Skip to content

Outside Of Time 556

บทที่ 556 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง

ที่เรียกว่าเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า เพราะในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

หลักการการเกิดขึ้นของมันก็เล่าลือแตกต่างกันไป บางคนบอกว่าเกิดจากการชักนำของกระแสพลังของพระจันทร์สีชาด เพราะยิ่งพระจันทร์สีชาดใกล้มาเยือนเท่าไร เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าก็ปรากฏบ่อยครั้งเท่านั้น

บางคนก็บอกว่าเจ้าเหนือหัวที่เคยถูกพระจันทร์สีชาดสะกดจนตายคนนั้นกำลังกลับมา

และทุกครั้งที่เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าปรากฏ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจะสว่างไสวไปหมด ทะเลเพลิงโหมขึ้นมาบนฟากฟ้าจากทางทิศตะวันออก จวบจนปกคลุมทั้งท้องนภา

ยิ่งอยู่ใกล้ทิศตะวันออก แสงและความร้อนระอุก็ยิ่งรุนแรง ขณะเดียวกันยังมีฝนเพลิงในระดับที่แตกต่างกันโปรยปรายลงมาด้วย

ติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน ทะเลเพลิงบนท้องฟ้าถึงจะหวนย้อนกลับไปในทะเลเพลิงสวรรค์ด้านตะวันออกอีกครั้ง นี่นับว่าเป็นวัฏจักรหนึ่งครั้ง

ในระหว่างนี้ ทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราด้านตะวันออก นอกจากพื้นที่อย่างแท่นบวงสรวงเล็ก ที่อื่นส่วนใหญ่ล้วนลุกเป็นไฟในฝนเพลิง

ไม่ว่าจะเมืองหรือว่าต้นไม้ใบหญ้า ส่วนใหญ่กลายเป็นฝุ่นธุลีกันหมด

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองในพื้นที่ความร่วมมือสองเผ่าส่วนใหญ่จึงสร้างจากดินเผาหยาบๆ มีเพียงเมืองศักดิ์สิทธิ์ร่วมของพวกเขาถึงมีการสนับสนุนจากผู้วิเศษของทั้งสองเผ่า ผนวกกับใช้ค่ายกลพิเศษบางอย่างฝืนรับมือ แต่ก็ยังเลี่ยงความเสียหายไม่ได้

ทุกครั้งที่เพลิงสวรรค์ย้อนกลับไปก็ต้องเริ่มสร้างใหม่ ดินก็ต้องพรวนเพื่อชะล้างพิษเพลิง นี่เป็นต้นกำเนิดการเพาะปลูกของคนธรรมดา

ดีที่เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า มักจะเกิดขึ้นทุกสิบปี ไม่ได้บ่อยมากนัก ส่วนที่ถูกทำลายจะเป็นทางตะวันออกเป็นหลัก พื้นที่อื่นๆ ผลกระทบไม่มากนัก และผู้บำเพ็ญก็ใช้วิชาเวทในการสร้าง ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญอันใด

ส่วนคนธรรมดา ต้องหาวิธีเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ล่วงหน้าเพื่อหลบภัย แต่ก็ต้องจ่ายออกไปไม่น้อย หากมีปัจจัยไม่เพียงพอ…เช่นนั้นก็ทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน

ใช้คุณสมบัติในการปรับตัวให้เข้ากับเพลิงสวรรค์จากรุ่นสู่รุ่นของพวกเขาหลบภัยพิบัติจากเพลิงนี้

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมสวี่ชิงถึงเห็นทหารชายแดนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน พวกเขาต้องแยกย้ายไปอยู่ใต้ดินก่อนที่เพลิงสวรรค์จะมาเยือน ทำให้ตัวเองผสานเป็นหนึ่งเดียวกับดิน

เพียงแต่วิธีเหล่านี้ เป็นสิ่งพวกเขาพัฒนามาจากการปรับตัวในที่แห่งนี้ แต่สวี่ชิงไม่มี

ตอนนี้ใต้ดินที่เขาอยู่ รอบด้านร้อนระอุอย่างยิ่ง ดินเริ่มตกผลึก ขณะที่อุณหภูมิสูงปกคลุม ความรู้สึกไม่ค่อยสบายรุนแรงก็ปรากฏขึ้นในใจสวี่ชิง

“อุณหภูมิเกือบจะใกล้เคียงกับที่ผิวหินหนืดแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…”

เหงื่อผุดที่หน้าผากสวี่ชิง ร่างกายเหนียวเหนอะหนะ เริ่มจะกักเก็บน้ำในร่างกายไว้ไม่อยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีเลาๆ หนีไปยังพื้นดินส่วนที่ลึกยิ่งกว่า

จนมาถึงบริเวณที่ลึกในระดับหนึ่งถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ความรู้สึกวิกฤติที่มาจากจิตใจรวมถึงลางสังหรณ์ที่เกิดจากการอยู่ไม่สุขของอสูรสมุทรบรรพกาลยังคงรุนแรง

เขาจึงไม่ได้เก็บประสาทสัมผัสเทพกลับมา สังเกตโลกภายนอกอย่างใกล้ชิด

ในสัมผัสของเขา ท้องฟ้าโลกภายนอกเวลานี้แสงเพลิงแสบตา หินหนืดตีเกลียวบนฟากฟ้าเหมือนถูกขับไล่ออกไป แผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่องจากการทำปางมือของแขนขาดสองข้าง

ขณะเดียวกันฝนเพลิงมหาศาลก็โปรยปรายลงมา ยอดเขาหลายแห่งเริ่มหลอมละลาย ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

เหนือพื้นดินใต้ผืนฟ้าเป็นเปลวเพลิงไม่รู้จบ เขม่าควันลอยฟุ้ง ความร้อนระอุน่าครั่นคร้าม

ระดับความน่ากลัวของมัน จากที่สวี่ชิงวิเคราะห์ เทียบเท่ากับความร้อนตอนที่ตนอยู่ในหินหนืดลึกหนึ่งจั้งได้

“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!”

ความรู้สึกวิกฤติยิ่งรุนแรงขึ้นในใจ เขามองไปยังส่วนที่ลึกกว่าของแพ้นดิน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

จะลงไปต่อก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่สุดท้ายร่างกายก็มีขีดจำกัด ถึงอย่างไรในพื้นดินของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็มีแรงกดดันอยู่ หากสวี่ชิงขุดลึกเกินไป ร่างกายก็ทานรับไม่ไหวเช่นกัน

‘ยิ่งไม่รู้ว่าเพลิงสวรรค์แผ่คลื่นความร้อนไปถึงส่วนที่ลึกยิ่งกว่านี้หรือไม่…ถ้าหากพลังที่แผ่ออกมาเหนือกว่าขีดจำกัดที่ข้าขุดลงไปได้ สำหรับข้าก็คือสกานการณ์สิ้นหวัง’

สวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจ เขาสัมผัสได้ว่านี่คือเพลิงสวรรค์เพียงวันแรก หลังจากนี้จะต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่

สวี่ชิงจึงรีบล้วงแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา

ในแผ่นหยกนี้ เป็นแผนที่ง่ายๆ ที่ตวนมู่ฉางชายชราเผ่ามนุษย์มอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นเขาที่บอกสวี่ชิงว่าเพลิงสวรรค์กำลังมา บอกว่าหากไม่มีที่ไป ก็มาที่สถานที่ในแผนที่นี้ได้

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็ตัดสินใจว่าจะลองไปดูก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยลงไปใต้ดินแล้วเดิมพันดูสักตั้ง หรืออาจจะออกจากพื้นที่ความร่วมมือของสองเผ่าด้วยความเร็วทั้งหมด ให้ไกลจากต้นกำเนิดเพลิง

คิดถึงจุดนี้ เขาก็ร่างไหววูบ พุ่งไปบนพื้น

เขาไม่ได้เลือกหนีไปทางใต้ดิน หากทำเช่นนี้จะค่อนข้างช้า เพราะขณะที่พุ่งไป ร่างกายเขาก็อยู่ท่ามกลางอุณหภูมิสูง ยิ่งเข้าใกล้หน้าดิน อุณหภูมิก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น

จนกระทั่งตอนที่ทะลวงดินขึ้นมาปรากฏตัวบนพื้น ทั่วร่างสวี่ชิงก็ปรากฏรอยแผลไฟไหม้

ความปวดแสบปวดร้อนลุกลามไปทั่ว

อุณหภูมิระหว่างฟ้าดินเหนือกว่าความร้อนระอุใต้หินหนืดหนึ่งจั้งไปแล้ว ต่อให้ร่างกายสวี่ชิงจะไม่ธรรมดาและพร้อมฟื้นฟู แต่ความปวดแสบปวดร้อนที่ถูกแผดเผานั่นยังคงรุนแรง

ที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลเพลิงผืนนี้โจมตีจิตวิญญาณด้วย ต่อให้สวี่ชิงจะมีตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดสนับสนุน แต่ก็ยังทนรับได้ไม่นานนัก

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถหลอมตะเกียงแห่งชีวิตในทะเลเพลิงสวรรค์เป็นเวลานานได้

กายเนื้อคือด้านหนึ่ง จิตวิญญาณก็เป็นอีกด้านหนึ่ง

โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกายเนื้อ จิตวิญญาณของสวี่ชิงอ่อนแอกว่ามาก

‘อยู่นานเกินไปไม่ได้’ อากาศที่สวี่ชิงหายใจเข้าไปล้วนเป็นไอร้อน เมื่อเข้าไปในร่างกายก็ราวกับกำลังแผดเผาทั้งภายในและภายนอก

เขาพลันพุ่งไปอย่างไม่ลังเล ขณะที่ทะยานอย่างรวดเร็วบนทะเลเพลิง ก็ล้วงเอาร่มคันนั้นที่ตวนมู่ฉางมอบให้ เมื่อกางร่มก็ปิดกั้นอุณหภูมิได้บ้าง

สวี่ชิงสบายตัวทันที เร่งความเร็วขึ้น

ขณะที่หวีดหวิว ทั้งตัวคนก็โหมลมพายุ ทุกแห่งที่ผ่าน เปลวเพลิงก็ครืนครันตามมา

ผ่านไปสองวัน อุณหภูมิโลกภายนอกก็ยิ่งน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ที่เห็นทั้งหมดล้วนเป็นทะเลเพลิง เลือนรางบิดเบี้ยวไปหมด ประสาทสัมผัสเทพถูกตัดขาด ส่วนร่มของเขาคันนั้นตอนนี้ก็เริ่มผุพัง

ดีที่จุดที่ทำสัญลักษณ์ในแผ่นหยกก็ปรากฏอยู่ลิบๆ แล้ว

ที่นั่นดูไม่ได้แปลกพิสดารอะไร เดิมน่าจะเป็นหลุมร้างที่ทรุดตัวลงไป ตอนนี้ในทะเลเพลิงหลอมละลายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย

สวี่ชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว กวาดมองรอบหนึ่ง ขมวดคิ้ว

ดูอย่างไรที่นี่ก็ไม่เหมือนสถานที่ที่หลบภัยได้ แม้ว่าจะมุดเข้าไปในรอยแยกก็สามารถเข้าไปด้านในหลุมได้ แต่ความร้อนที่แผ่ซ่านอยู่ด้านในก็ไม่ด้อยกว่าด้านนอกเลย

‘น่าเสียดายที่ประสาทสัมผัสเทพถูกปิดกั้น แผ่ออกไปไม่ได้กว้างนัก ยากจะสัมผัสได้มากกว่านี้’

สวี่ชิงครุ่นคิด กวาตามองร่มใกล้จะพังของตนเอง จากนั้นก็มองไปที่หลุม

‘แต่จากท่าทีของตวนมู่ฉางตอนที่อยู่ในทะเลเพลิง หากเป็นสถานที่หลบซ่อนจริงๆ ก็สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรหากถูกมองเห็นได้ตลอด ก็ไม่ใช่ที่ซ่อนตัวแล้ว’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด โน้มตัวลงไหววูบ เข้าไปในรอยแยกหลุมร้างตรงหน้า เพิ่งก้าวเข้าไป พลังความร้อนก็ปะทะมาที่หน้า

สวี่ชิงเงียบนิ่งไม่ส่งเสียง รักษาความระแวดระวัง เดินต่อไปด้านหน้า เขาเตรียมจะเข้าไปดูสถานการณ์สักระยะแล้ว

จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็ยังไปไม่ถึงปลายทางของหลุมทรุดตัวนี้ ส่วนพลังความร้อนยังคงรุนแรง ตอนที่สวี่ชิงขมวดคิ้ว จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เงยหน้ามองไปไกลๆ

ท่ามกลางความเลือนราง เขาเห็นเงาคนร่างหนึ่ง นอนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน

มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย มองออกแค่ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะสวมเกราะหนาๆ มีร่มคันหนึ่งกางไว้ข้างๆ คอยสกัดกั้นอุณหภูมิสูงให้เขา

นี่เป็นร่างเพียงร่างเดียวที่สวี่ชิงได้พบหลังจากเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า เขาจึงหรี่ตาลง เจ้าเงาแผ่ขยายออกไปปกคลุมก่อน จวบจนหลังจากที่เจ้าเงาสื่อคลื่นอารมณ์มา สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ พุ่งตรงหวีดหวิวไปหาอีกฝ่าย

เพียงพริบตา เขาก็มาถึงด้านหน้าร่างนี้

ด้วยระยะแค่นี้ ต่อให้สัมผัสถูกปิดกั้น แต่สวี่ชิงก็ยังสังเกตเห็น

นี่เป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง พลังบำเพ็ญประมาณสร้างฐานไฟชีวิตสามดวง ตอนนี้อยู่ในสภาพร่อแร่ ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ

เขาสวมเกราะสีดำทั้งตัว ห่อหุ้มทุกส่วนไว้ด้านใน ส่วนวัสดุของชุดเกราะนี้ก็พิเศษยิ่ง สามารถปิดกั้นอุณหภูมิสูงได้ระดับหนึ่ง

ร่มที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เงยหน้ามองไปยังส่วนลึกของหลุมร้าง ยกมือคว้าร่างนี้ ทะยานต่อไปเบื้องหน้า

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเช่นนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็มาถึงทางตันภายในหลุม ที่นั่นไม่มีอะไรเลย ดินตกผลึกรอบด้าน อุณหภูมิสูงรวมตัวกัน ทำให้ที่นี่ร้อนระอุรุนแรงยิ่งกว่า

ยืนอยู่ตรงนี้ สวี่ชิงมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยออกมา

“ผู้อาวุโส ข้าเก็บคนผู้นี้มาระหว่างทาง คงมาหาท่านกระมัง?”

เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกไป เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่ง ก็ดังลอดออกมาจากด้านในกำแพง

“ผู้คนในชนเผ่าที่ไม่เคารพกฎกติกา รับมาก็ไร้ประโยชน์!”

แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่กำแพงข้างๆ ก็บิดเบี้ยวกลายเป็นคลื่นวน ร่างของตวนมู่ฉางเดินออกมา ยกมือขวาขึ้น คว้าเผ่ามนุษย์ที่สวี่ชิงเก็บมาคนนั้นผ่านอากาศไป

สวี่ชิงปล่อยมือ ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ในชุดเกราะคนนั้นก็พุ่งไปที่คลื่นวน หลังจากตวนมู่ฉางคว้าไว้ก็โยนไปด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้ามองสวี่ชิง

“เจ้าหนู เจ้ามาที่นี่ทำไม”

หลังจากพูดคุยกันหลายครั้ง สวี่ชิงใคร่ครวญการกระทำรวมถึงถามทั้งๆ ที่รู้คำถามอยู่แล้วของชายชราผู้นี้เล็กน้อย จึงไม่กล่าวอะไรถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมอบแผ่นหยกให้ แต่เข้าประเด็นทันที

“หนึ่งวัน หนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณ”

ชายชราแค่นเสียงเย็น

“หนึ่งวันหนึ่งพัน!”

“ตกลง”

สวี่ชิงพยักหน้า

ชายชรามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ถอยหลังไปสองสามก้าว

สวี่ชิงหรี่ตา พิษต้องห้ามในร่างกายแผ่ซ่าน หลังจากเตรียมกลไกที่หากถูกซุ่มโจมตีจะปะทุขึ้นทันทีเสร็จ ก็ก้าวเท้าไหววูบ พุ่งไปที่คลื่นวน

เมื่อก้าวเข้าไป ร่างเขาก็หายไป คลื่นวนก็หายไปเช่นกัน ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ

และอีกด้านของผนังนี้ ตอนที่สวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น ก็เป็นด้านในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง รอบๆ มีรูปปั้นไม่สมประกอบวางระเกะระกะอยู่ไม่น้อย บ้างก็ไม่มีหัว บ้างก็ไม่มีแขนขา

นอกจากนี้ ทั่วทั้งถ้ำใต้ดินก็ว่างโล่ง

ส่วนชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น ก็ไม่เห็นแม้เงา มีเพียงตวนมู่ฉางที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนคอของรูปปั้นไม่มีหัวตัวหนึ่งไกลๆ จ้องสวี่ชิงเขม็ง

สวี่ชิงสำรวจรอบๆ อย่างรวดเร็ว และลองสัมผัสด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นดวงตาก็แข็งค้าง

ทางเข้าด้านหลังเขา เป็นกำแพงขนาดใหญ่ ด้านบนวางหน้ากากไว้นับพันชิ้นรวมถึงกระจกที่จำนวนพอๆ กัน

หน้ากากเหล่านี้ล้วนเป็นของเผ่าผืนนภาที่ตายไปแล้ว หลอมด้วยวิธีการพิเศษ กระจกเองก็เช่นกัน

เผ่าผืนนภาที่จะลงมือกับสวี่ชิงตอนนั้น หน้ากากเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย

“เพื่อจะปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ ทุกรุ่นของสองเผ่านี้พัฒนาความสามารถไปไม่น้อย ใช้พวกเขาสกัดกั้นทะเลเพลิง ผนวกวิชาพิเศษรวมถึงทำเลของที่นี่ สามารถหลบเลี่ยงเพลิงสวรรค์ได้ระดับหนึ่ง”

ชายชราเอ่ยเสียงราบเรียบ น้ำเสียงแฝงแววภาคภูมิใจเล็กน้อย

“ปกติเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าจะคงอยู่หนึ่งร้อยวัน วันละหนึ่งพัน หนึ่งร้อยวันเท่ากับสองแสนก้อนหินวิญญาณ เอามาสิ”

สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองชายชราผาดหนึ่ง เอ่ยอย่างตั้งใจ

“หนึ่งร้อยวันก็หนึ่งแสนสิ”

“คนละหนึ่งแสน เจ้ายังมีเจ้างูตัวนั้นด้วย ไม่ใช่สองแสนหรือไร!” ชายชราถลึงตา

“ข้าไม่มีหินวิญญาณมากถึงเพียงนั้น”

สวี่ชิงกล่าวตามความจริง เขามีตั๋ววิญญาณมากมาย แต่หินวิญญาณบนตัวมีอยู่ไม่เท่าไร จึงล้วงอาวุธเวทชิ้นหนึ่งออกมาวางข้างๆ

“ขอใช้สิ่งนี้ค้ำไว้ก่อน”

ชายชรากวาดตามอง ยกมือคว้ามา พยักหน้า

“ก็ได้”

พูดจบ แววตาเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็น น้ำเสียงแฝงจิตสังหาร เอ่ยช้าเนิบ

“เห็นแก่เจ้าที่เป็นเผ่ามนุษย์ ครั้งนี้ข้าถึงช่วยเจ้า แต่เจ้าฟังให้ดี ด้านนอกถ้ำหินนี้ล้วนเป็นพื้นที่ต้องห้าม หากเจ้าบุกรุกเข้าไป…ก็อย่าตำหนิข้าว่าไม่เห็นใจเผ่ามนุษย์ด้วยกัน!”

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

ชายชรามองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกผาดหนึ่ง หันหลังร่างไหววูบ หายไปจากในถ้ำหิน

สวี่ชิงสีหน้าปกติ หลังจากสำรวจไปรอบๆ มั่นใจว่าที่นี่ไม่มีปัญหา รูปปั้นเหล่านั้นสวี่ชิงก็มองออกว่าเก่าแก่มาก ในบรรดานี้ไม่มีเผ่ามนุษย์ แต่เป็นมังกรอสรพิษเลื้อยวนร่าง ฉายแววก้าวร้าวออกมา

แม้ไม่สมประกอบเลยสักชิ้น แต่มองรวมๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนที่รูปปั้นเหล่านี้ยังคงสมบูรณ์ครบถ้วนล้วนอยู่ในท่ากราบไหว้บูชา และที่แห่งนี้ก็มืดมนเยือกเย็น ยิ่งคล้ายกับสุสานแห่งหนึ่ง

‘หรือว่าเดิมทีที่นี่จะเป็นสุสาน’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หารูปปั้นตัวหนึ่ง ตอนที่นั่งลงขัดสมาธิ หลิงเอ๋อร์ก็มุดออกมาจากในแขนเสื้อมองไปรอบๆ เช่นกัน เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“พี่สวี่ชิง เหมือนที่นี่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณบรรพกาลของพวกข้าเลยเจ้าค่ะ”

สวี่ชิงใจกระตุก มองไปทางหลิงเอ๋อร์

หลิงเอ๋อร์มองรอบๆ อย่างละเอียด เอ่ยเสียงเบา

“พี่สวี่ชิง รูปปั้นเหล่านั้น เป็นรูปปั้นของเผ่าวิญญาณบรรพกาลจริงๆ เผ่าของพวกเราตอนเด็กๆ จะเป็นงู เมื่อเติบโตถึงจะแปลงร่างเป็นคน หากสายโลหิตเข้มข้น เช่นนั้นหลังจากพลังบำเพ็ญทำลายพันธนาการได้ ก็จะมีมังกรสวรรค์เคียงกาย นับจากนั้นจะมีมังกรอสรพิษคุ้มครอง อยู่ยงคงกระพัน

“จากลักษณะที่นี่ เป็นสุสานของนักปราชญ์สักคนของเผ่าข้า

“ปกติแล้ว สุสานของเผ่าข้ามีหลายชั้น ด้านล่างนี้น่าจะมีห้องสุสานที่ใหญ่ยิ่งกว่า ที่นี่เป็นแค่ชั้นแรกเท่านั้นเจ้าค่ะพี่สวี่ชิง

“ข้าสัมผัสได้ ว่าผนึกต้องห้ามของสุสานยังอยู่ พี่สวี่ชิง ข้าสามารถเปิดทางเข้าชั้นต่อไปได้เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์ส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง นางรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ช่วยเหลือพี่สวี่ชิงได้แล้ว

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็มองรอบๆ อย่างละเอียด จากนั้นก็ลูบไปที่หัวของหลิงเอ๋อร์ เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ไม่ต้องเปิดหรอก ในเมื่อเจ้าของของที่นี่ไม่ต้องการให้พวกเรารบกวน พวกเราก็อยู่ที่นี่รอให้เพลิงสวรรค์สิ้นสุดแล้วจากไปก็พอ”

สวี่ชิงเป็นคนที่รู้จักขอบเขต ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจาต่อรองกัน เช่นนั้นเว้นเสียแต่จำเป็นจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะรักษาข้อตกลง

หลิงเอ๋อร์คล้ายครุ่นคิด นางรู้สึกว่าวิธีการของพี่สวี่ชิง แตกต่างกับท่านพ่อของนาง จึงจดจำเรื่องนี้ เตรียมเรียนรู้ต่อเล็กน้อย

เวลาไหลผ่านไปครึ่งเดือน

เพลิงสวรรค์ด้านนอกยิ่งทวีความน่ากลัว แผดเผาฟ้าดิน ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง สรรพชีวิตสั่นกลัว

มองไกลๆ ราวกับโทสะเทพเจ้า น่าครั่นคร้ามยิ่ง

เสียงครืนครันรุนแรงกว่าทัณฑ์สวรรค์ ทั้งทะเลเพลิงสวรรค์ลดฮวบมหาศาล หินหนืดถูกสูดเข้าไปในท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก ส่วนแขนขาดนั้นก็จากไปไกลแล้ว

ในหลุมร้าง ด้านในสุสานใหญ่เผ่าวิญญาณบรรพกาล สวี่ชิงยังคงรักษาสัญญา ไม่ออกไปจากถ้ำหินแม้แต่ก้าวเดียว เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด ส่วนตวนมู่ฉางก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ทุกอย่างสงบเรียบร้อย

หลิงเอ๋อร์ก็เชื่อฟังมาก ไม่ออกไปค้นหาชั้นที่ลึกกว่า สำหรับนาง ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ พี่สวี่ชิงก็พึงพอใจมากแล้ว

เพียงแต่บางครั้ง นางจะรู้สึกว่าตนไม่ค่อยมีประโยชน์

‘ข้าก็ต้องรีบย่อยพลังดวงชะตาเผ่าจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลในร่างกาย เร่งยกระดับสายโลหิตแล้ว’ หลิงเอ๋อร์คิดในใจเช่นนี้ และกำลังทำเช่นนี้อยู่

ส่วนการฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงที่นี่ ในวันที่สิบเจ็ดก็ถูกผู้ที่เข้ามาเยือนขัดจังหวะ

จากแสงค่ายกลที่สว่างวาบบนพื้นแห่งหนึ่งในถ้ำหิน เงาร่างหนึ่งก็รีบเดินออกมาจากด้านในอย่างระมัดระวัง

สวี่ชิงลืมตาทั้งสอง จำได้ว่านี่คือคนที่เขาช่วยชีวิตตอนที่สลบใกล้ตายเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนอีกฝ่ายยังดูอ่อนล้า แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าชุดเกราะนั้นมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งตวนมู่ฉางจะต้องช่วยรักษาคนผู้นี้เป็นแน่

เพียงแต่พิษเพลิงบนตัวเขายังยากจะขจัดไปได้ อีกทั้งหลายจุดก็ถูกเผาไหม้จนเกรียมแห้ง มีแถบหนึ่งที่แดงเป็นสีเลือด จนผิวหนังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ น่าเกลียดน่ากลัวเล็กน้อย

ตอนที่สวี่ชิงมองไป ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ก็ใบหน้าตื่นตกใจ สาวเท้ามาหาสวี่ชิงสองสามก้าวก็คุกเข่าลง

“ผู้เยาว์สือพั่นกุย ขอบคุณผุ้อาวุโสที่ช่วยชีวิต!”

สวี่ชิงพิจารณาชายหนุ่มผู้นี้หลายรอบ ชื่อของอีกฝ่ายค่อนข้างประหลาด แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร เอ่ยเสียงราบเรียบว่า

“ไม่เป็นอันใด ต่อให้ข้าไม่ลงมือ ผู้อาวุโสตวนมู่ก็จะช่วยเจ้าอยู่ดี”

ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ยังคงคารวะ หลังจากโขกศีรษะให้สามครั้ง เขาก็ลุกขึ้นมองสวี่ชิง เอ่ยอย่างตึงเครียดเล็กน้อย

“ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นผู้อาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือ บุญคุณนี้จะสลักไว้ในจิตใจของผู้เยาว์ขอรับ”

พูดพลาง เขาก็หยิบกล่องอาหารใบหนึ่งออกมาจากอก วางไว้ข้างๆ

“ผู้เยาว์ทราบว่าผู้อาวุโสพลังบำเพ็ญสูงส่งลึกล้ำ ส่วนผู้เยาว์ก็ไม่มีสิ่งของที่มีมูลค่า นี่เป็นอาหารที่ภรรยาของข้าทำ ขอบพระคุณผู้อาวุโสมากขอรับ!”

ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์พูดจบ ก็ลุกขึ้นคารวะสวี่ชิงอีกครั้ง หลังจากถอยไปอย่างนอบน้อม ก็หายกลับเข้าไปในค่ายกล

สวี่ชิงมองกล่องอาหารใบนั้น ด้านในใส่ขนมอบที่ปลุกสุกเรียบร้อยแล้วบางส่วน ส่งกลิ่นหอมหวน ดูประณีตมาก เพียงมองก็รู้ว่าตระเตรียมมาอย่างตั้งอกตั้งใจ

ด้วยความรู้วิถีพิษของสวี่ชิง เพียงดมก็รู้แล้วว่ามีพิษหรือไม่ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไร เขาก็ยกมือขึ้น เห็นว่าหลิงเอ๋อร์กำลังกลืนน้ำลาย ตนจึงกินหนึ่งคำ หลังจากยืนยันอีกครั้ง ก็ยื่นให้หลิงเอ๋อร์ชิ้นหนึ่ง

หลิงเอ๋อร์กินลงไป ดวงตาก็หยี

“ฟ่อฟ่อ”

เห็นได้ชัดว่ารสชาติไม่เลว หลิงเอ๋อร์จึงอดส่งเสียงตอนเด็กๆ ออกมาไม่ได้

เห็นหลิงเอ๋อร์ชอบ สวี่ชิงก็ยิ้ม แล้วส่งให้หลิงเอ๋อร์ทั้งหมด

จากนั้นก็หลับตาลง นั่งทำสมาธิต่อ

เวลาผ่านไปทีละวันๆ หลังจากวันนั้น สือพั่นกุยคนนั้นแวะเข้ามาหาหลายครั้ง ทุกครั้งที่มาหาล้วนนำอาหารมาด้วยอย่างเคารพนบน้อม

หลายครั้งที่อย่างจะกล่าวบางอย่างแต่ก็ยั้งเอาไว้ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ดวงตาฉายแววปรารถนา ถามสวี่ชิงเกี่ยวกับเรื่องของเผ่ามนุษย์นอกดินแดน

“ผู้อาวุโส ข้าได้ยินเจ้ารัฐคนก่อนบอกว่าท่านมาจากนอกแดน ที่ด้านนอกนั่น…เผ่ามนุษย์ของพวกเรา…เป็นอย่างไรกันบ้างหรือขอรับ”

สือพั่นกุยสีหน้าแฝงความกังวล ยิ่งมีความคาดหวังอย่างเข้มข้น

ชีวิตนี้ของเขาไม่อาจออกจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราได้ นับตั้งแต่ที่เกิดมาก็ถูกกำหนดชะตาไว้แล้ว แต่ตอนที่เขายังเด็กมาก คนข้างกายก็เล่าเรื่องความรุ่งโรจน์ของเผ่ามนุษย์ บอกถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์เขา

เพียงแต่จากที่เขาเห็น เผ่ามนุษย์ล้วนต่ำต้อย เป็นได้แค่อาหารของต่างเผ่า

ความขมขื่น ความทุกข์ระทมต่างๆ เรื่องราวมากมายทำให้ในใจเขาสั่นไหว และเลื่อนลอย

อันที่จริงคำตอบจะถูกต้องหรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบันของเขาได้ แต่เขาก็ยังอยากได้คำตอบอยู่ดี

เขาอยากรู้ว่าเผ่ามนุษย์ด้านนอก เป็นเหมือนที่พวกเหล่าผู้อาวุโสบอกตนหรือไม่ เปี่ยมไปด้วยความรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยความงดงาม

สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่คอยประคับประคองจิตใจรวมถึงความภาคภูมิใจเขา

สวี่ชิงมองชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ตรงหน้า เงียบนิ่งไปหลายอึดใจ

ความเงียบของเขา ทำให้แสงในตาของสือพั่นกุยหม่นหมองลงช้าๆ

“เผ่ามนุษย์ด้านนอก อยู่เย็นเป็นสุข มีชีวิตที่ดี ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกันเท่าไรนัก ทุกอย่างสวยสดงดงาม และจักรพรรดิมนุษย์ยุคนี้ก็ทรงปรีชาชาญและมีแผนการอันล้ำลึก ก่อนหน้านี้ทำศึกสงครามกับเผ่าฟ้าทมิฬก็ได้รับชัยชนะมา

“ส่วนต่างเผ่า อยู่ต่อหน้าเผ่ามนุษย์อย่างเราล้วนต้องก้มหน้า บ้างก็เลือกมาพึ่งพาจนกลายเป็นเผ่าระดับล่าง บ้างก็ถูกทำลายทิ้งทั้งชนเผ่า

“ส่วนแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทางนี้ จักรพรรดิมนุษย์ก็ทรงเป็นกังวลเช่นกัน ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดี”

สวี่ชิงคลี่ยิ้ม เอ่ยสบายๆ

คำพูดเขา รอยยิ้มเขา ทำให้ดวงตาสือพั่นกุยเปล่งประกายขึ้นมา หายใจหอบถี่ ในใจฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง

“เมื่อวานโจววั่งเป่ยยังเถียงกับข้าอยู่เลย บอกว่าเผ่ามนุษย์ที่ด้านนอกล้วนต่ำต้อย ข้าก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ สายโลหิตของเผ่ามนุษย์ข้าสูงส่ง แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจำใจ เผ่าของข้าเคยรวมแผ่นดินต้องประสงค์เป็นหนึ่ง ที่โลกภายนอกจะต้องรุ่งโรจน์อย่างมากแน่นอน!

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสขอรับ!”

สือพั่นกุยกระปรี้กระเปร่า หลังจากคารวะสวี่ชิงแล้วก็จากไปอย่างตื่นเต้น เขาจะเอาเรื่องนี้กลับไปบอกกับคู่ฝึกเต๋าของตน บอกกับสหายครอบครัวตน

สวี่ชิงมองร่างของอีกฝ่ายหายไป ก็ถอนหายใจออกมา

เขารู้เหตุผลที่อีกฝ่ายชื่อนี้แล้ว พั่นกุย ก็คือปรารถนาจะให้ความรุ่งโรจน์ของเผ่ามนุษย์กลับมา

วั่งเป่ย(มองไปยังทิศเหนือ) ก็เพราะเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์อยู่ทางทิศเหนือ

เมื่อได้พูดคุยกันจริงๆ ในช่วงหลายวันมานี้ สวี่ชิงก็คาดเดาชั้นด้านล่างของสุสานนี้ได้แล้ว

ที่นั่นน่าจะมีเผ่ามนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง และเจ้ารัฐจากปากของพวกเขา ก็คือตวนมู่ฉางนั่นเอง

เขาปกป้องเผ่ามนุษย์เหล่านี้ ทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงมหันตภัยภายนอก ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

และสิ่งนี้ ก็เป็นสาเหตุที่อีกฝ่ายเตือนตนไม่ให้ออกจากที่แห่งนี้

ในใจสวี่ชิงรู้สึกนับถือ ลุกขึ้นมองด้านหลังตน ประสานหมัดโค้งคารวะให้

จากการคารวะของเขา บนรูปปั้นที่ไกลๆ รูปหนึ่ง ร่างของตวนมู่ฉางก็ปรากฏ เขามองจุดที่สือพั่นกุยจากไป จากนั้นก็มองสวี่ชิง เงียบนิ่งไม่พูดจา

ครู่ต่อมา เสียงของเขาก็แหบพร่า ดังก้องไปทั้งถ้ำหิน

“ขอบคุณ”

“เผ่ามนุษย์ภายนอก รบชนะจริงหรือไม่” ตวนมู่ฉางมองสวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ

“แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันเป็นของเผ่ามนุษย์ ส่วนเผ่ามนุษย์ก็มีสมบัติแดนสงครามเป็นของตนเองด้วย”

หลังจากมาถึง ตวนมู่ฉางก็นั่งลงข้างๆ โยนกาสุราให้สวี่ชิง

“เล่าให้ฟังหน่อย”

สวี่ชิงรับกาสุรา ดื่มลงไปอึกหนึ่ง ขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยิบสุราของตนเองออกมาจากถุงเก็บของโยนไปให้ตวนมู่ฉาง

ตวนมู่ฉางรับไป เมื่อดื่มก็ตาเป็นประกาย

ทั้งสองคนร่ำสุราด้วยกันเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงเอ่ยช้าๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ตวนมู่ฉางฟัง แต่กลับปิดบังฐานะของตน เล่าเรื่องนี้ออกมาจากมุมของคนผ่านทางเท่านั้น

ระหว่างนี้ตวนมู่ฉางไม่พูดอะไรเลย เขาฟังอย่างตั้งใจ

จนผ่านไปเนิ่นนาน ดื่มสุราจนหมด สวี่ชิงก็เล่าจบเช่นกัน

ตวนมู่ฉางหรี่ตาลง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“องค์ชายเจ็ดผู้นี้ ที่เจ้าเห็นคือวิธีการของเขารวมถึงราชโองการของจักรพรรดิมนุษย์ แต่เจ้ามองข้ามไปจุดหนึ่ง นั่นก็คือเผ่าต้นกำเนิดของเขา!”

สีหน้าสวี่ชิงแข็งค้าง

“เขาเป็นบุตรจักรพรรดิคนหนึ่ง ต่อให้กล้าหาญชาญชัย แต่สถานการณ์เช่นนี้จะต้องมีเส้นสนกลในที่แน่นหนาแน่นอน จึงทำให้หนักกลายเป็นเบาได้ ดังนั้นข้าคิดว่า เผ่าต้นกำเนิดของเขาอาจจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์ ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ ก็จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!

“จักรพรรดิมนุษย์ก็น่าสนใจ ข้ารู้สึกว่าพระองค์เข้าใจทุกเรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง…เพราะถ้าเจ้ามองที่ผลลัพธ์ ทุกอย่าง ก็เหมือนอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้

“ด้านหลังมีมือใหญ่ข้างหนึ่ง คอยชักใยอย่างมั่นคงมาตลอด”

ตวนมู่ฉางพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองสวี่ชิง เอ่ยอย่างมีความนัยลึกล้ำ

“จุดเริ่มของเรื่องนี้คือเขตปกครองผนึกสมุทร หากข้าเป็นจักรพรรดิมนุษย์ จะต้องจัดสรรคนที่เชื่อใจได้คนหนึ่งไว้ก่อนหน้านี้ คอยควบคุมสถานการณ์ในเขตปกครองผนึกสมุทร เป็นหูเป็นตาให้ข้า

“แต่พลังบำเพ็ญจะสูงเกินไปไม่ได้ จะทำให้ผู้อื่นคาดเดาออก”

สีหน้าสวี่ชิงเป็นปกติ แต่ในใจกลับโหมระลอกคลื่น

ตวนมู่ฉางไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นทันที เดินไปยังที่ไกลๆ ตอนที่ร่างของเขาค่อยๆ เลือนราง จู่ๆ ก็หันหน้ากลับมามองสวี่ชิง

“อยากไปดูบ้านของข้าหรือไม่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version