บทที่ 566 อำนาจเทพเจ้าเคราะห์หายนะ
บนท้องฟ้ามืดมิด คลื่นวนหมุนวนไม่หยุด แต่กลับควบคุมอยู่ในบริเวณที่แน่นอนอยู่ตลอด แค่ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับบริเวณอื่นมากนัก
เมืองศักดิ์สิทธิ์สองเผ่าอยู่ภายในคลื่นวนที่ส่งเสียงเลื่อนลั่นกึกก้องนี้ เคราะห์ภัยเกิดขึ้นอีกครั้ง
สมาชิกสองเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนในเมือง หลังจากผ่านการฟื้นคืนของคำสาปในร่างและการสังหารจากพิษต้องห้าม ทั้งยังมีการเผาไหม้จากเพลิงสวรรค์ แต่ละเหตุการณ์ล้วนแสนสาหัสนัก
และการหลุดพ้นจากวิกฤตของพวกบรรพจารย์ เพิ่งทำให้พวกเขาเกิดความหวัง แต่การลงมาเยือนของเทพเจ้าในเสี้ยวขณะต่อมาก็บดขยี้ความหวังนี้แหลกละเอียดทันที
ความสิ้นหวังตลบอวลไปทั่วทั้งเมือง
ผู้ที่สิ้นหวังด้วยยังมีผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณห้าตนที่เหลือบนท้องฟ้านั่น ระดับหล่อเลี้ยงมรรคาสามคนในนั้นถูกสะเทือนจนงุนงงเหม่อลอยเหมือนฝัน ภายใต้อำนาจเทพของนิ้วเทพเจ้าก็สูญเสียไปซึ่งพลังต้านทานทั้งหมด
กลัวจนสุดขีด สมองขาวโพลนไปแล้ว
แต่เจ้ารัฐทั้งสองเผ่านั่น จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณหนึ่งคลัง ในสมบัติลับมีมรรคาของตัวเองก่อกำเนิดแล้ว แม้คำสาปจะฟื้นคืนกลับมาจากพระจันทร์สีม่วง แต่ก็ยังคงรักษาสติรับรู้ของสมองเอาไว้ได้บ้าง
และเพราะสติรับรู้นี้ทำให้คความหวาดกลัวและตื่นตระหนกของพวกเขาตกตะกอนเป็นความสิ้นหวังที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
สุดท้ายแล้ว สมบัติลับของพวกเขามีเพียงแค่หนึ่งคลัง หากถึงระดับสมบัติลับห้าคลัง เป็นขั้นบริบูรณ์ของระดับสมบัติวิญญาณขั้นนี้ บางทีเวลานี้พวกเขาอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มี ทำได้เพียงแค่มองร่างสูงใหญ่สามสิบจั้งนั่นตาปริบๆ หลังจากที่กลืนกินราชครูเผ่าเงาคันฉ่อง ก็ก้าวเดินมาทางพวกเขา
ประดุจพยัคฆ์ดุร้ายเดินไปทางละมั่งที่ตัวสั่นงันงก
เพียงพริบตา เงาร่างของนิ้วเทพเจ้าก็มาถึงข้างหน้าผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณขั้นหล่อเลี้ยงมรรคาเผ่าผืนนภาตนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญตนนี้สีหน้าสับสนทำตัวไม่ถูก ร่างสั่นสะท้าน ปล่อยให้นิ้วเทพเจ้าเดินเข้ามาใกล้ ถูกมือใหญ่กดอยู่ที่ศีรษะ
‘มันคือสวี่ชิง มันคือสวี่ชิง ข้ากำลังกินสวี่ชิงอยู่!’ นิ้วเทพเจ้าคำรามในใจ มือใหญ่แผ่พลังดูดน่าครั่นคร้ามออกไป เพียงพริบตาร่างผู้บำเพ็ญขั้นหล่อเลี้ยงมรรคาคนนี้ก็กลายเป็นเถ้าธุลี
ปราณหมอกสีขาวเข้มข้นผสานไปในท้องของนิ้วเทพเจ้า แปรเปลี่ยนเป็นความผะอืดผะอมรุนแรง ทำให้ความโศกเศร้าโมโหในใจนิ้วเทพเจ้าพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แสดงท่าทางอาเจียนออกมาอย่างอดไม่ได้
อาศัยโอกาสนี้ เจ้ารัฐสองเผ่าที่เป็นเหยื่อ บนร่างพลันปะทุระลอกคลื่นพลังรุนแรงออกมา
หลังจากที่พวกเขาดิ้นรน ในที่สุดก็เผยสมบัติลับออกมา ไม่มีเวลาให้สำแดงเคล็ดวิชา ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงแค่ใช้วิธีตรงๆ อย่างทุ่มสมบัติลับไปทางนิ้วเทพเจ้าอย่างรุนแรง
ยิ่งมีมรรคาที่เป็นของพวกเขาเองลอยขึ้นมาในสมบัติลับของพวกเขาแต่ละคน พุ่งตรงดิ่งไปหานิ้วเทพเจ้า
“ระเบิด!”
เจ้ารัฐทั้งสองเผ่าในดวงตาแดงก่ำ คำรามอย่าบ้าคลั่ง พลันถอยหลังไป ใช้ทุกอย่างหลบหนี
เสี้ยวขณะต่อมา สมบัติลับที่พวกเขาซัดไปหานิ้วเทพเจ้าแผ่ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวออกมา บนนั้นเกิดรอยร้าวมากมาย แล้วพลันระเบิดออก
ขณะเดียวกันผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณหล่อเลี้ยงมรรคาสองคนจิตใจก็ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว ตอนนี้ขณะที่ตัวสั่นก็ปล่อยสมบัติลับหล่อเลี้ยงมรรคาของตัวเองออกมาเช่นกัน ทุ่มไปหานิ้วเทพเจ้า
ทันใดนั้นเสียงระเบิดกึกก้องทั่วฟ้า คลื่นพลังรุนแรง สมบัติลับวัตถุจริงสองคลังและสมบัติลับมายาสองคลัง ต่างระเบิดที่ร่างของนิ้วเทพเจ้า ก่อเป็นพลังน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่ง ระเบิดไม่หยุด ปกคลุมร่างมหึมาสูงสามสิบจั้งของสวี่ชิงเอาไว้ข้างใน
จากนั้น ผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณสี่คนของความร่วมมือสองเผ่าไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ต่างหนีไปที่ไกล
จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน ในสมองไม่มีความเป็นตายของเผ่าพันธุ์แล้ว แต่ละคนมีเพียงความยึดมั่นว่าจะหนีเอาชีวิตรอดอย่างไร
เพียงพริบตา เงาร่างของสี่คนก็แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งยาว พุ่งตรงไปยังปลายขอบฟ้า
เพียงแต่ภาพแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้นในเสี้ยวพริบตานี้เอง
ผู้ที่เกิดอาการผิดปกติก่อนคือราชครูเผ่าผืนนภา
ผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณที่อยู่ในขั้นหล่อเลี้ยงมรรคาตนนี้ เขากำลังทะยานออกไปพันจั้ง หลังจากออกห่างจากระลอกคลื่นของสมบัติลับที่พังทลาย ก็เอาของวิเศษชิ้นหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
วัตถุชิ้นนี้ไม่ธรรมดา เป็นของวิเศษที่มีพลังมหาศาลในตัวเขา ไม่เพียงแต่เพิ่มความเร็วของเขาได้ ยังสามารถเคลื่อนย้ายได้เป็นระยะไกล ไกลกว่ายันต์ส่งข้ามและเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาของตัวเอง
หลังจากเอาออกมา เขาก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ทำการกระตุ้นทันที
แต่ของวิเศษที่ปกติแล้วใช้ได้ปกติดี ตอนนี้กลับกระตุ้นล้มเหลว เหมือนว่าเป็นเพราะเขาลนลานเกินไป อีกทั้งการระเบิดของสมบัติลับ จึงเป็นเหตุให้พลังเวทในร่างมีปัญหา
หากเป็นเพียงเรื่องแค่นี้ก็แล้วไปเถิด ยังไม่นับว่าแปลกประหลาดอะไรเป็นพิเศษ เรื่องที่ทำให้จิตใจของเขาเกิดคลื่นลูกยักษ์ซัดโหมคือ หลังจากที่ของวิเศษชิ้นนี้กระตุ้นล้มเหลวก็เกิดรอยร้าว
เสี้ยวขณะต่อมาก็ส่งเสียงดังบึ้ม ระเบิดขึ้นมาเอง
เพียงแค่มันชิ้นเดียวก็ช่างเถิด แต่ของวิเศษหลายชิ้นที่อยู่บนคอและในตัวของราชครูคนนี้ต่างได้รับเศษพลัง ต่างระเบิดเองหมด
เสียงระเบิดและระลอกคลื่นพลังรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ท่วมจมเงาร่างเขาไปในนั้น
จากเสียงโหยหวนเวทนาที่ดังออกมา เขาบาดเจ็บสาหัสร่วงลงสู่พื้นโซซัดโซเซ ร่างที่เดิมก็อ่อนแออยู่แล้วหลังจากที่ระเบิดสมบัติลับเอง ทั้งยังผ่านการระเบิดของของวิเศษทั้งหมด ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บซ้ำซ้อน ท่ามกลามความตกใจสงสัยก็ทำได้แค่ดิ้นรนเท่านั้น
เขานั้นยังไม่นับว่าแปลกประหลาดที่สุด ตอนนี้แม่ทัพใหญ่เผ่าเงาคันฉ่องที่อยู่กลางอากาศ ขณะที่ทะยานหนีเอาตัวรอดบนท้องฟ้า จู่ๆ กลับหันหลังไปอย่างน่าแปลกประหลาด พุ่งตรงไปยังบริเวณพลังจากคลังสมบัติที่ระเบิดเองปกคลุมทางนั้น
เขาในฐานะที่มีพลังบำเพ็ญเท่ากับราชครู ความเร็วรวดเร็วนัก เพียงพริบตาก็พุ่งเข้าไปในนั้น…
แต่พวกเขาสองคนเปรียบเทียบกันแล้ว เจ้ารัฐเผ่าผืนนภาที่อยู่บนท้องฟ้า เรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขามากพอที่จะทำให้ทุกคนสยดสยองพรั่นพรึง
เขากำลังทะยานอย่างบ้าคลั่งอยู่บนท้องฟ้า แต่เพียงพริบตา บนม่านฟ้าที่มืดมิดจู่ๆ ก็มีเพลิงสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ต้องรู้ว่าเพลิงสวรรค์ได้จบสิ้นไปได้เดือนกว่าๆ แล้ว แม้จะมีเศษเสี้ยวหลงเหลืออยู่บ้างบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่เกิดเป็นเคราะห์ภัยสาหัสร้ายแรง อีกทั้งอาณาเขตก็ไม่ได้กว้างมาก
โดยเฉพาะในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ โอกาสที่เพลิงสวรรค์ที่หลงเหลือเหล่านี้จะร่วงลงมายังพื้นที่อาศัยของกลุ่มคนได้อย่างพอดีนั้นมีน้อยมาก
แต่ตอนนี้…เพลิงสวรรค์ที่ปรากฏบนท้องฟ้ามีขอบเขตถึงหลายร้อยจั้ง อีกทั้งยังพุ่งลงมายังบริเวณที่ศีรษะของราชครูเผ่าผืนนภาคนนั้นโผล่ออกมาอย่างพอดิบพอดีทันทีอีกด้วย
พลังเพลิงสวรรค์น่าหวาดหวั่นซัดลงมาทันที
ส่วนราชครูเผ่าผืนนภาคนนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หลังจากที่สมบัติลับระเบิดกำลังรบยังเหลืออีกกว่าครึ่ง ตอนนี้ท่ามกลางความหวาดกลัวก็พลันทะยานออกไป แม้จะถูกเศษพลังซัดบ้าง ร่างลุกไหม้ส่งเสียงครางต่ำทุ้มออกมา แต่สุดท้ายก็หลบหลีกไปได้อย่างเฉียดฉิว
มองเพลิงสวรรค์ที่พุ่งลงมา ในยามที่ราชครูเผ่าผืนนภาคนนี้ในใจตกใจสงสัย เรื่องประหลาดที่เกิดกับเขาก็ยังไม่หมด
ในม่านฟ้าบนท้องฟ้า เกิดฟ้าแลบนับไม่ถ้วนอย่างน่าประหลาด ฟาดผ่ามาที่เขา
จำนวนมีมากถึงหมื่นกว่าทาง
เรื่องแบบนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางเกิดขึ้น โอกาสน้อยมากๆ ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นจริงๆ
ราชครูเผ่าผืนนภาคนนั้นรูม่านตาหดเล็ก ต้านทานอย่างบ้าครั้ง ท่ามกลางเสียงฟาดผ่ารัวเป็นชุด เขากระอักเลือดออกมา ร่างกายโซซัดโซเซ ในที่สุดก็หนีจากบริเวณสายฟ้าฟาดได้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้โล่งใจ ร่างของเขาจู่ๆ ก็หยุดชะงักกลางท้องฟ้า สีหน้าย่ำแย่ ในดวงตาฉายแววงุนงงทำอะไรไม่ถูก ในตอนที่ก้มหน้าลงไปช้าๆ ร่างของเขาก็แห้งเหี่ยวไปอย่างรวดเร็ว
คำสาปที่ฟื้นคืนในร่างของเขาเดิมถูกสะกดเอาไว้ แต่ตอนนี้เนื่องจากสมบัติลับระเบิด จากระลอกคลื่นพลังทุกอย่างของเขาหลังจากนั้น คำสาปก็พลันปะทุมาแผ่ปกคลุมไปทั้งร่าง
คำสาปของชื่อหมู่ ตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
เสี้ยวขณะต่อมา ร่างของเขาท่ามกลางการแห้งเหี่ยวก็สลายกลายเป็นฝุ่นเถ้า ก่อนตาย เขามองคนอื่นๆ ผาดหนึ่ง คนอื่นๆ ล้วนไม่เป็นอะไร
ภาพนี้ทำให้ราชครูเผ่าผืนนภาที่ดิ้นรนบนพื้นคนนั้น ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในใจพุ่งถึงขีดสูงสุด
“เคราะห์หายนะ!!”
เสี้ยวพริบตาที่เสียงดังออกมา พลังส่งข้ามก็แผ่มาจากอีกทิศหนึ่งของท้องฟ้า
นั่นเป็นเจ้ารัฐเงาคันฉ่อง เขาใช้การกระทำเคลื่อนไหวทำลายผลของเคราะห์หายนะ บีบยันต์ส่งข้ามระยะไกลแหลกละเอียดอย่างไม่มีอาการผิดปกติใดๆ หายไปจากท้องฟ้าทันที
และหลังจากเรื่องทุกอย่างนี้ พลังอำนาจเทพของนิ้วเทพเจ้าแผ่ออกไปอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่สามสิบจั้งเดินออกมาจากระลอกคลื่นพลังระเบิดจากสมบัติลับคลังที่สี่
ตาเปล่ามองไป ร่างขององค์ท่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ยังคงประกายแสงสีทองพร่างพรายเจิดจ้า ไม่มีอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย เหมือนว่าการระเบิดของสมบัติลับสี่คลัง สำหรับองค์ท่านแล้วเป็นแค่ดอกไม้ไฟลูกเล็กๆ ก็เท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว…ร่างขององค์ท่านตอนนี้เหี่ยวแห้ง เพื่อรักษาร่างนี้เอาไว้ องค์ท่านจำต้องใช้พลังเทพของตัวเอง นี่ทำให้องค์ท่านที่เดิมก็หิวอยู่แล้วตอนนี้หิวจนถึงขีดสุด ในดวงตาฉายแววจะกินคนออกมา
“หิวๆๆๆ!!”
นิ้วเทพเจ้าน้ำลายไหลอย่างไม่อาจควบคุมได้ ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตรงไปยังผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณที่ดิ้นรนอยู่บนพื้นที่ไกลๆ ท่ามกลางความสิ้นหวังของราชครูเผ่าผืนนภา นิ้วเทพเจ้าก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลืนกินลงไปในคำเดียว
ความหิวยังคงรุนแรงเช่นเคย เสียงกรอบแกรบที่ดังออกมาจากในร่างเขาราวกับเสียงฟ้าผ่า
ดังนั้น นิ้วเทพเจ้าจึงพลันหันไป ดวงตาฉายความเหี้ยมโหด มองไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์สองเผ่าทางนั้น สีหน้าฉายแววดิ้นรน
แต่ต่อให้เป็นอาหารที่รสชาติย่ำแย่เพียงใด เทียบกับความหิวสุดขีดในตอนนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไรแล้ว
ดังนั้น องค์ท่านเพียงไหววูบก็มาถึงยังเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางความสิ้นหวังของผู้คนทั้งสองเผ่า องค์ท่านอ้าปาก แล้วดูด
ทันใดนั้นคลื่นวนเหนือศีรษะองค์ท่านก็พุ่งลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปกคลุมเมืองนี้เอาไว้
เสียงร้องโหยหวนนับไม่ถ้วน เสียงร้องน่าเวทนาขนลุก ในเสี้ยวขณะนี้ก็ดังมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน จะเห็นร่างของผู้คนในเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกคลื่นวนดูด กลืนกิน
ขั้นตอนนี้ไม่นาน ก็แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น เมืองสองเผ่า…โดยพื้นฐานว่างเปล่าแล้ว
“รสชาติแย่ แย่ แย่จริงๆ!” นิ้วเทพเจ้าคำรามอย่างโศกเศร้า เสียงดังไปทั่ว ท้องฟ้าเดือดพล่าน
ตวนมู่ฉางที่อยู่บนลานพิธีสังเวยมองเงาร่างกลางท้องฟ้า ไม่อาจเชื่อทุกอย่างที่เห็นเบื้องหน้าได้
‘เผ่ามนุษย์ที่อยู่ภายนอกแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ’
ต่อให้ตวนมู่ฉางรู้ว่าความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็เกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้อยู่ดี
ดีที่นิ้วเทพเจ้านับว่ายังมีสติอยู่บ้าง ไม่ได้กลืนกินเขาลงไป ตอนนี้หลังจากคำราม องค์ท่านก็พลันสัมผัสได้ เงยหน้ามองฟ้า อ้าปากกว้าง เหมือนกำลังรออะไร
ไม่นานนัก ระลอกคลื่นค่ายกลส่งข้ามลูกหนึ่งแผ่ซ่าน มีเงาร่างหนึ่งพลันปรากฏมาที่หน้านิ้วเทพเจ้า เป็นเจ้ารัฐเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้นที่หนีไปนั่นเอง
เพียงแต่เขาในตอนนี้สะบักสะบอมน่าสมเพชนัก ร่างหายไปกว่าครึ่ง วิญญาณหลุดจากกระจกแตกสลาย กระจกที่เป็นร่างของตัวเองก็มีรอยร้าวแผ่ลามไปหมด เผยให้เห็นใบหน้าที่แฝงด้วยความสิ้นหวัง
เขาส่งข้ามสำเร็จแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่กลับปรากฏตัวใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ จ่ายค่าตอบแทนมหาศาล เขาคิดอยากจะฝ่าออกมาจากทะเพลิงสวรรค์ แค่ก็เจอกับอสูรประหลาดในทะเลเพลิงสวรรค์
ท่ามกลางความจนปัญญา ต่อให้เขารู้ว่ามีเคราะห์หายนะลงมาเยือน แต่เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไปก็ทำได้แค่หาโอกาสทำการส่งข้ามอีกครั้ง
และการส่งข้ามครั้งที่สอง เขามาปรากฏตัวที่นี่
ท่ามกลางความสิ้นหวังและความโศกเศร้าโกรธแค้นพวยพุ่งขึ้นในใจ ปากมหึมาของนิ้วเทพเจ้าก็กัดเขาเอาไว้ ภายใต้การกัดคำนี้ก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลี
จากนั้น นิ้วเทพเจ้าก็โก่งตัวอย่างอดไม่ได้ แสดงท่าทางอาเจียนต่อไป สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อความไม่เป็นธรรม
จากนั้นก็ก้าวเท้าไปยังเมืองร้างที่อยู่ข้างล่าง
จากฝีเท้าที่เหยียบย่างลงมา ร่างขององค์ท่านก็ค่อยๆ ย่อเล็กลงจากร้อยจั้งมาเป็นสามสิบจั้ง แล้วมาเป็นสิบจั้ง จนกระทั่งสุดท้ายในตอนที่เปลี่ยนมามีขนาดเท่ากับคนปกติ สีทองทั่วทั้งร่างหายไป ประกายแสงสีทองในดวงตาสลายไป
สวี่ชิงรับช่วงการควบคุมร่างอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววสงบนิ่ง เดินไปที่ลานกว้าง
ในทะเลความรู้สึกของเขา ตอนนี้ทั่วทั้งร่างนิ้วเทพเจ้าแผ่กลิ่นอายคำสาปเข้มข้น กำลังคำรามโมโหอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม
“อาหารที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทุกร่างล้วนมีสัญลักษณ์หมด ไม่ว่าจะฆ่าหรือจะกินล้วนแต่ได้รับคำสาปจากชื่อหมู่ของพวกเขาราวกับกรรมเวร!
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่กินๆๆ!
“ตอนนี้จบเห่แล้ว ทันทีที่ชื่อหมู่ตื่นขึ้นมา พวกเราจะเป็นคนแรกที่ถูกกิน!
“ข้าจะนอนๆ ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะตะโกนเรียกข้าอย่างไร ข้าก็จะไม่ตื่นเด็ดขาด!!”
มองนิ้วที่กระฟัดกระเฟียด สวี่ชิงปลอบประโลมในใจเล็กน้อย แต่นิ้วเทพเจ้าไม่สนใจสวี่ชิงเลย ตรงดิ่งไปยังติงหนึ่งสามสอง หลับใหลอย่างรวดเร็ว
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็จนปัญญา ไม่สนใจ เดินมายังลานกว้าง มองไปทางตวนมู่ฉาง
ตวนมู่ฉางถอยหลังไปสามสี่ก้าวตามสัญชาตญาณ แต่ก็ควบคุมตัวเองอย่างรวดเร็ว ยิ้มขื่นออกมา
“เจ้า…เจ้ายังเป็นเจ้าหรือไม่”
สวี่ชิงพยักหน้า สายตามองไปรอบๆ
เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ว่างเปล่าแล้ว อาจจะเหลือพวกที่รอดอยู่บ้าง แต่พิษต้องห้ามอยู่ในกายก็มีชีวิตรอดไปได้อีกไม่นานเท่าไร
ตวนมู่ฉางรู้สึกค่อนข้างเหมือนฝัน การสังหารล้างบางเมืองสองเผ่าเช่นนี้ แต่ก่อนเขาเคยคิด แต่ว่าทำไม่ได้ ตอนนี้เห็นกับตาตัวเอง เขารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริงเลย
จนกระทั่งนานหลังจากนั้น ตวนมู่ฉางถึงได้สูดลมหายใจลึก ในดวงตาฉายประกายอีกครั้ง
จะอย่างไรเขาก็เป็นเจ้ารัฐเล็กๆ ของเผ่ามนุษย์ เรื่องราวที่ประสบพบเจอมากมาย รู้ดีว่าเรื่องสำคัญในตอนนี้คือจะจัดการเรื่องราวภายหลังอย่างไร
“จากนั้นข้าจะไปรับพวกพ้องกลับมา”
ตวนมู่ฉางมองไปทางสวี่ชิง
“ได้” สวี่ชิงพยักหน้า บอกสถานที่ จากนั้นก็คิดครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า
“ทางตำหนักพระจันทร์สีชาดทางนั้น…”
ตวนมู่ฉางลุกขึ้น ในดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด เขาในตอนนี้สะกดความตื่นตะลึงในใจโดยสมบูรณ์แล้ว เริ่มวิเคราะห์เรื่องที่ต้องจัดการ ได้ยินก็ส่ายหน้า
“ตำหนักพระจันทร์สีชาดอยู่สูงส่ง สำหรับความเป็นตายของเผ่าเล็กๆ สองเผ่านั้นไม่มีทางสนใจหรอก พวกเขาสนใจเพียงบรรลุเป้าจำนวนเครื่องเซ่น ดังนั้นพวกเราต้องรีบเตรียมเครื่องเซ่นให้เร็วที่สุด
“สมาชิกสองเผ่านี้มีเพียงผู้โดดเด่นยอดเยี่ยมเท่านั้นจึงจะอาศัยในเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้างนอกยังมีสมาชิกเผ่าอีกมากมาย จำนวนเกินห้าแสน
“เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้พวกมันยังไม่รู้เรื่องที่นี่ ข้าจัดการเอง นี่คือเครื่องเซ่นของพวกเราเชียวนะ!”
ตวนมู่ฉางสูดลมหายใจลึก สัมผัสพลังบำเพ็ญในกายเล็กน้อย สวี่ชิงก็ส่งลูกกลอนที่อยู่ในถุงเก็บของไปให้
หลังจากรับยาลูกกลอนมา ตวนมู่ฉางก็ฉีกยิ้ม มองไปรอบๆ
“เวลาไม่รอใคร!
“สวี่ชิง ที่นี่ฝากเจ้าด้วย!”
พูดแล้ว ตวนมู่ฉางก็กลืนยาลูกกลอนลงไป ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตรงไปยังท้องฟ้า
มองจนตวนมู่ฉางลับสายตาไป สวี่ชิงยืนอยู่บนลานกว้าง เงียบนิ่งอยู่นาน
ตวนมู่ฉางจัดการอย่างไรเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ สามารถสร้างสถานคุ้มครองในสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนี้ได้ อีกทั้งพลังบำเพ็ญยังถึงระดับนี้ ตวนมู่ฉางจะต้องมีจุดที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่าผู้อื่น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงมองเมืองว่างเปล่าแห่งนี้ เดินไปข้างหน้า
จากฝีเท้าของเขา พิษต้องห้ามที่หลงเหลืออยู่ที่นี่เป็นระลอกๆ หลอมรวมมาจากทั่วทุกสารทิศ ผสานไปในร่างของเขาไม่หยุด และยังมีไอพลังประหลาดที่ตลบอวลอยู่ที่นี่ก็รวมมาเช่นกัน
ระหว่างทางเขาก็ได้เจอสมาชิกสองเผ่าที่โชคดีไม่ถูกกัดกิน แต่กลับดิ้นรนภายใต้พิษที่กำเริบจำนวนหนึ่ง
สำหรับพวกนี้ ไม่รอให้สวี่ชิงลงมือ บรรพจารย์สำนักวัชระก็พุ่งไปอย่างรวดเร็ว แล้วโจมตีสังหารในพริบตา
สองวันผ่านไปเช่นนี้ เมืองที่เผชิญกับเคราะห์ภัยเมืองนี้ ชำระล้างความชั่วร้ายแล้ว แม้จะว่างโล่ง แต่สวี่ชิงที่นั่งอยู่บนหลังคาวัง ทอดสายตามองขอบฟ้ากลับสัมผัสได้ถึงความสงบสุขที่ไม่ได้รับมานาน
พลังบำเพ็ญของเขายกระดับขึ้นไม่น้อย
แม้สุดท้ายนิ้วเทพเจ้าจะกลืนกินทุกสิ่ง สวี่ชิงไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากในนั้น แต่การสังหารและดูดซับของเขาก่อนหน้านี้ ก็ยังทำให้ปราณทั้งหมดในร่างล้วนยกระดับขึ้นจนเกือบจะถึงขั้นเหนี่ยวนำทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ครั้งที่สองได้โดยไม่รู้ตัว
“ใกล้แล้ว”
สวี่ชิงพึมพำ
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ท้องฟ้าไร้ดวงจันทร์
ในฟ้าดินอันมืดมิด สวี่ชิงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เขานึกถึงเผ่ามนุษย์ที่กลายเป็นเศษเนื้อเละๆ เหล่านั้น คิดถึงพั่นเยี่ยน
นานหลังจากนั้น เขาก็เอาขลุ่ยสีม่วงเลาหนึ่งออกมา จรดมันที่ริมฝีปาก ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่จื่อเสวียนสอน
เสียงขลุ่ยครวญดังก้องไปในเมืองที่ว่างเปล่าแห่งนี้ วนเวียนไม่เลือนหายไป
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ
สิบวันผ่านไป เผ่ามนุษย์มาถึง
ทันทีที่คนแสนกว่าคนสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ประกายแสงสีขาวทางหนึ่งก็พุ่งมาอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเงาหญิงสาวคนหนึ่งตรงดิ่งมาหาสวี่ชิง
ประชิดเข้ามาใกล้ในพริบตา
“พี่สวี่ชิง!”
หลิงเอ๋อร์พุ่งมากอดสวี่ชิง
สวี่ชิงลูบศีรษะหลิงเอ๋อร์อย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์มาโดยตลอดเผยรอยยิ้มออกมา และเห็นเจ้าเงา ตลอดจนสิงโตหินกับศีรษะที่ตามกลับมาอยู่ข้างหลังหลิงเอ๋อร์
ไม่รอให้ศีรษะได้อ้าปาก สวี่ชิงก็สะบัดมือเก็บพวกมันลงไปในติงหนึ่งสามสอง
ส่วนเจ้าเงาก็ผสานไปใต้เท้าสวี่ชิงอย่างเรียบร้อยว่าง่าย
“ไปเถอะ พวกเราไปต้อนรับพวกเขาสักหน่อย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา เดินไปทางฝูงชน
วันเวลาหลังจากนั้น ทุกอย่างเป็นปกติ
การมาถึงของเผ่ามนุษย์แสนกว่าคนทำให้เมืองแห่งนี้พลังชีวิตลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนความเศร้าโศกก็ถูกผู้คนฝังเอาไว้ในความทรงจำ อนาคตและความหวังแปรเปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธุ์ เติบโตในใจของพวกเขา
สิ่งก่อสร้างที่เสียหายแต่ละแห่งได้รับการบูรณะ กำแพงเมืองที่พังถล่มได้รับการซ่อมแซม
เสียงหัวเราะเริ่มดังขึ้นมาในเมืองอย่างช้าๆ เสียงแห่งความสุขค่อยๆ ดังขึ้นในถนนแต่ละสายๆ
ตวนมู่ฉางกลับมาหลังจากนั้นหนึ่งเดือน
ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร ในตอนที่กลับมา ข้างหลังเขามีกรงขนาดมหึมา สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในนั้นราวกับสินค้าล้วนเป็นสมาชิกของสองเผ่า
เพราะเผ่าผืนนภาตัวใหญ่มาก ดังนั้นจำนวนกรงจึงค่อนข้างมาก แต่ว่ามองภาพรวมแล้ว จำนวนเครื่องเซ่นเกินห้าแสน
สีหน้าที่สิ้นหวัง สายตาที่เฉยชา เหมือนกับเผ่ามนุษย์ที่ถูกพวกเขาเอามาทำเป็นอาหารทุกประการ
สำหรับสมาชิกสองเผ่าเหล่านี้ สวี่ชิงไม่สงสารแม้แต่น้อย
พวกเขาเดิมก็ถูกปล่อยเอาไว้นอกเมือง รอคอยการมาเยือนของชะตาชีวิต
และการกลับมาของตวนมู่ฉางก็ทำให้ความเร็วการฟื้นฟูเมืองเร่งเร็วขึ้น ค่ายกลค่อยๆ ได้รับการซ่อมแซมอย่างง่ายๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง
จากการปกคลุมของม่านป้องกัน เผ่ามนุษย์แสนกว่าคนส่งเสียงโห่ร้องยินดี หลิงเอ๋อร์อยู่ในนั้นกระโดดโลดเต้นเช่นกัน
สำหรับเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหลุมร้าง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากข้นแค้น จะกลายเป็นอาหารได้อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นความปลอดภัยที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
มองภาพเหล่านี้ สวี่ชิงที่นั่งอยู่บนกำแพงเมือง ในใจมีคำอวยพรผุดขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางขอบฟ้าที่ไกลๆ เขาต้องไปแล้ว
‘น่าเสียดาย ข้ายังไม่มีวิธีแก้คำสาปให้พวกเขาเลย’
ในยามที่สวี่ชิงพึมพำในใจ ก็หันไปมองข้างๆ
เงาร่างรางเลือนของตวนมู่ฉางปรากฏขึ้นตรงนั้น หลังจากที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เขาก็โยนกาสุราให้สวี่ชิงกาหนึ่ง นั่งลงข้างๆ มองผู้คน สีหน้าฉายแววซาบซึ้ง
“สวี่ชิง ขอบคุณเจ้านะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขามองสวี่ชิง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
สวี่ชิงส่ายหน้า ดื่มสุราในกา
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
ตวนมู่ฉางสายตาล้ำลึก มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ และไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เห็นในวันนั้น เขาเลือกที่จะลืมเรื่องพวกนั้นเอง
เพราะเขารู้ว่าทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง เรื่องบางเรื่องไม่ต้องถาม ไม่ต้องไปสืบหา
“จริงสิ เรื่องเผ่าสัญจรมิติ ข้าช่วยเจ้าสืบมาแล้ว ร่องรอยของพวกมันตอนนี้รวมอยู่ที่ใจกลางของทางตะวันออก ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ตำหนักพระจันทร์สีชาดรอเผ่าต่างๆ ส่งเครื่องสังเวยไป
“อย่างไรเสียสำหรับเผ่าสัญจรมิติ เวลานี้เป็นช่วงนาทีทองของการทำธุรกิจของพวกมัน”
ตวนมู่ฉางดื่มสุรา เอ่ยขึ้น
สวี่ชิงพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาถามตวนมู่ฉางเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลส่งข้ามขอบเขตกว้าง เขาจะไปเขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น ทว่าภูเขาลูกนี้อยู่ทางใต้ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
ห่างจากที่นี่ไกลแสนไกล
และสวี่ชิงหลังจากที่มาถึงทะเลเพลิงสวรรค์ก็ไม่เคยเห็นค่ายกลอย่างที่เขตปกครองผนึกสมุทรเช่นนั้นเลย ต่อให้เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ไม่มี มีเพียงวัตถุประเภทยันต์ส่งข้ามบางอย่างเท่านั้น แต่ส่วนมากก็ล้วนไร้กฎเกณฑ์
ดังนั้นเขาเคยถามตวนมู่ฉาง จากคำของอีกฝ่ายคือในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ค่ายกลส่งข้ามที่กำหนดจุดหมายได้มีเพียงเผ่าใหญ่ๆ เท่านั้นถึงจะครอบครองได้
และโดยปกติแล้ว หากอยากจะส่งข้ามก็ต้องพึ่งพาเผ่าสัญจรมิติ
เผ่าสัญจรมิติเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษเผ่าพันธุ์หนึ่ง ในตอนที่พวกเขาเกิดมาจะมีประตูบานหนึ่งติดมาด้วย เผ่านี้ไม่มีถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน สมาชิกเผ่าทุกคนเมื่อบรรลุนิติภาวะก็จะออกเดินทาง เที่ยวพเนจรไปในแผ่นดินใหญ่
พรสวรรค์ของเผ่านี้คือสามารถประทับตราสถานที่ที่ไปไว้บนประตูของตัวเองได้ สามารถทำให้คนอาศัยตรานี้ส่งข้าม
นี่คือการค้าของเผ่านี้ ทุกครั้งที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเริ่มเก็บเครื่องเซ่น เผ่าที่ไม่มีค่ายกลส่งข้ามพวกนั้นก็คือแขกของเผ่าสัญจรมิติ
“ดังนั้น เจ้าไปทางตะวันออกกับข้าได้ อีกไม่กี่วันข้าก็จะเดินทางเหมือนกัน จะส่งเครื่องเซ่นพวกนั้นไปตำหนักเทพ”
สวี่ชิงได้ยินก็เงียบนิ่ง หากไม่มีค่ายกลส่งข้ามจากที่นี่ไปยังเขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้นจะต้องใช้เวลานานมาก อีกทั้งระหว่างทางก็อาจจะเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่ไม่รู้บางอย่างก็เป็นได้
อีกทั้งเวลานัดหมายของเขากับศิษย์พี่ใหญ่ก็เลยมาแล้ว
ต่างฝ่ายต่างติดต่อกันไม่ได้ หลังจากขบคิด สวี่ชิงสัมผัสพระจันทร์สีม่วงในร่างเล็กน้อย นึกถึงตอนที่เจอคนตำหนักเทพก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็สัมผัสเขาไม่ได้ จึงพยักหน้า
เช้าตรู่ของสามวันหลังจากนั้น สวี่ชิงพาหลิงเอ๋อร์ออกเดินทางไปพร้อมกับตวนมู่ฉางและขบวนรถกรงขังเช่นนี้
ในพริบตาที่ออกไปจากเมือง คนแสนกว่าคนในเมืองต่างเดินออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างคุกเข่าคารวะสวี่ชิงทางนั้นจากที่ไกลๆ
ในสายตาของพวกเขาแฝงไว้ด้วยคำอวยพร พวกเขาอธิษฐานขอให้สวี่ชิงเดินทางปลอดภัย
สวี่ชิงหันกลับไป จ้องมองข้างหลัง ใจสัมผัสรับรู้ได้ ประสานหมัดโค้งคารวะ
ท้องฟ้ามืดมิด พายุทรายหอบม้วนบดบังครรลองสายตา แต่กลับไม่อาจสกัดกั้นความหวังที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ได้
สวี่ชิงหันหลัง จากไปไกลร่วมกับขบวนรถ
ในลมพายุ เสียงแหบแห้งของตวนมู่ฉางลอยมา
“สวี่ชิง แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีตำนานเรื่องหนึ่ง ว่ากันว่า เนื่องจากเป็นตัวตนที่ถูกสาป ดังนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ตายทั้งหมด วิญญาณของพวกเขาจะไม่เข้าสู่วัฏสงสาร แต่จะกลับไปยังตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด
“จวบจนเมื่อชื่อหมู่มาถึง กินเครื่องเซ่น วิญญาณเหล่านี้ถึงจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ กลับลงมาเกิดใหม่
“เป็นวงจรซ้ำๆ เช่นนี้ ที่นี่ถึงได้ถูกเรียกว่าแหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณจันทร์สีชาด คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ ทุกชาติทุกภพล้วนแต่ได้รับความทรมาน หนีไปไม่พ้นแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
“ดังนั้น…พั่นเยี่ยนแม้จะตายแล้ว แต่วิญญาณของนางอาจจะยังอยู่ที่ตำหนักเทพ”
