่ได้สลายหายไปเท่าไรนัก พิจารณาสวี่ชิงซ้ำๆ หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าให้ไม่ค่อยอยากปล่อยให้เขาไป
สายตาสวี่ชิงเย็นชา สองฝั่งคุมเชิงกัน
ครู่ต่อมา เผ่าเงาคันฉ่องเหล่านั้น ก็มองหน้ากัน ยังเลือกที่จะควบคุมอารมณ์เอาไว้
เห็นได้ชัดว่าประโยชน์หนังพยัคฆ์อย่างสำนักบุปผาหยินหยางนี้ก็มีผลจริงๆ ดังนั้นสุดทหารชายแดนเผ่าเงาคันฉ่องก็ร่วงลงไปบนพื้นอีกครั้ง ผสานเข้าไปใต้ดินหายไป
สวี่ชิงมองพื้นดินที่พวกเขาซ่อนตัวผาดหนึ่ง ดินโคลนสีดำตรงนั้นดูปกติทุกอย่าง
ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ
‘ทำไมพวกมันต้องผสานเข้าไปใต้ดินด้วย’
สวี่ชิงสงสัย จุดนี้ในแผนที่ก็ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ไว้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงจดจำเรื่องนี้ไว้ หลังจากเก็บแผ่นหยก ก็เดินต่อไป เข้าไปในพื้นที่ความร่วมมือของสองเผ่า
แม้พื้นดินของที่นี่จะเป็นสีดำ แต่ท้องฟ้าขมุกขมัวแตกต่างกับที่แท่นบวงสรวงเล็ก ไม่รู้ว่าเพราะเข้าใกล้ทะเลเพลิงสวรรค์หรือไม่ ท้องฟ้าของที่นี่จึงดูสว่างกว่าเล็กน้อย
และในที่สุดผืนแผ่นดินนี้ก็ก็ไร้ซึ่งหลุมกระดูกแล้ว
หมู่บ้านหลายแห่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิงจากการที่เขาก้าวไปด้านหน้า
แตกต่างกับเมืองของเผ่ามนุษย์
เมืองของเผ่าเงาคันฉ่องมักจะสร้างขึ้นมาจากดินเผา ดูแล้วดำทมึนราวกับป้อมดิน
ระหว่างทางที่สวี่ชิงเดินผ่านก็พบเห็นไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้
ต่อให้เป็นเมืองที่ใหญ่ขึ้น มากสุดก็เป็นแค่ป้อมดินที่อาณาบริเวณและโครงสร้างซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
จากภาพรวม เต็มไปด้วยความรู้สึกเสื่อมโทรมและหยาบกระด้าง
และในเผ่าเงาคันฉ่องเงียบสงัดไปหมด ที่นี่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีความคึกคัก มีเพียงกระจกหลายบาน เดินไปเดินมาอยู่ในป้อมดิน บางครั้งก็ลอยไปมา
เผ่าเงาคันฉ่องทุกตนคล้ายไม่ชอบเอ่ยปากพูดคุยเท่าไรนัก ปกติส่งสายตาหากันก็สื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้แล้ว
ชนเผ่าเช่นนี้ ถูกกำหนดให้ขับไล่คนภายนอก
การปรากฏตัวของสวี่ชิง ดึงดูดความสนใจของพวกเขา สายตามาดร้ายกวาดมาจากทั้งแปดทิศตลอดทาง แต่ที่เลือกลงมือ สวี่ชิงยังไม่พบ
และเผ่าเงาคันฉ่องนี้ใช่ว่าจะฝึกบำเพ็ญทุกตน มีคนธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ทว่าไม่มีสักคนที่เป็นกระจกที่สมบูรณ์ ล้วนแล้วแต่มีรอยแตกร้าว ที่น้อยหน่อยก็เจ็ดแปดรอย ที่มากหน่อยคือนับไม่ถ้วน
ส่วนหลังล้วนเป็นพวกอ่อนแอและปราณความตายอบอวล
นอกจากนี้รูปร่างของพวกเขาก็แตกต่างกัน มีทั้งร่างมนุษย์ มีทั้งร่างสัตว์ ดูสกปรกมอมแมม
กระทั่งยังมีบางส่วนที่ประกอบจากเศษกระจกนับไม่ถ้วน ขณะที่ดูแปลกประหลาดอย่างมาก สวี่ชิงยังพบว่าในความร่วมมือของสองเผ่านี้ ก็มีเผ่ามนุษย์อยู่ด้วย
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเผ่ามนุษย์ที่นี่อยู่ในสภาพอ่อนแอ และมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ปะปนอยู่ในเมืองเผ่าเงาคันฉ่อง ฐานะต่ำต้อย
ตอนที่พวกเขาเห็นสวี่ชิง สีหน้าส่วนใหญ่จะด้านชา
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แม้ที่นี่จะไม่ห่างจากแผ่นดินเผ่ามนุษย์มากนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็คั่นด้วยแม่น้ำเซ่นทมิฬเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ที่คลายคำสาปของที่แห่งนี้ได้
ความจริงแล้วเผ่ามนุษย์ที่อยู่ที่อื่นก็เป็นเช่นนี้ เพราะการรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวในกาลก่อน พื้นที่มากมายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จึงเป็นพื้นที่ของเผ่ามนุษย์ ต่อมาจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งพ่ายแพ้ จึงทำให้เผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย ยากจะหวนคืน
หลังจากผ่านไปแต่ละยุคแต่ละสมัย ก็มีที่รุ่งเรืองอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นชนเผ่าระดับล่าง
พวกเขาบ้างก็รู้ว่าตนเป็นเผ่ามนุษย์ หลายหมื่นปีต่อมาบ้างก็ลืมเลือนไปแล้ว สายเลือดผสมปนเปไม่จบไม่สิ้น
ยังมีบางส่วน ที่มองไปทางแผ่นดินใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ที่ห่างไกล ปรารถนาที่จะได้หวนคืน
ทว่าเส้นทางที่แสนยาวไกลรวมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนของดินแดนต่างๆ ทำให้มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติหวนคืน และคนธรรมดาอีกนับไม่ถ้วนก็ไร้ความสามารถนี้
พวกเขาทำได้แค่รอ รอว่าสักวันหนึ่ง อาจจะมีจักรพรรดิโบราณเผ่ามนุษย์คนใหม่ปรากฏตัวขึ้น รวมแผ่นดินต้องประสงค์ ทำให้พวกเขาหวนคืนได้
การเฝ้ารอมานับหมื่นปี จนถึงวันนี้ ก็กลายเป็นความหวังที่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนลอยของผู้คนทุกยุคทุกสมัย
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ หลิงเอ๋อร์ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
เพราะเผ่าวิญญาณบรรพกาลก็เช่นกัน พวกเขารอมาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เป็นผล
แม้เหมือนจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจะยังคงอยู่ แต่ประสบการณ์ที่หุบเหววิญญาณ ก็ทำให้หลิงเอ๋อร์รู้สึกสงสัยจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลนั่นเสียแล้ว นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังเป็นจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่นำเผ่าวิญญาณบรรพกาลรวบรวมแผ่นดินต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งหรือไม่
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ ทำได้เพียงจากมาเงียบๆ ออกจากอาณาเขตของเผ่าเงาคันฉ่อง เดินเข้าไปในเผ่าผืนนภา
พื้นที่ที่เผ่านี้อาศัยอยู่ มีที่ราบน้อย ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา
พวกเขาก็เป็นชนเผ่าที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกัน ร่างกายมีเลือดเนื้อ เพียงแต่สวมหน้ากากไว้ หรือหน้ากากอาจเป็นใบหน้าของพวกเขา
ส่วนรูปร่างก็ใกล้เคียงเผ่ามนุษย์ แต่กลับสูงใหญ่กว่าพอสมควร
คนในเผ่าสูงอยู่ที่ประมาณหนึ่งจั้งกว่า หน้ากากก็ไม่หูตาจมูก แต่เป็นรูปวาดต่างๆ แทน
เจตนาร้ายจากร่างพวกเขารุนแรงกว่าเผ่าเงาคันฉ่อง จุดที่สวี่ชิงเดินผ่าน เพียงแค่เห็นเขาก็อยากจะเข้ามาหาเรื่อง
แต่กลิ่นอายที่มาจากร่างสวี่ชิง ทำให้เผ่าผืนนภามากมายต้องเก็บงำเจตนาร้ายเอาไว้ แต่ก็มีพวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นกัน
ตลอดทางที่สวี่ชิงเดินไปตามเทือกเขา ก็เจอกับการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง
ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้แล้ว
เมืองของเผ่านี้ก็ใหญ่โตเช่นกัน ยิ่งมีกลิ่นเหม็นสาบที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าชนเผ่านี้สูดดมกลิ่นอายนี้ตลอดทั้งปี ดังนั้นสำหรับพวกเขาคือไม่ได้กลิ่น เคยชินกับทุกสิ่งในนี้นานแล้ว
เผ่ามนุษย์ในที่แห่งนี้ สวี่ชิงไม่เห็นเลย
เขาเห็นแค่ว่าในเมืองแห่งหนึ่งของเผ่าผืนนภา มีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่ง
เจ้าของคือสามีภรรยาเผ่าผืนนภาคู่หนึ่ง บนหน้ากากแฝงความเมตตาเปี่ยมล้ม แต่ในบรรดากระดูกมากมายที่แขวนอยู่ที่ประตู มีกระดูกมนุษย์อยู่ และมีกระดูกของเผ่าตัวเองด้วย
อ่อนแอ ก็ต้องถูกกลืนกิน
ไม่ว่าจะฝ่ายใด ล้วนเป็นเช่นนี้
ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ คนกินคนในระดับล่างก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย
“โลกาวินาศ…”
สวี่ชิงถอนใจเสียงเบา ออกจากที่นี่ กระทั่งมาถึงชายแดนเผ่าผืนนภา เขาก็มาถึงที่เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว
ทะเลเพลิงสวรรค์
สิ่งที่สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง เป็นหินหนืดสีแดงไร้ที่สิ้นสุด ในนั้นเปลวเพลิงปะทุราวกับไม่มีวันดับมอดชั่วนิรันดร์บดบังสายตา
ที่แห่งนี้กว้างไพศาล ต่อให้สวี่ชิงลอยไปขึ้นฟ้าและมองลงมาก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ท้องฟ้าที่นี่สว่างไสวไปหมดด้วยทะเลเพลิงที่สาดแสง ขณะที่แสงของเปลวเพลิงลุกโหม อุณหภูมิสูงถึงขีดสุดก็แผ่มาจากด้านหน้า
ยังมีเสียงครืนครันในทะเลเพลิงดังก้อง มองเห็นฟองอากาศบนผิวหินหนืดเดือดปะทุ สาดซัดไฟใต้ดินมหาศาลออกมาราวกับดอกไม้ทำล้ายล้างโลกดอกหนึ่งแบ่งบาน
จับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็พุ่งไปด้านหน้าหวีดหวิวอยู่ด้านบนขณะที่ดอกไม้ทำลายล้างโลกระเบิดทีละดอก
เขาไม่คิดจะสูดรับไฟของที่นี่ทันที แต่เตรียมตรวจสอบภาพรวมเสียหน่อย หาที่ฝึกบำเพ็ญที่เหมาะที่สุด
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าตอนที่ตนหลอมตะเกียงชีวิต จะเกิดเรื่องแปลกประหลาดจนเกิดความยุ่งยากและการสอดส่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นหรือไม่
และผู้บำเพ็ญที่นี่ก็มีไม่น้อย
ถึงอย่างไรไฟที่นี่ก็มีวิธีนำออกไปด้านนอกได้ หลังจากผ่านการเก็บรักษาระดับหนึ่ง ในขณะที่พลานุภาพไม่ธรรมดา ก็มีส่วนช่วยในการหลอมยาและหลอมศัสตราด้วย
จึงมีมูลค่าในการเป็นสินค้า
ยิ่งมีบางส่วนที่ถนัดวิถีไฟแต่เดิม ก็เลือกมาฝึกบำเพ็ญที่นี่เช่นกัน
และส่วนใหญ่ล้วนระแวดระวังตัว เมื่อมีผู้อื่นเข้าใกล้ ก็จะแผ่เจตนาร้ายออกมาทันที รักษาระยะห่างอย่างรวดเร็ว
แต่จากภาพรวม ส่วนใหญ่เป็นเผ่าเงาคันฉ่องกับเผ่าผืนนภา
และการไปมาระหว่างทะเลเพลิงสวรรค์นี้ตลอดปี พวกเขาจึงมีวิธีการมากมายในการหลีกเลี่ยงความร้อนของไฟ ยกระดับร่างกายในด้านพลังต้านทานที่นี่
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็พบสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ที่นี่มีผู้บำเพ็ญอยู่บางส่วน ในมือถือสิ่งที่เหมือนกับจานเข็มทิศ เดินไปด้านหน้าราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขายังไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับทะเลเพลิงสวรรค์ทุกด้าน และที่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปสอบถามด้วย ดังนั้นเขาจึงคอยสังเกตตามความเคยชิน
เป็นเช่นนี้ ระหว่างที่สังเกต สวี่ชิงพุ่งทะยานเหนือทะเลเพลิง แม้เขาข่มความเร็วเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ช้า เพียงแต่ช่วงเวลาสามวัน เขาก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของทะเลเพลิง
‘พื้นที่นี้ใหญ่โตเหลือเกิน หากอยากจะเดินสักรอบ คงใช้เวลาเนิ่นนานยิ่ง…’
แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญที่ถือจานเข็มทิศเหล่านั้น สวี่ชิงก็เห็นคำตอบแล้วในช่วงสามวันนี้
พวกเขากำลังมองหาก้อนหินสีขาวชนิดหนึ่ง
หินชนิดนี้คล้ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในทะเลเพลิงแห่งนี้ คล้ายกับ หินวิญญาณ แต่มูลค่าสูงกว่าอย่างชัดเจน อีกทั้งมีปริมาณไม่มาก มักจะซ่อนอยู่ใต้หินหนืด ต้องใช้จานเข็มทิศจับปฏิกิริยาแล้วไปเก็บมา
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างๆ
แต่อีกฝ่ายก็ระวังตัวอย่างมาก แผ่จิตอริออกมา สวี่ชิงก็รู้ขอบเขต จึงไม่เข้าไปใกล้ หลังจากหายสงสัยก็รีบจากมาอย่างรวดเร็ว
ทะยานต่อไปอีกหลายวัน จนสุดท้ายเข้าใจทะเลเพลิงอย่างถ่องแท้ และหลังจากที่เห็นผู้บำเพ็ญรอบๆ น้อยลง สวี่ชิงก็ล้มเลิกความคิดเดิม
“ลองที่นี่ดูก่อนสักหน่อยแล้วกัน!”
สวี่ชิงครุ่นคิด ก้มหน้ามองผิวน้ำทะเล จากนั้นยกมือแผ่เกราะป้องกันไปที่ร่างหลิงเอ๋อร์
หลิงเอ๋อร์รู้ว่าสวี่ชิงจะฝึกบำเพ็ญ จึงว่าง่ายไม่รบกวน เพียงแค่ส่งเสียงใสกังวานออกมา
“พี่สวี่ชิงต้องทำสำเร็จแน่ ข้าตอนนี้สำแดงพรสวรรค์ได้บ้างแล้ว ช่วยเหลือพี่สวี่ชิงสัมผัสรอบๆ ได้ว่ามีคนคิดร้ายอยู่หรือไม่!”
สวี่ชิงยิ้ม ในฟ้าดินที่ไม่รู้จัก สิ่งที่เขาเห็นในช่วงหลายวันนี้ล้วนเป็นความมืดมิด แต่เมื่อมีหลิงเอ๋อร์อยู่ด้วย กลับไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเลย
ดังนั้นหลังจากพยักหน้า สวี่ชิงจัดวางทุกอย่างเสร็จ ในดวงตาฉายแววเฝ้ารอพุ่งไปยังทะเลเบื้องล่าง
พริบตาที่พุ่งลงไป ทะเลเพลิงก็โหมขึ้นรอบตัวเขา ผลึกวารีสีม่วงในร่างสวี่ชิงสั่นสะเทือน จากการที่สวี่ชิงอ้าปากสูดรับ เปลวเพลิงรอบๆ พลันก็พุ่งเข้าไปในปาก หลังจากสวี่ชิงกลืนกินลงไป เขาก็ครุ่นคิด ยกมือขึ้นสัมผัสผิวหินหนืด
อุณหภูมิสูงมาก
แต่มือก็ยังอยู่ดี
‘ร่างนี้ของข้า น่าจะทานรับได้’ สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ก็ดำดิ่งลงไปในหินหนืดทันที
หลังจากร่างกายกว่าครึ่งจมลงไป สวี่ชิงก็สูดลมหายใจ เขาสัมผัสถึงอุณหภูมิสูงยิ่งที่โอบล้อมร่างกาย ความรู้สึกร้อนลวก กลายเป็นความเจ็บปวดทิ่มแทง
ลงไปอีกไม่ได้แล้ว
สวี่ชิงครุ่นคิด ระวังตัวรอบๆ พลางอ้าปาก สูดเปลวไฟรอบๆ ต่อไป
ไม่นานนัก ขณะที่ผลึกวารีสีม่วงในร่างกายเขาสูดรับอย่างต่อเนื่อง ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาหกสาย ส่องสว่างทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง
หมอกแห่งชะตาไม่คลุมเครือภายใต้แสงนี้แล้ว ตะเกียงแห่งชีวิตห้าดวงในนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น
สวี่ชิงเฝ้ารอเสียเต็มประดา แม้เขาจะควบคุมทิศทางส่องแสงที่เกิดจากผลึกวารี สีม่วงไม่ได้ แต่ตราบใดที่ส่องผ่านทะเลความรู้สึกเข้าไปในหมอกแห่งชะตา ดวงแรกที่จะได้รับแสงสว่างย่อมเป็นตะเกียงร่มดำ
ตะเกียงแห่งชีวิตที่เขาได้มาจากตำหนักเทพเกาะเงือกในตอนนั้น เวลานี้ด้วยการส่องสว่างของแสงทั้งหกสายนี้ก็เริ่มหลอมละลาย
ปลายแหลมที่เกิดขึ้นจากโครงร่มไม่ได้แหลมคมอีกต่อไป ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมมน จนกระทั่งกลายเป็นของเหลว ร่วงลงมา
ขณะที่ร่างเขาสั่นสะท้าน สะสารมหัศจรรย์ที่มาจากตะเกียงแห่งชีวิตส่วนหนึ่งกระจายไปในทะเลความรู้สึก ผสานเข้าไปในสายโลหิตของเขา
ทุกอย่าง เหมือนกับที่สวี่ชิงเคยพิสูจน์ไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย สูดลมหายใจลึก สูดรับเปลวเพลิงมากขึ้น ก่อตัวแสงสีม่วงหกสายอีกครั้ง หลอมละลายต่อ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ของเหลวหยดที่สองก็ร่วงลงมาจากตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำและระหว่างนี้ปราณก่อกำเนิดที่ก่อร่างจากตะเกียงแห่งชีวิตก็กลายเป็นภาพมายาเริ่ม เลือนรางจากการที่ตะเกียงแห่งชีวิตหลอมละลาย
สวี่ชิงหยุดลงทันที สังเกตอย่างละเอียด
จนกระทั่งยืนยันว่าปราณก่อกำเนิดของตนไม่ได้รับความเสียหาย แต่หลอมละลายผสานอยู่ในตะเกียงแห่งชีวิต หลังจากที่ผสานรวมกับมันแล้ว สวี่ชิงก็ถอนใจโล่ง ดำเนินการต่อ
เวลาผ่านไปสามวันเช่นนี้
ด้วยเปลวเพลิงที่เพียงพอ ขณะที่สวี่ชิงหลอมละลายตะเกียงแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่อง ร่มดำใหญ่ของเขาก็ค่อยๆ หลอมละลายไปสามส่วน
ตอนนี้ดูไม่เหมือนตะเกียงแห่งชีวิต กลายเป็นร่มพังๆ ไปแล้ว
ส่วนวัตถุมหัศจรรย์ที่ประกอบเป็นตะเกียงแห่งชีวิตในสายโลหิตของเขาก็ยกระดับความเข้มข้นขึ้นเช่นกัน
สวี่ชิงรู้สึกถึงบางอย่างที่แรงกล้า หลังจากที่ระดับความเข้มข้นยกระดับถึงระดับหนึ่งก็น่าจะสร้างตะเกียงแห่งชีวิตที่เป็นของตนเองขึ้นมาได้
คิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็หายใจหอบถี่ แต่ยับยั้งการสูดรับเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องไว้ ลุกขึ้นแล้วทะยานออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
มุ่งหน้าต่อเนื่องไปอีกหนึ่งวัน เปลี่ยนตำแหน่งแล้วแช่ร่างลงไปหินหนืด และสูดรับต่ออีกครั้ง
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย นิสัยระแวดระวังและรอบคอบของสวี่ชิงก็เหมือนกลับไปยังตอนที่พึ่งเข้าไปอยู่ในเจ็ดเนตรโลหิตตอนนั้น
เขารู้ว่าตนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ระดับความอันตรายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
หลังจากเปลี่ยนตำแหน่ง สวี่ชิงก็สังเกตรอบด้านก่อน ยืนยันว่าที่นี่ไม่มีปัญหา
“น่าเสียดาย ทะเลเพลิงแห่งนี้ไม่เหมาะจะวางค่ายกล ไม่เช่นนั้นก็จะง่ายขึ้นมาก”
สวี่ชิงพึมพำ หลังจากครุ่นคิด ร่างเขาก็ค่อยๆ เลือนราง กลายเป็นสภาวะกึ่งโปร่งใสของเผ่าพรางมารยา
ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำที่ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ด้วยการที่แสงจากผลึกวารีสีม่วงส่องสะท้อนต่อเนื่อง ก็หลอมละลายอีกครั้ง เพียงแต่ยิ่งถึงตอนสุดท้าย การหลอมละลายของตะเกียงแห่งชีวิตก็ยิ่งช้า
โดยเฉพาะที่ใต้ตะเกียงยิ่งเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นผ่านไปสามวัน ตอนที่สวี่ชิงเปลี่ยนตำแหน่ง การหลอมละลายของตะเกียงแห่งชีวิตก็มาถึงห้าส่วน
‘ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา!’
สวี่ชิงไม่รีบร้อน รักษาจังหวะของตนเองต่อไป ทุกที่ล้วนอยู่ไม่เกินสามวันเปลี่ยนตำแหน่งไปซ้ำๆ สูดรับไปซ้ำๆ
ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำของเขาก็หลอมละลายจากห้าส่วนค่อยๆ ไปถึงหกส่วน เจ็ดส่วน แปดส่วนเช่นนี้…
ระหว่างนี้ ก็มีผลึกสีแดงก่อตัวขึ้นบนร่างเขา ทุกครั้งที่เกิดขึ้นชิ้นหนึ่ง ก็จะถูกเขาเก็บไปทันที
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่จะเปิดเผยไว้ด้านนอกคงไม่ดีเท่าไรนัก
และความรอบคอบเช่นนี้ของเขา ก็ใช่ว่าไม่มีประโยชน์
“ผลึกเพลิงสวรรค์ชั้นสูง!!”
เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ กลุ่มเล็กๆ ที่ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องรวมตัวกันกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้กำลังทะยานรุดหน้ากลางอากาศอย่างรวดเร็ว
พวกเขาแตกต่างกับเผ่าเงาคันฉ่องที่สวี่ชิงเคยเจอมาทั้งหมด ร่างกายไม่ใช่กระจก แต่เป็นร่างที่มีกายเนื้อ และรูปร่างก็ไม่เหมือนกัน กายเนื้อมาจากชนเผ่าต่างๆ
และที่หน้าผากของทุกคนล้วนมีเศษกระจกทรงข้าวหลามตัดชิ้นหนึ่งงอกออกมา เป็นสีแดงชาด ไม่มีรอยแตก และไม่มีคราบสกปรก ดูโปร่งใสอย่างยิ่ง
พวกเขา คือชนรุ่นหลังของผู้สูงศักดิ์ในเผ่าเงาคันฉ่อง สายโลหิตเหนือกว่าคนทั่วไปลิบลับ ทั้งยังบังคับต่างเผ่าให้กลายเป็นหุ่นเชิดของตัวเองด้วย
ผู้นำ คือผู้บำเพ็ญเงาคันฉ่องที่แผ่นหลังมีปีกสามคู่ ทั่วร่างเขาเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำ มือขวาถือจานเข็มทิศ ด้านบนทำสัญลักษณ์ไว้จุดหนึ่ง เปล่งแสงสีแดงวาววาม
“วันนี้โชคดีไม่หยอก เจอผลึกเพลิงสวรรค์ชั้นสูงเม็ดหนึ่งด้วย!”
“ผลึกเพลิงสวรรค์ชั้นสูงนี้ ส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ในใต้ทะเลลึก บางครั้งจะมีไม่กี่เม็ดหลุดออกมาจากการปะทุพลุ่งพล่านของดอกหินหนืด แต่จำนวนก็มีไม่มากนัก”
“พวกเรารีบไปกันเถอะ หากไปช้าผู้อื่นคงพบเสียก่อน ต้องเข่นฆ่ากันอีก”
ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องเหล่านี้เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม สีหน้าแฝงความตื่นเต้นเร่งความเร็วจุดหน้าไป
แต่พริบตาต่อมา พวกเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไป จุดสีแดงบนแผนที่ในมือของคนที่เป็นผู้นำสลายหายไปแล้ว
“ให้ตายเถอะ ถูกผู้อื่นเก็บไปแล้ว!”
“พวกเราไปกันต่อ ไปดูว่าใครแย่งผลึกนี้ไป!”
เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เกิดแค่กับพวกเขา ตอนนี้เหนือผืนทะเลอีกแห่งยังมีผู้บำเพ็ญอีกส่วนหนึ่งต่างกำลังค้นหา กระทั่งยังมีส่วนหนึ่งใช่ว่าจะสังเกตเห็นแค่ครั้งเดียว
“ทุกๆ สามวันจะปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วทุกครั้งที่ปรากฏก็หายไปในพริบตา”
“ผู้บำเพ็ญที่ได้รับผลึกเพลิงสวรรค์คนนั้น หาแล้วเก็บไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”
ยิ่งไกลออกไป ผู้บำเพ็ญที่มาจากเผ่าผืนนภา ก็ใช้จานเข็มทิศสังเกตเห็นภาพนี้เช่นกัน ส่วนผลึกเพลิงสวรรค์ชั้นสูง คนนอกไม่ทราบประโยชน์ของมัน แต่พวกเขาที่อยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี รับรู้มูลค่าของมันเป็นอย่างดี
“สิ่งของสำหรับบูชายัญเช่นนี้ ปรากฏตัวในช่วงเวลาสั้นๆ จะต้องมีเหตุผล!”
“ไปเชิญราชครูมา เขามีจานเข็มทิศ กำหนดตำแหน่งได้แม่นยำกว่า กระทั่งยังทะลวงกล่องกันไฟได้ระดับหนึ่งด้วย!”
ขณะที่โลกภายนอกมีลมโหมเมฆทะลัก สวี่ชิงกำลังตั้งอกตั้งใจหลอมตะเกียงแห่งชีวิต และตอนนี้ตะเกียงร่มดำของเขาก็หลอมละลายไปเก้าส่วนแล้ว ห่างจากการหลอมละลายเสร็จสมบูรณ์อีกเพียงนิดเดียว
“วันสุดท้าย!”
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววประหลาดใจ มองไปรอบๆ ถึงเขาจะไม่รับรู้ระลอกคลื่นจากโลกภายนอก ทว่าหลายวันมานี้อสูรสมุทรบรรพกาลสื่อลางสังหรณ์มาหลายครั้ง สิ่งนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก
เขาจึงก้มหน้าลงมองหินหนืดที่หายเข้าไปในหน้าอกตน กัดฟันกรอด ส่งหลิงเอ๋อร์เข้าไปในวังสวรรค์อสูรสมุทรบรรพกาล จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในหินหนืดทันที
ชั่วพริบตา เมื่อจมลงไปในหินหนืดแล้ว ทุกอย่างรอบด้านก็เป็นปกติ
แต่เขาไม่อาจลงลึกเกินไปได้ มากสุดก็ได้แค่ระดับความลึกครึ่งจั้ง ขณะอยู่ในความร้อนไม่อาจพรรณนาได้ที่กำลังแผ่ซไปทั่วร่าง สวี่ชิงก็กัดฟัน พุ่งทะยานในหินหนืด
ใช้วิธีนี้สลายกลิ่นอายและร่องรอยของตนเอง
กระทั่งห่างจากจุดที่เคยอยู่ หลังจากมาถึงขีดจำกัดของเขา ก็นั่งลงขัดสมาธิ สูดรับต่อทั่วทั้งร่าง
พริบตาต่อมา เปลวเพลิงมหาศาลก็หลั่งทะลักเข้าในร่างกายสวี่ชิง ผลึกวารีสีม่วงสั่นเล็กน้อย แผ่แสงที่เจิดจ้ามากกว่าเดิมออกมา
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
สิบชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำของสวี่ชิงส่งเสียงแตกสลายออกมา ส่วนที่เหลืออยู่ ในที่สุดก็หลอมละลายเป็นของเหลวขุ่นมัว ร่วงลงไปในทะเลความรู้สึกสวี่ชิง
เสียงดังจ๋อม หยดน้ำกระจาย เสียงดังก้องไม่หยุด
ในที่สุดตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำก็ถูกหลอมละลายจนหมดโดยใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน
เสียงสะท้อนก้อง เหมือนลมพัดผิวน้ำ โหมคลื่นวนนับไม่ถ้วน และยังพัดไปยังท้องนภา ชักนำทัณฑ์สวรรค์ ระเบิดเสียงกึกก้อง
พริบตานี้ ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรงโดยมิอาจควบคุมได้ เขาที่อยู่ในหินหนืด ลืมตาขึ้นทันทีอย่างไม่เกรงกลัวความร้อนระอุ ปราณหมอกกลุ่มหนึ่งปกคลุมในแววตาเขาอย่างรวดเร็ว กำลังบิดเบี้ยว กำลังแปรเปลี่ยน ทำให้เขาไม่ได้รับการโจมตีจากหินหนืด
และวัตถุลึกลับที่ประกอบกันเป็นตะเกียงแห่งชีวิตในสายโลหิตเขาตอนนี้ ระดับความเข้มข้นของมันก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด
จากทัณฑ์สวรรค์ที่ส่งเสียงครืนครันต่อเนื่อง จากการที่หินหนืดรอบตัวสวี่ชิงปะทุ คลื่นวนขนาดยักษ์วงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาเหนือทะเลเพลิงโดยมีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง
รอบด้านบิดเบี้ยว ทั้งๆ ที่ความเร็วคลื่นวนหมุนวนรวดเร็วมาก แต่อาณาเขตทะเลเพลิงที่ไกลออกไปหนึ่งพันจั้งคล้ายจับสังเกตไม่ได้ ไม่มีการถูดดึงดูดความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นปกติ
มีเพียงในอาณาเขตพันจั้ง ที่เวลาเหมือนจะแตกต่างออกไป
ขณะที่คลื่นวนหมุนวนอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงขัดสมาธิอยู่ในนั้น ร่างเปล่งแสงวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดออกมาไม่หยุด กลิ่นอายก้าวกระโดดของชีวิตวูบหนึ่งกำลังก่อตัวที่ร่างเขา กำลังปะทุ
และพายุคลั่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง ยังจุดที่ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำสลายหายไป
ตะเกียงแห่งชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่ใช้สายโลหิตของสวี่ชิงเป็นต้นกำเนิด เป็นหนึ่งไม่มีสองในฟ้าดินนี้!
ไม่ว่าจะจักรพรรดิโบราณองค์ใด หรือเจ้าเหนือหัว การสร้างตะเกียงแห่งชีวิตของพวกเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้
และนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน ผู้ที่สำเร็จคุณสมบัติสายเลือดเจ้าเหนือหัวได้ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มีเพียงแค่หยิบมือเดียว น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ดังนั้น การปรากฏของตะเกียงแห่งชีวิตดวงใหม่ก็เป็นเช่นนี้
แต่ตอนนี้ ตะเกียงแห่งชีวิตที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนโลกมนุษย์ มันกำลังก่อกำเนิดขึ้น!
อันดับแรกสิ่งที่ปรากฏขึ้น คือหน้าปัดหยกทรงกลมสีม่วง มันตะแคงและตั้งขึ้น รอบๆ มีเครื่องหมายทั้งสิบสองชั่วยาม และทุกเครื่องหมายล้วนมีอักขระมากมายมหาศาล ทำให้หน้าปัดหยกสีม่วงนี้ดูซับซ้อนอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยความลึกลับ
และตำแหน่งตรงกลาง ตอนนี้ภายใต้การรวมตัวกันของเส้นใยสีม่วงจากทั้งร่างสวี่ชิงก็ค่อยๆ กลายเป็นเข็มนาฬิกาอันหนึ่งชี้ขึ้นอยู่ด้านบน!!
ยิ่งมีตะเกียงไฟดวงหนึ่ง ลอยขึ้นมาเวียนวนรอบๆ โดยมีเข็มนาฬิกาเป็นศูนย์กลาง
เมื่อมองตะเกียงไฟนี้อย่างละเอียด จะเห็นว่าหน้าปัดด้านในของมัน คือปราณก่อกำเนิดของสวี่ชิง!
แสงที่เขาแผ่ออกมาส่องไปที่เข็มนาฬิกา ราวกับสร้างเงาตกกระทบให้กับเข็มนาฬิกาในหน้าปัดกลมนั้น กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ!
สิ่งนี้คือ…นาฬิกาแดด!
ตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิง!
มีหยกสีม่วงเป็นหน้าปัด รัตนชาติกึ่งสูงค่าเป็นเข็ม
ดวงไฟเป็นวงแหวน กาลเวลาเป็นเงา
คือนาฬิกาแดดที่คืบคลาน กาลเวลาที่นิจนิรันดร์ ยามที่สู้กับสวรรค์ หาไม่สักวันจะผันแปร!