Skip to content
Home » Blog » Outside Of Time 559

Outside Of Time 559

บทที่ 559 โลงสัมฤทธิ์ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์!

“อีกไม่นานเท่าไร สี่เรือนที่เหลือก็จะทยอยหยุด”

เพราะตะเกียงแห่งชีวิตแต่ละดวงต่างห่างกันเจ็ดชั่วยาม ดังนั้นเวลาหยุดของพวกมันจึงมีลำดับต่างกันไป

สวี่ชิงคาดหวังในใจ ขณะรอเวลานาฬิกาแดดตะเกียงแห่งชีวิตหมุนไป เขาก็เดินทางไปในหินหนืด หลังจากที่ลึกลงมาหนึ่งจั้ง ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกาย

หินหนืดนี้มีประโยชน์ต่อเขา นอกจากจะทำให้ผลึกวารีสีม่วงแผ่แสงที่หลอมตะเกียงแห่งชีวิตได้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งข้อ…นั่นก็คือทำให้วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณยกระดับขึ้น

นี่เป็นการวิเคราะห์ของสวี่ชิง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

แต่เขารู้สึกว่าในเมื่อวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตนสามารถหลอมซากดวงอาทิตย์ได้ เช่นนั้นจากคุณสมบัติแล้ว ทะเลเพลิงที่นี่น่าจะมีประโยชน์กับมัน

‘วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณจากการหลอมปราณก็ยกระดับถึงสามขั้นแล้ว’ หลังจากสวี่ชิงขบคิดในใจ หว่างคิ้วก็ฉายประกายแสงวาบ ปราณวิหคทองทะยานออกมาจากในนั้นทันที

ทีแรกยังเป็นร่างปราณ แต่ชั่วขณะต่อมาก็เปลี่ยนแปลง หลังจากเป็นร่างวิหคทองแล้ว มันก็วนรอบสวี่ชิง ส่งเสียงร้องคำรามดังก้องไปในวิญญาณเป็นระลอกๆ

จากนั้นวิหคทองก็เริ่มดูดหินหนืดรอบๆ ทันที

ทันใดนั้นพลังความร้อนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งตรงมาที่ปากวิหคทอง หลังจากไหลทะลักเข้าไปในปากของมันแล้ว วิหคทองก็ร่างสั่นสะท้าน หรี่ดวงตา ทั่วทั้งร่างเปลวเพลิงพวยพุ่ง

หลังจากดูดซับอยู่ครู่หนึ่ง วิหคทองทั่วทั้งร่างสะท้าน ส่งเสียงร้องคำรามที่รุนแรงกว่าเดิม ทะยานรอบสวี่ชิงไม่หยุด จากนั้นก็พลันมุดลงไปในหินหนืด

สวี่ชิงใจกระตุกวูบ รีบจับตามองทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็โล่งอก

เดิมวิหคทองก็มีจิตวิญญาณอยู่แล้ว หลังจากแปลงเป็นปราณสติปัญญาก็ยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะทำการผสานจิตกับสวี่ชิง เขาจึงสัมผัสทุกอย่างของวิหคทองได้อย่างแจ่มแจ้ง

วิหคทองตอนนี้อยู่ในหินหนืดลึกประมาณหนึ่งจั้ง กลืนกินไม่หยุด กลิ่นอายบนร่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หางทยอยปรากฏออกมา หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ในยามที่นาฬิกาแดดเรือนที่สองของสวี่ชิงเวลาหยุดอยู่ที่ยามอู่ หางของวิหคทองก็เปลี่ยนจากหนึ่งร้อยหางเป็นหนึ่งร้อยสามสิบหาง

สวี่ชิงตื่นเต้น ควบคุมวิหคทอง กลืนกินต่อไป

เวลาค่อยๆ หมุนผ่านไป

ไม่นานนักก็มีตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดสามเรือนหยุดเวลาที่ยามอู่ จนกระทั่งหลายชั่วยามหลังจากนั้น อีกสองเรือนที่เหลือก็ทยอยหยุดลง และหลังจากที่ตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดทุกเรือนหยุด สวี่ชิงที่ตัวอยู่ในหินหนืด ร่างกายก็สะท้านเฮือก

มีเสี้ยวขณะหนึ่ง ดวงตาของเขาฉายความเหม่อลอยเหมือนฝันออกมา

เพียงพริบตา ความเหม่อลอยก็หายไป ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววอัศจรรย์ เขาสัมผัสถึงด้านในนาฬิกาแดดทั้งห้าเรือนแฝงไว้ด้วยพลังบางอย่าง เพียงแค่เสี้ยวความคิดของตนก็สามารถสำแดงได้

แต่ความสามารถนี้คืออะไร เขายังสัมผัสไม่ได้

‘ลองดูสักหน่อย!’ สวี่ชิงหรี่ตา ร่างหยุดชะงัก นั่งขัดสมาธิในหินหนืด จากการผุดขึ้นมาของความคิด นาฬิกาแดดทั้งห้าเรือนในทะเลความรู้สึกของเขาก็ส่งเสียงวิ้งทันที แล้วมาปรากฏรอบสวี่ชิง

กวาดสายตามองไป นาฬิกาแดดทั้งห้ามีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง วนรอบกายเขา ประหนึ่งกลีบดอกไม้สีม่วง ล้อมเขาเอาไว้ในนั้น

ในขณะเดียวกับที่กะพริบประกายแสงพราวพร่าง ที่เหนือศีรษะสวี่ชิงยังมีแสงตะเกียงที่ราวกับดวงอาทิตย์ห้าดวงลอยอยู่ เรียงกันเป็นรูปดาวห้าแฉก

นาฬิกาแดดเป็นตัวขับเน้น อาทิตย์กล้าเป็นดวงดารา สวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้ โดดเด่นดึงดูดสายตานัก ทรงพลังเกินต้านทาน

ยิ่งแผ่พลังเวลาออกมาจากในนาฬิกาแดดทั้งห้าเรือน โหมทะลักเข้าไปในร่างสวี่ชิง ทำให้ร่างสวี่ชิงแผ่ความลึกลับออกมา ทั้งร่างรางเลือน เหมือนมาเยือนจากห้วงกาลเวลา

เหตุการณ์นี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวพริบตาก็หายไป นาฬิกาแดดหมองหม่น คล้ายปลดปล่อยพลังจนสิ้น ยากจะยืนหยัด กลับเข้ามาในร่างสวี่ชิงพร้อมกับดวงอาทิตย์กล้า

นาฬิกาแดดเรือนที่หนึ่งเริ่มขยับหมุนอีกครั้ง นับเวลาต่อไป อีกสี่เรือนนิ่งไม่ขยับ

สวี่ชิงอึ้งตะลึงเล็กน้อย มองไปรอบๆ สัมผัสร่างของตัวเองเล็กน้อย เขาหาความแตกต่างอะไรไม่เจอ

‘นี่มันอะไรกัน’

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ย้อนนึกอยู่นาน ก็ยังคงหาผลอย่างละเอียดของพลังที่ปะทุจากนาฬิกาแดดสำแดงออกมาเมื่อครู่ไม่ได้

เช่นนี้เอง หลังจากเจ็ดชั่วยาม นาฬิกาแดดตะเกียงแห่งชีวิตเรือนที่สองก็เริ่มเดิน ภายหลังนาฬิกาแดดแต่ละเรือนต่างห่างกันเจ็ดชั่วยามก็เริ่มเดินต่อ จนกระทั่งนาฬิกาแดดเรือนที่ห้าของเขาเดิน เรือนแรกก็หยุดลงในยามอู่

‘ขั้นตอนนี้เป็นสามสิบห้าชั่วยาม ประมาณสามวัน’ สวี่ชิงคำนวณเงียบๆ

จนกระทั่งผ่านไปอีกสิบสองชั่วยาม จากเวลาของนาฬิกาแดดเรือนอื่นๆ ทยอยหยุดลง พวกมันก็กลับมาที่ยามอู่ ทั้งหมดต่างหยุดนิ่งไม่ขยับ กลิ่นอายที่จะปะทุออกมาปรากฏอีกครั้ง

‘สี่วัน เป็นหนึ่งรอบ

‘ก่อนหน้านี้ตอนที่สำแดงพลังปรากฏออกมาให้เห็นไม่ชัด หรือว่าจะเป็นเพราะอยู่ในหินหนืด?’

หลังจากสวี่ชิงขบคิด มองวิหคทองที่อยู่ไกลๆ หางตอนนี้มีถึงสองร้อยกว่าหางแล้วแวบหนึ่ง เสี้ยวขณะที่ดึงสายตากลับมา ร่างของเขาเพียงไหววูบก็พุ่งออกมาจากหินหนืด

มาอยู่เหนือหินหนืด เสี้ยวพริบตาที่ยืนอยู่กลางอากาศ สวี่ชิงไม่ลังเล นาฬิกาแดดห้าเรือนในร่างเริ่มเดินพร้อมกัน แสงตะเกียงดวงอาทิตย์ล้อมรอบอยู่เหนือศีรษะ พลังนาฬิกาแดดปะทุขึ้นทันที

เพียงพริบตา สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความร้อน

รอบๆ เขารายล้อมไปด้วยหินหนืด ร่างของเขา…กลับมาในหินหนืดอีกครั้ง!

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน ในดวงตาฉายแววไม่อาจเชื่อ เขาพลันหันไปมองรอบๆ พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในหินหนืดจริงๆ

‘ก่อนหน้านี้ข้าอยู่กลางอากาศชัดๆ!’

สวี่ชิงจิตใจเกิดคลื่นซัดโหม หลังจากขบคิดอย่างละเอียด เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง

‘หรือว่าจะเป็นเวลาหวนคืน’

การคาดเดานี้ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นไม่รู้จบ เขาประเมินความสูงที่ตัวเองอยู่ เลียนแบบการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ใช้ความเร็วที่เท่ากันทะยานออกไป หลังจากมาถึงกลางอากาศ เวลาคือเจ็ดชั่วอึดใจ

‘ย้อนกลับเจ็ดชั่วอึดใจหรือ

‘สำหรับครั้งแรกเป็นเพราะข้านั่งสมาธิไม่ได้ขยับ จึงไม่ชัดเจน!’

สวี่ชิงดวงตาฉายประกาย แต่เขายังไม่แน่ใจนัก จำต้องทดลองอีกครั้ง

ดังนั้น เขาจึงอยู่ใต้หินหนืด จากการกลืนกินของวิหคทอง เวลาผ่านไปอีกแปดวัน

ในแปดวันนี้ เขาสำแดงพลังนาฬิกาแดดสองครั้ง ใช้วิธีที่แตกต่างกันพิสูจน์

ครั้งที่หนึ่ง เขาสำแดงความเร็วสูงสุด ปะทุพลังนาฬิกาแดด พบว่าร่างของตัวเองกลับมายังตำแหน่งเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อนหน้า

ครั้งที่สอง เขาเอาอาวุธเวทบางอย่างออกมา ขณะเดียวกันก็สร้างบาดแผลให้กับตัวเอง หลังจากที่สำแดงอีกครั้ง เขาพบว่าพลังนาฬิกาแดดของส่งผลกับตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น

อาวุธยังคงเป็นปกติ ยังคงอยู่ตรงนั้น ส่วนร่างของเขากลับถูกเปลี่ยนไป บาดแผลหายไป สภาพทุกอย่างล้วนย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อน

ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงสัมผัสพลังนาฬิกาแดดได้อย่างลึกซึ้ง

‘ทำให้ร่างกายของข้ากลับไปยังสภาวะและตำแหน่งเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อนหน้านี้!

‘ความสามารถนี้ใช้ได้ทันเวลาก็จะเท่ากับกู้วิกฤตความตายได้ครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธสังหารร้ายกาจ!’

สวี่ชิงใช้เวลาถึงครู่หนึ่งจึงสะกดความสั่นสะท้านของจิตใจลงไปได้ มองผลึกวารีสีม่วงในร่าง เขาเข้าใจ ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากวัตถุชิ้นนี้

‘ผลึกวารีสีม่วงคืออะไรกันแน่…

‘มันผนึกเจ้าเงาได้ ผนึกเทพเจ้าได้ นำพลังฟื้นฟูอันน่าตื่นตะลึงมาให้ข้า ทั้งยังมีเคล็ดวิชาแห่งเวลา…’

สวี่ชิงเงียบนิ่ง นานหลังจากนั้น เขาก็ฝังข้อสงสัยทุกอย่างเอาไว้ในใจ มองไปทางวิหคทองของตัวเอง

หางของวิหคทองมีจำนวนถึงสองร้อยแปดสิบกว่าหาง มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว นอกเสียจากจะไปดูดซับหินหนืดที่ลึกลงไปอีก แต่นี่เป็นประเด็นที่ขัดแย้ง เพราะวิหคทองตอนนี้ไม่สามารถทนรับเปลวไฟจากหินหนืดในระดับความลึกที่เกินหนึ่งจั้งได้

แต่ครึ่งเดือนกว่ามานี้ สามารถเพิ่มจากร้อยหางมาเป็นสองร้อยหางได้ สำหรับวิหคทองแล้วนี่คือการหล่อเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ กระทั่งว่าตอนนี้มีเค้าลางว่า บนร่างของมันมีสัญญาณจะเหนี่ยวนำทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ครั้งที่สองมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ การบำเพ็ญที่ทะเลเพลิงสวรรค์ของสวี่ชิงก็นับว่าจบสิ้นลงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอด

‘ไปคืนดวงตา จากนั้นก็ไปจากเขตตะวันออก ไปรวมตัวกับศิษย์พี่ใหญ่ที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น’

ที่เขตตะวันออกนี้ สวี่ชิงอยู่มาเกือบครึ่งปีแล้ว เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ทางนั้นตอนนี้เป็นอย่างไร ในใจคิดถึงเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าก่อนจะจากไป สวี่ชิงมองไปยังจุดลึกของหินหนืดทะเลเพลิงสวรรค์

สวี่ชิงเตรียมไปสำรวจว่าตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทำไมถึงได้วางเขตแดนต้องห้ามที่นี่ หลังจากมีพลังของนาฬิกาแดด สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองขอเพียงระวังตัวสักนิด ก็จะไม่เป็นอะไร

นึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็บีบดวงตาเล็กน้อย

ดวงตาดวงนั้นสั่นสะท้านทันที แผ่พลังสกัดกั้นออกมามากยิ่งขึ้น

สวี่ชิงพอใจ เก็บวิหคทองลงไป ถือดวงตาพุ่งตรงลงไปใต้หินหนืด ไม่นานก็มาถึงที่ความลึกร้อยจั้ง ดำดิ่งต่อไปถึงสองร้อยจั้ง สามร้อยจั้ง

ยิ่งลึกลงไป พลังความร้อนก็ยิ่งรุนแรง ดีที่ดวงตาดวงนี้อัศจรรย์นัก มีมันคอยสกัดกั้น ความร้อนข้างนอกไม่อาจทำอันตรายได้

สวี่ชิงดำดิ่งมาตลอดจนถึงที่ความลึกร้อยกว่าจั้งเช่นนี้เอง

ที่ระดับความลึกนี้ รอบๆ นอกจากอุณหภูมิสูงแล้ว ยังแฝงด้วยพลังกดดัน เส้นเลือดสีน้ำตาลบนดวงตาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นมา

นอกจากนี้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าลึกลงไปมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยแผ่มา

นั่นเป็นพลังเทพของชื่อหมู่

การค้นพบนี้ทำให้สวี่ชิงยิ่งทำอะไรอย่างรอบคอบ ภายใต้การเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ความรู้สึกวิกฤตอันตรายกลุ่มหนึ่งก็แผ่มาในใจ เขาไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ปราณพระจันทร์สีม่วงในร่างปะทุขึ้นมาทันที พลังพระจันทร์สีม่วงแผ่ซ่านไปทั่วกาย

เสี้ยวขณะต่อมา ความอันตรายที่ส่งขึ้นมาจากข้างล่างก็ค่อยๆ สลายไป

ท่ามกลางความรางเลือน ผ่านจากพลังของพระจันทร์สีม่วง เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของต้นกำเนิดพลังพระจันทร์สีชาดข้างล่าง

สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเข้าใกล้ต่อไป

ขณะเดียวกัน เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ กลางท้องฟ้าที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าใดนัก หัวใจดวงมหึมาของของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำลังลอยอยู่ตรงนั้น

อุกาบาตหลายสิบลูกที่อยู่รอบๆ มันกระจายตัวออก เงาร่างที่อยู่บนนั้นต่างนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงในตำหนักเทพ มีเงาร่างที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงร่างหนึ่งเดินออกมา

นี่เป็นหญิงสาวเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง

สีหน้าของนางแฝงด้วยความเย็นชา ในดวงตาแฝงด้วยความจนปัญญา ก้าวเท้าเดินออกมาจากตำหนักเทพ หลังจากมาถึงริมของหัวใจแล้ว ก็ก้มหน้ามองไปทางทะเลเพลิง

สำหรับเรื่องที่จะทำต่อไปนี้ นางไม่ยินดีจากใจจริง ไม่ใช่เพราะโหดร้าย แต่เพราะเรื่องเช่นนี้จะทำให้ถูกทำสัญลักษณ์ จะส่งผลกระทบต่ออนาคตในระดับหนึ่ง

เพียงแต่ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้เทวะ นางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

“ทำได้แค่หลังจากนี้ใช้วิธีกระจายไปสลายการทำสัญลักษณ์แล้ว”

หญิงสาวคนนี้ลอบถอนหายใจ เดินออกมาทีละก้าวๆ แล้วเหยียบลงไปบนหินหนืดที่อยู่ข้างล่าง ขณะสะบัดมือ ไข่มุกสีแดงเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่นางอมมันไว้ในปาก ก็ดำลงไปในหินหนืด

มุกเม็ดนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด หลังจากกลืนลงไป ร่างของนางอยู่ในหินหนืด พลังความร้อนก็หลบหลีกนางไปเอง

เช่นนี้แล้ว ความเร็วของหญิงสาวคนนี้ก็เร็วมาก ยิ่งเมื่ออยู่ในการดำดิ่ง พลังบำเพ็ญของนางแผ่ออก กลิ่นอายสมบัติวิญญาณตลบอวล แต่กลับไม่มีกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์พันล้อม

นางเป็นผู้บำเพ็ญที่ยังไม่ได้ทำให้คลังสมบัติสำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่อยู่ในขั้นหล่อเลี้ยงมรรคาดาราเจิดจรัส

แต่ฐานะผู้รับใช้เทวะ และการประทานพรของชื่อหมู่ที่เทียบเท่ากับระดับ ทำให้นางอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา นอกจากในตำหนักเทพแล้ว ข้างนอกโดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครกล้าหาเรื่องนางแม้แต่น้อย

ค่าตอบแทนของการสังหารผู้รับใช้เทวะ เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ใดก็ตามในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่อาจแบกรับได้

กระทั่งว่าด้วยฐานะผู้รับใช้เทวะของนางแล้ว เพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นตายของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่งได้

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางเติบโตอยู่ในตำหนักเทวะมาตั้งแต่เด็กๆ ในเผ่าเคยมีผู้ที่ดำรงตำแหน่งทูตเทวะ เช่นนี้ถึงจะทำให้ผู้สืบสายเลือดได้รับวาสนาอันล้ำค่าเป็นที่สุดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเช่นนี้ได้

ตอนนี้นางทะยานอยู่ใต้หินหนืดพันจั้ง เป้าหมายชัดเจน

และสวี่ชิงก็อยู่ที่ระดับความลึกพันจั้งเช่นกัน ห่างไปจากที่นี่ไม่ไกล จากการสัมผัสรับรู้ที่รางเลือน กำลังเข้ามาใกล้

ทั้งสองฝ่ายคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งอยู่ข้างหลัง กำลังเข้ามาใกล้

เพียงแต่ เทียบกับสวี่ชิงทางนี้แล้ว ความเร็วของหญิงสาวคนนั้นเร็วกว่า ดังนั้น นางจึงเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนดไว้ได้ก่อน

และการสกัดกั้นประสาทสัมผัสเทพใต้หินหนืดก็ทำให้พวกเขาทั้งสองคนตอนนี้ต่างสัมผัสถึงตัวตนซึ่งกันและกันไม่ได้ นอกจากนี้ เทียบกับสวี่ชิงแล้ว พวกเขาทั้งสองคนเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ก็เป็นตัวกำหนดให้ความระแวดระวังภัยของผู้รับใช้เทวะสู้สวี่ชิงไม่ได้

ดังนั้น ภายใต้การเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังของสวี่ชิง เขาเห็นบริเวณที่พลังพระจันทร์สีม่วงสัมผัสได้ในพริบตา และมองเห็นเงาร่างของหญิงสาวชุดแดงที่พุ่งตรงไปทางนั้น

ร่างสวี่ชิงหยุดชะงักทันที ย่อตัวลง พยายามย่อตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายตาฉายประกายวาววับ สังเกตเงียบๆ

จากที่ไกล ใต้หินหนืดความลึกระดับพันจั้ง ตรงนั้นมีภูเขายอดตัดขนาดมหึมาแปลกประหลาดลูกหนึ่ง

พูดให้ถูกต้องคือ นี่อาจจะไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นเหมือนโลงขนาดมหึมาที่วางตั้งตรงอยู่ตรงนั้นมากกว่า

ส่วนที่ปรากฏในสายตาสวี่ชิงมีขนาดราวกับเมือง เห็นได้ถึงความใหญ่โตของโลงใบนี้

ทั้งโลงทำมาจากสัมฤทธิ์ บนนั้นเต็มไปด้วยรอยสนิม ผสมไปด้วยสีดำ สีเขียวและสีฟ้า หลอมรวมอยู่ด้วยกัน ทำให้โลงใบนั้นเต็มไปด้วยความเก่าแก่

เหมือนว่ามันถูกวางอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว

ส่วนความสูงไม่รู้ สวี่ชิงกวาดสายตามองไปมองไม่เห็นขอบ เห็นเพียงที่มุมทั้งสี่ของโลงมีโซ่เส้นหนาสี่เส้นเชื่อมต่อไปในจุดลึกของหินหนืด

นอกจากนี้ ฝาโลงก็ไม่ได้ปิดสนิทแต่เผยอช่องว่างไว้ช่องหนึ่ง

เพียงแต่เนื่องจากโลงใบนี้มีขนาดมหึมานัก ดังนั้นช่องที่เผยอนี้ดูแล้วจึงเหมือนกับร่องหุบเหวลึก

ตอนนี้ เงาร่างที่สวมชุดแดงร่างนั้นกำลังลอยต่ำลงไปในรอยแยกนั่น ลอยอยู่ที่ความสูงหนึ่งร้อยจั้ง สองมือประสานปาง ระลอกคลื่นที่แฝงไว้ด้วยพลังเทพพระจันทร์สีชาดแต่ละทางก็แผ่ไปทั่วทุกทิศจากการทำปางมือ

ผสานเข้าไปในเขตแดนต้องห้ามไร้รูปร่างที่เดิมก็อยู่ที่นี่อยู่แล้ว ทำให้ที่นี่ประกายแสงสีแดงกะพริบวูบวาบ ตาข่ายผืนมหึมาค่อยๆ ปรากฏออกมา

ตาข่ายนี้ก็แปรเปลี่ยนมาจากเขตแดนต้องห้ามที่นี่นั่นเอง

มองไปให้ละเอียดก็จะเห็นว่าตาข่ายที่ปรากฏออกมาเต็มไปด้วยอักขระ ฉายพลังอำนาจเทพออกมา

สวี่ชิงอำพรางร่องรอย สังเกตอย่างละเอียด มองออกว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขตแดนต้องห้าม เพียงแต่ พลังเทพแค่นี้ไม่มีผลอะไรเท่าไร

แต่ไม่นานนัก ดวงตาสวี่ชิงก็จ้องเพ่ง เขาเห็นหลังจากที่หญิงสาวชุดแดงคนนั้นประสานปางมือ ก็เอาผลึกวารีสีแดงก่ำขนาดเท่ากับศีรษะลูกหนึ่งออกมาจากในร่าง

ทันทีที่ผลึกวารีนี้ปรากฏออกมา หินหนืดรอบๆ ก็เดือดพล่าน ยิ่งมีกลิ่นอายน่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากในผลึกวารี สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน

คนนอกอาจจะมองไม่ออก แต่เขาผ่านจากการรับรู้ของพระจันทร์ม่วงตัวเองก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าผลึกวารีลูกนี้เกิดจากเลือดที่หลังจากถูกทำให้เจือจางนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

‘เลือดของชื่อหมู่อย่างนั้นหรือ’

สวี่ชิงหัวใจเต้นรัว แม้จะเป็นเลือดที่ถูกทำให้เจือจางแล้วหยดหนึ่ง แต่พลังพระจันทร์สีชาดที่แฝงอยู่ในนั้นก็ยังคงเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสวี่ชิงแล้วก็เป็นการบำรุงอย่างมหาศาลเช่นกัน

ในตอนที่สวี่ชิงจับตามอง หญิงสาวชุดแดงคนนี้ก็มองผลึกวารี ในดวงตาก็ฉายความปรารถนาออกมาเช่นกัน แต่กลับฝืนควบคุมเอาไว้ นางรู้ว่านี่ไม่ใช่ของที่ตัวเองจะใช้ได้

‘รอเทพชั้นสูงมา หลังจากที่เก็บเกี่ยวดินแดนนี้ ตระกูลที่ข้าอยู่ก็จะได้โลหิตเทวะเช่นนี้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บางทีข้าอาจจะมีโอกาสดูดซับสักหน่อย’

หญิงสาวพึมพำในใจ จากนั้นก็ยกมือ โยนผลึกวารีนี้ลงไป

ผลึกวารีไม่ได้ร่วงลงไปในรอยแยก แต่ลอยอยู่ในหุบเหว แตกร้าวขึ้นเอง แผ่ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวออกมา ผสานไปในเขตแดนต้องห้ามรอบๆ ทำให้ตาข่ายสีแดงที่ปรากฏออกมาผืนนั้นยิ่งพราวพร่างระยิบระยับ

นี่ ถึงจะเป็นการเพิ่มพลังที่แท้จริง

และจากตาข่ายสีเลือดทอประกายแสงเจิดจ้า พลังอำนาจเทพเพิ่มขึ้น โลงมหึมาใบนั้นก็ถูกพลังนี้กระตุ้น พลันสั่นสะท้านขึ้นมา ยิ่งมีเสียงคำรามเจ็บปวดเสียงหนึ่งดังก้องออกมาจากในโลง

“ชื่อหมู่!!”

เสียงนี้ดังออกมา โลงก็สั่นไหวแรงยิ่งขึ้น สวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่น ในยามที่ยิ่งระมัดระวัง หญิงสาวชุดแดงก็ก้มหน้า ทอดสายตามองหุบเหว ส่งจิตเทพออกไป

“หุบปาก!”

เสียงลมหายใจหอบถี่ดังก้องออกมาจากในโลง เห็นได้ชัดว่าการหยามหมิ่นจากผู้บำเพ็ญระดับต่ำเช่นนี้ สำหรับตัวตนที่อยู่ในโลงแล้วเป็นการหยามหมิ่นที่สุดแสนอัปยศ

แต่กลับจนปัญญา

หญิงสาวชุดแดงดวงตาฉายแววเยาะเย้ย สำหรับนาง หยามหมิ่นตัวตนโบราณทั้งยังน่ากลัวแบบนี้ นำมาซึ่งความตื่นเต้นเร้าใจสุดแสนพิเศษมาให้ จึงยกมือสะบัด เอาเนื้อชุ่มเลือดแต่ละก้อนๆ ออกมาจากในถุงเก็บของ

ทั้งหมดร้อยกว่าก้อน ทุกก้อนล้วนมีขนาดสิบจั้ง หลังจากลอยเต็มอยู่รอบๆ หญิงสาวยกมือขึ้นชี้ออกไป ทันใดนั้น เนื้อก้อนหนึ่งก็ร่วงลงไปในหุบเหวลึก

“กินสิ นี่เป็นอาหารที่เทพสูงสุดเตรียมให้เจ้า ล้วนแต่เป็นประชาชนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทั้งนั้น พี่น้องทั้งหลายของเจ้า พวกเขาก็เหมือนกับเจ้า ล้วนชอบกินกันทั้งนั้น

“อีกทั้ง เพื่อให้พวกเจ้าย่อยได้ดียิ่งขึ้น พวกเรายังใส่ใจเลาะกระดูกออกให้หมดด้วย

“กินให้อร่อย”

จากเนื้อชุ่มเลือดที่ร่วงลงไปในหุบเหวลึก ในนั้นมีเสียงคำรามที่แฝงด้วยความเจ็บปวดดังออกมา เหมือนว่าตัวตนในโลง ต่อต้านสุดกำลัง แต่ติดที่ปัญหาที่ไม่รู้อะไรบางอย่าง ทำให้จำต้องกลืนลงไป

ดังนั้น เสียงสะอึกสะอื้นที่มาพร้อมด้วยความเจ็บปวดจนเกือบจะร้องไห้และเสียงเคี้ยวดังผสานกัน เกิดความน่าเวทนาที่ทำให้คนเมื่อได้ยินแล้วหวั่นไหวยิ่งนัก

ยิ่งมีความอาฆาตแค้นที่รุนแรงจนถึงขีดสุดแผ่ซ่านออกมาจากในโลง เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ ประทับไปที่ร่างของหญิงสาวชุดแดง จะจำนางเอาไว้ให้ขึ้นใจ

ส่วนหญิงสาวที่โยนอาหารคนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีความสุขมาก นางฟังเสียงนี้ จิตใจก็เหมือนว่าจะมีความสุข ไม่สนใจสัญลักษณ์บนร่างแม้แต่น้อย ขณะสะบัดมือ เนื้อแต่ละก้อนๆ ก็ร่วงลงไป

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาเห็นความโรคจิตของหญิงสาวคนนี้ และได้ยินเสียงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่คำรามออกมาจากโลง สำหรับตัวตนของมัน ก็คาดเดาอะไรบางอย่าง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ถอยหลังไปเงียบๆ เตรียมไปจากที่นี่

เขาไม่อยากเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดตอนนี้

แต่ในชั่วขณะที่สวี่ชิงถอยหลังทางนี้ หญิงสาวที่กำลังโยนอาหารอยู่ จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

“ดูมาค่อนวันแล้วก็จะไปอย่างนี้น่ะหรือ”

สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง ร่างเพิ่มความเร็วถอยหลัง ขณะเดียวกันหญิงสาวชุดแดงยกมือขวาขึ้น ชี้ไปยังบริเวณที่สวี่ชิงอยู่ ใช้อำนาจของผู้รับใช้เทวะควบคุมพลังเขตแดนต้องห้ามที่นี่ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“จงมา!”

คำพูดนางเพียงดังออกมา ทันใดนั้นเขตแดนต้องห้ามที่แปลงมาจากพลังพระจันทร์สีชาดที่ลอยอยู่รอบๆ ก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที แปรเปลี่ยนเป็นมือสีแดงก่ำมหึมา แล้วคว้าไปทางสวี่ชิงทางนั้นโดยพลัน

สวี่ชิงเงียบนิ่ง มือยักษ์ที่มาจากเขตแดนต้องห้ามพระจันทร์สีชาด อาศัยพลังของเขานั้นไม่สามารถต้านทานได้ นอกเสียจากจะขับเคลื่อนอำนาจของตัวเอง แต่หากทำเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะเปิดเผยออกมา

เวลาเพียงชั่วเสี้ยงพริบตา ในใจสวี่ชิงก็ตัดสินใจ ในดวงตาประกายวาววับฉายวูบ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“บังอาจ”

คำพูดของเขาเพียงดังออกมา มือยักษ์สีเลือดที่เข้ามาใกล้ก็พลันสั่นสะท้าน พลิกกลับทันที แล้วพุ่งตรงไปยังหญิงสาวชุดแดง

ภาพนี้ทำให้หญิงสาวชุดแดงคนนี้อึ้งไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ประสานปางมืออย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจหลบหลีกได้ ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างตีลังกาม้วนถอยหลัง กระอักเลือดออกมา หยิบป้ายสีเลือดแผ่นหนึ่งออกมาทันที ถึงพอจะแก้สถานการณ์ได้

สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ร้องตกใจเสียงหลง

พูดจบ นางก็ประสานปางมือทันที ประทับตราแปลกประหลาดตราหนึ่งออกมา โค้งตัว มองไปทางสวี่ชิงอย่างเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาย่อมมองออกว่านี่เป็นมารยาทภายในที่ผู้ที่มีตำแหน่งต่ำกระทำต่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าในยามที่ได้พบ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องกระทำกลับไปเช่นไร ดังนั้นจึงทำเป็นสุขุม พยักหน้า

แต่เสี้ยวขณะต่อมา หญิงสาวคนนั้นรูม่านตาก็หดเล็ก ประสานปางมือท่าอื่นอีกครั้ง จ้องมองสวี่ชิง จากนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป

“เจ้าไม่ใช่ทูตเทวะ!

“เจ้าเป็นใคร ไยจึงมีพลังเทพเจ้า!”

หญิงสาวคนนี้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจเกิดคลื่นท่วมฟ้าซัดโหม

เรื่องแบบนี้นางเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต กระทั่งอย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ไม่เคยเรือเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

นี่ทำให้นางไม่อยากเชื่อ

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับขบคิด เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจมารยาทและท่ามือ น่าจะไม่ใช่เหตุผลที่อีกฝ่ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของตน จะต้องมีที่อื่นบางอย่างที่เผยช่องโหว่ออกมา

อย่างไรเสีย พลังบำเพ็ญมาถึงระดับนี้ย่อมไม่ใช่คนโง่ มองเงื่อนงำออกก็เป็นเรื่องปกติ

และก่อนหน้านี้เดิมเขาคิดจะไป แต่ในเมื่อเลือกที่จะลงมือ ต่อให้พลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายจะทำให้เขาระแวงระวัง แต่ตอนนี้คิดเพียงหาวิธีฆ่าเท่านั้น

ในใจสวี่ชิงจิตสังหารลอยตลบ เอ่ยราบเรียบ

“เจ้าล้ำเส้นแล้ว”

พูดแล้ว เขาก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นเขตแดนต้องห้ามพระจันทร์สีชาดที่อยู่รอบๆ ก็ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แผ่ระลอกไปทั่วทุกทิศ สวี่ชิงรับอำนาจการควบคุมเอาไว้ทันที ก่อเป็นพลังสะกด พุ่งตรงไปยังหญิงสาวชุุดแดงคนนั้น

ใบหน้างดงามของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลโดยสิ้นเชิง ความตื่นกลัวในใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำให้สีหน้าบิดเบี้ยว

“เขาไม่ใช่คนของตำหนักเทพ เรื่องนี้ข้ามั่นใจมาก แต่เขากลับมีพลังเทพ!

หญิงสาวร่างสั่นสะท้าน ลงมือสุดกำลัง ข้างหลังมีคลังสมบัติหนึ่งคลังปรากฏขึ้นมา แม้จะยังไม่ได้ก่อเป็นมรรคาสวรรค์ แต่กำลังรบก็น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังใช้ร่วมกับป้ายสีเลือดแผ่นนั้น ต้านทานแบกรับเอาไว้

“การควบคุมและการสนับสนุนของเขตแดนต้องห้าม…ความสูงส่งของอำนาจเขาอยู่เหนือซึ่งทูตเทวะทั้งหมด!”

หญิงสาวตกใจสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ติดตามบรรพจารย์ของตระกูลตนมาเนิ่นนาน เคยเห็นทูตเทวะเหนี่ยวนำเขตแดนต้องห้าม ตอนนี้ทำการเปรียบเทียบ ประเมินระดับสูงต่ำออกมาทันที

“เป็นไปไม่ได้!”

หญิงสาวหัวใจสั่นสะท้านบ้าคลั่ง และในพริบตา ในใจของนางก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้น

“เรื่องนี้ใหญ่มากนัก หากรายงานต่อตำหนักเทพจะต้องเป็นความชอบครั้งใหญ่แน่นอน!”

คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวคนนี้ก็ไม่สนค่าตอบแทน สมบัติลับลุกไหม้ขึ้นมา ป้ายสีเลือดที่อยู่ข้างหน้าแผ่พลังอำนาจสูงสุดออกมา ทั้งคนพุ่งฝ่าออกไปทันที ไม่ได้ไล่สังหารสวี่ชิง แต่จะไปจากที่นี่

เหนือหินหนืดขึ้นไปพันจั้งก็คือตำหนักเทพวังดวงใจที่นางอยู่ ขอเพียงลอยออกไปนอกหินหนืด นางก็จะสามารถแจ้งข่าวที่นี่ให้กับตำหนักเทพสาขาหลักได้ทันที

แต่สวี่ชิงจะปล่อยให้นางสมปรารถนาไปได้อย่างไร ตอนนี้ขณะสะบัดมือ เขตแดนต้องห้ามสีเลือดรอบๆ แผ่ระลอกอีกครั้ง ก่อเป็นมือยักษ์สีเลือดเจ็ดแปดข้างในรวดเดียว ซัดไปยังหญิงสาวคนนั้นอย่างรุนแรง

สวี่ชิงรู้ดี หากไปจากบริเวณเขตแดนต้องห้ามพระจันทร์สีชาด ตัวเองเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณหล่อเลี้ยงมรรคาดาราเจิดจรัสคนนี้ จะต้องไม่ใช่คู่มือของนางแน่นอน ขณะเดียวกัน หากนางหนีไปได้สำเร็จ สิ่งที่รอตนอยู่นั้นคืออันตรายไม่รู้จบสิ้น

“ต้องฆ่าให้ตาย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version