บทที่ 576 ละครฉากใหญ่
บทเพลงไพเราะ มาพร้อมท่วงทำนองมงคล ส่วนโยวจิงที่ย่างกรายมาก็งดงามเพริศแพร้วไร้เทียบเทียม ความสง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้นั้น ทำให้ผู้ที่พบเห็นทั้งหมดรู้สึกคล้ายได้ดอมดมบุปผาบางอย่างขึ้นมา
เสียงระฆังดังก้องสำนักบุปผาหยินหยาง สามครั้ง
นี่คือพิธีการต้อนรับแขกคนสำคัญ และเป็นการแสดงความเคารพต่อเสวียนมิ่งจื่อด้วย
ส่วนอวิ๋นเสียจื่อก็เดินออกมาด้วยตัวเอง อมยิ้มมองโยวจิง เอ่ยแผ่วเบาว่า
“สหายเต๋าเซียงหาน สบายดีหรือไม่”
“คารวะเจ้าสำนักอวิ๋นเสียจื่อ” โยวจิงสาวเท้าเดินไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ออกมา เห็นไฝจางๆ เม็ดหนึ่งบนลำคอ ทำให้หลังจากที่เห็นยิ่งประทับใจลึกซึ้งขึ้นอีก
“จัดการบ่อวิญญาณให้เรียบร้อยแล้ว เชิญ”
อวิ๋นเสียจื่อแย้มยิ้มเช่นเคย ยกมือขึ้นโบก ประตูสำนักบุปผาหยินหยางพลันเปิดออก หญิงทั้งคู่ก็เยื้องย่างไปยังบ่อวิญญาณด้วยการนำทางของนาง
เพียงไม่นานก็มาถึงด้านหลังเขา บ่อวิญญาณแห่งนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ ถัดจากนี้หนึ่งเดือน ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา โยวจิงจะอยู่ที่นี่เพื่อชำระล้างร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมพิธีสมรสหนึ่งเดือนหลังจากนี้
ผู้ที่ตามนางเข้ามาได้ มีเพียงสาวใช้ข้างกายส่วนหนึ่งเท่านั้น
ถึงอย่างไรที่นี่ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น และนางก็ไม่ได้มีพลังบำเพ็ญของอ่อนแอ เบื้องหลังยิ่งมีเสวียนมิ่งจื่อ
ดังนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะสมเหตุสมผล
เมื่อมาถึงข้างบ่อวิญญาณ โยวจิงมองบ่อน้ำที่มีปราณหมอกปกคลุมขมุกขมัว สัมผัสถึงท่วงทำนองวิญญาณที่ตลบอบอวลรอบๆ ในดวงตาก็ฉายแววพึงพอใจ นางรู้ว่าถัดจากนี้หนึ่งเดือน บ่อวิญญาณของทั้งเทือกเขามิรู้สิ้นจะมารวมกันที่นี่
นี่คือสิ่งที่เสวียนมิ่งจื่อเตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะ เป็นตัวแทนความรักที่มีต่อนาง
นึกถึงการกระทำเหล่านี้ของเสวียนมิ่งจื่อ ในใจโยวจิงก็โหมระลอกคลื่น ยกยิ้มมุมปากอย่างไม่รู้ตัว อดเงยหน้ามองไปยังทิศทางของสำนักชีวาทมิฬไม่ได้
โยวจิงพึมพำในใจ ดวงตาเผยภาพที่ใฝ่ฝันในอนาคต หลังจากบอกลาอวิ๋นเสียจื่อแล้ว นางก็ย่อตัวลง ขณะที่เผยส่วนโค้งเว้าอวบอัดเต็มไม้เต็มมือ ก็ค่อยๆ กวนน้ำอุ่นในบ่อเบาๆ
จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในบ่อวิญญาณ
น้ำในบ่อทำให้อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มแนบเนื้อ เผยให้เห็นทรวดทรงโค้งเว้างามงอนที่ทำให้เพศตรงข้ามทุกคนใจเต้นระรัว ร่างเงาของนางก็เยื้องย่างไปเบื้องหน้าที่ใจกลางของบ่อน้ำแล้วนั่งลง
บทเพลงยังคงคลอเคล้า สาวใช้นับสิบนั่งขัดสมาธิรอบๆ บ้างก็โปรยดอกไม้ บ้างก็บรรเลงเพลง ทั้งมีการใช้วิชาเหนี่ยวนำน้ำในบ่อจนเกิดระลอกคลื่น ราวกับกลายเป็นมือเล็กๆ นับไม่ถ้วน ชำระล้างร่างกายให้โยวจิง
ความรู้สึกสบายเช่นนั้น ทำให้โยวจิงหลับตาลง สีหน้าพึงพอใจ
เพียงแต่นางไม่ได้สังเกตเลยว่าที่ก้นบ่อน้ำ จุดที่ห่างจากเรือนร่างของนางไม่ไกลนักมีโคลนก้อนหนึ่ง ตอนนี้ด้านบนมีรอยแยกทางหนึ่ง เผยดวงตาออกมา
นอกจากนี้ก้นบ่อน้ำยังมีค่ายกลที่กำลังทำงานอย่างไร้สุ้มเสียง
ส่วนคลื่นพลัง ไม่รู้ว่านายกองทำได้อย่างไร พรางไว้เสียมิดชิด
ขณะเดียวกัน ด้านในหุบเขาแห่งหนึ่งนอกสำนักบุปผาหยินหยาง นายกองกับสวี่ชิงสวมหน้ากากไว้
“พี่เจี้ยนเจี้ยน ท่านไปหาหนิงเหยียน เจ้าเด็กนั่นไม่รู้หนีไปที่ใดแล้ว จะทิ้งเขาให้อยู่ลำพังไม่ได้ พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกันก็ต้องอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับตอนที่เขาหาท่านในตอนนั้น
“ศิษย์น้องเล็ก คนอื่นๆ ในบ่อวิญญาณต้องพึ่งเจ้าแล้ว อย่าสังหารเล่า ให้พวกนางหมดสติไปก็พอ
“ส่วนโยวจิง ข้าจะดึงนางเข้าไปในเศษชิ้นส่วนโลก เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ตอนที่ออกมาก็จะไม่ใช่นางแล้ว” น้ำเสียงนายกองเคร่งขรึม แผนการของพวกเขาดำเนินการมาจนถึงบัดนี้ แม้ทุกอย่างราบรื่น แต่ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด
จะสำเร็จหรือไม่ ต้องดูว่านายกองจะสามารถสะกดโยวจิงได้หรือเปล่า
หากในท้ายที่สุดทำไม่ได้ พวกเขาก็ต้องหาวิธีหลบหนีออกจากที่นี่
อู๋เจี้ยนอูก็กังวลเช่นกัน เมื่อได้ฟังแผนการของนายกอง เขาก็ออกแรงพยักหน้า แอบคิดว่าหากสองคนนี้ล้มเหลวแล้วตนเองหนีออกไม่ได้ ต้องคิดข้อแก้ตัวไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าจะตัดความสัมพันธ์อย่างไร
สวี่ชิงไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น เขาเพียงมองดวงตานายกอง ความรู้สึกแปลกประหลาดกับเรื่องนี้ บีบคั้นจิตใจของเขาอย่างยิ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก เชื่อข้า!” สายตานายกองฉายแววลึกล้ำมองสวี่ชิง หลังจากยิ้มก็ยกมือล้วงดวงตาดวงหนึ่งออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเหมือนกำลังค้นหา
ครู่ต่อมานายกองก็เลิกคิ้ว เหมือนเห็นภาพส่วนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมาย
กระทั่งดวงตาก็คล้ายเปล่งประกายขึ้นมา
ตอนที่สวี่ชิงรู้สึกประหลาด นายกองก็กระแอมไอ บีบดวงตาในมือจนละเอียด พริบตาต่อมาคลื่นวนก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ร่างของนายกองกลืนเข้าไปด้านในในพริบตา
สวี่ชิงไม่มีหยุดชะงัก แม้ว่าเขาจะสงสัยอย่างมาก แต่เขาก็เชื่อใจนายกอง ตอนนี้จึงไหววูบเข้าไปในคลื่นวนเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเข้าไป คลื่นวนก็หายไป
พริบตาต่อมา ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวในบ่อวิญญาณ!
แทบจะพริบตาที่พวกเขาปรากฏตัว ค่ายกลที่นายกองวางไว้ในบ่อวิญญาณก็ปะทุขึ้น กลายเป็นพลังอำพรางปกคลุมไปทั่ว ส่วนโคลนก้นบ่อก้อนนั้นก็กลายเป็นคลื่นวนขึ้นมา แผ่แรงดึงดูดน่าครั่นคร้ามออกมา
สวี่ชิงและนายกองไม่ชักช้าลังเล ต่างพุ่งออกไป
เป้าหมายของสวี่ชิงคือสาวใช้รอบๆ เหล่านั้น ส่วนเป้าหมายของนายกองคือโยวจิง
แหวกผืนน้ำจนซ่านกระเซ็น สาวใช้รอบๆ หน้าเปลี่ยนสีกันหมด ส่วนโยวจิงที่แช่อยู่ในบ่อ สีหน้าเปลี่ยนไปครั้งใหญ่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้
ต่อให้นายกองจะสวมหน้ากาก แต่นางแค่เห็นก็จำได้
“เป็นเจ้า!”
นายกองไม่กล่าวให้มากความ ทั่วร่างเปล่งแสงสีน้ำเงิน มีดวงตามหาศาลปรากฏขึ้นบนร่าง ทุกดวงมีฉายใบหน้าอยู่ด้านใน และดวงตาทั้งคู่ในทุกใบหน้าก็ยังมีใบหน้าซ้อนอยู่อีก
ขณะที่ทั้งร่างดูเหมือนสิ่งประหลาด เขาก็ประหนึ่งเป็นค้างคาวขนาดยักษ์ พุ่งไปหาโยวจิงที่เปียกโชกไปทั้งตัว
สวี่ชิงไม่มีเวลาสนใจนายกองทางนั้น พริบตาที่ผิวน้ำซ่านกระเซ็น เขาก็พุ่งตรงไปหาสาวใช้คนหนึ่งราวกับภูตผี หยดน้ำกลางอากาศล้วนบิดเบี้ยวกลายเป็นก้อนกลมพุ่งไปหาสาวใช้คนอื่น
ทุกอย่างรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงพริบตาร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสาวใช้คนนั้น สาวใช้คนนี้หน้าถอดสี กำลังจะถอยหนี แต่ก็สายไป สวี่ชิงยกมือโบก ทันใดนั้นสาวใช้คนนี้ก็กระอักเลือด กลิ้งไปกับพื้นสลบไปทันที
สวี่ชิงไม่ได้สังหาร เจ้าเงาใต้เท้าแผ่ออกไป ขณะที่กลายเป็นม่านฟ้าสีดำ มันก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีก
สาวใช้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแก่นลมปราณ ปราณก่อกำเนิดมีเพียงสองคน ห่างชั้นกับสวี่ชิงมาก ดังนั้นสวี่ชิงจึงจัดการเสร็จสิ้นในสองสามอึดใจ
สาวใช้นับสิบคนนั้นไม่มีใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว ทั้งหมดนอนสลบไสลระเกะระกะรอบๆ บ่อน้ำ เสร็จเรื่อง สวี่ชิงก็หันหน้ากลับไปมองนายกอง
สิ่งที่เห็นคือร่างของนายกองแตกสลายไปขณะที่โยวจิงโบกมือพลางแค่นเสียงเย็น แตกกระจายเป็นชิ้นๆ
แต่พริบตาต่อมา ร่างกายที่แตกเป็นชิ้นๆ ของนายกองก็กลายเป็นแมลงสีน้ำเงินจำนวนมหาศาล พุ่งไปหาโยวจิงจากทั้งแปดทิศ
แมลงตัวเล็กเหล่านี้มีจำนวนมหาศาลมากเกินหมื่น แม้ตอนที่โยวจิงโบกมือจะยังคงแตกเป็นชิ้นๆ แต่ก็ยังแยกตัวออกอีกครั้ง
ชั่วพริบตา จำนวนของแมลงตัวเล็กก็เปลี่ยนจากหมื่นเป็นแสน สุดท้ายก็มากมายมหาศาลปกคลุมฟ้าดิน กลายเป็นคลื่นวน ปกคลุมรอบกายโยวจิง เชื่อมกับคลื่นวนใต้บ่อน้ำ
ชั่วพริบตา คลื่นวนหายไป โยวจิงในนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มีเพียงคลื่นวนในบ่อน้ำที่ยังเกิดระลอกคลื่นต่อเนื่องจากน้ำที่หยดลงไป หลังจากผ่านไปสิบกว่าอึดใจก็สงบลง
สวี่ชิงยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ มองทุกอย่างนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจยิ่งเข้มข้น เขาตรวจสอบรอบๆ อย่างรวดเร็ว ยืนยันว่าคลื่นพลังทั้งหมดในนี้ถูกอำพรางไว้แล้ว ไม่มีเล็ดรอดออกไปด้านนอกแม้แต่น้อย
‘ราบรื่นเกินไปแล้ว…
‘โยวจิงเคยเป็นผู้วิเศษหวนสู่อนัตตา ต่อให้ตอนนี้จะลดลงมาอยู่ที่สมบัติวิญญาณขั้นบริบูรณ์ ก็ไม่มีทางราบรื่นถึงเพียงนี้!’
สวี่ชิงดวงตาฉายแววครุ่นคิด แต่ไม่นานนักความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
‘แต่ความลับกับความแปลกประหลาดที่แฝงอยู่ในตัวนายกองมีมากเกินไป เขาระเบิดสุดกำลังทั้งเตรียมตัวมานานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขามั่นใจก่อนหน้านี้’
สวี่ชิงคิดก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผล จึงเสริมการอำพรางรอบด้านให้มั่นคงขึ้นพลางสังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำในบ่อ ขณะเดียวกันก็สัมผัสเศษชิ้นส่วนโลกที่ตนให้นายกองยืมไป
เรื่องที่เกิดขึ้นในนั้น เนื่องจากสิ่งที่กลไกจำนวนมากปิดกั้นด้านใน สวี่ชิงจึงไม่อาจตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ยังสัมผัสคลื่นพลังหวาดหวั่นที่ลอดออกมาจากด้านในได้
เวลาก็ไหลผ่านไปห้าชั่วยามเช่นนี้
สวี่ชิงรอคอยเงียบๆ แม้ยิ่งเวลาไปผ่านไปก็จะยิ่งเกิดปัญหาได้ง่าย แต่สวี่ชิงคิดว่าแม้นายกองจะบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้พ่ายแพ้ง่ายดายเช่นนั้น
ในที่สุด ก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ น้ำในบ่อก็เกิดระลอกคลื่น
สวี่ชิงถอยหลังไปสองสามก้าว อำพรางทั้งร่าง พร้อมหลบหนีไปได้ตลอดเวลา จ้องมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เพียงเห็นว่าผิวน้ำกระเพื่อม เกิดระลอกคลื่นไม่หยุด ศีรษะหนึ่งโผล่มาจากใต้ผิวน้ำ
นั่นเป็นศีรษะของหญิงคนหนึ่ง งดงามอ่อนช้อย ผิวขาวกว่าหิมะ เป็นโยวจิงนั่นเอง
หลังจากนางลอยขึ้นมากลางบ่อน้ำก็มองมาทางสวี่ชิง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเผยทรวดทรงงดงามที่อาภรณ์แนบเนื้อ ในมือหิ้วศีรษะครึ่งซีกไว้
ศีรษะนั้น…เป็นของนายกอง
ส่วนคลื่นพลังจากร่างนางก็ยังเป็นสมบัติวิญญาณขั้นบริบูรณ์เช่นเคย ตอนนี้สายตาที่มองสวี่ชิงเจือแววเย็นชา โยนศีรษะครึ่งซีกไปใต้เท้าสวี่ชิง
“ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ได้เรื่องเท่าไรเลยนะ”
ศีรษะกลิ้ง นายกองยังไม่ตาย ตอนนี้ดวงตาแฝงความขื่นขม เปล่งเสียงอ่อนระโหยโรยแรงออกมา
“ศิษย์น้องเล็ก รีบหนี…ที่นี่เป็นกับดัก…”
หน้าสวี่ชิงไร้อารมณ์
“ศิษย์พี่ใหญ่ เลิกเล่นได้แล้ว”
“ไม่ได้เล่น…เจ้ารีบหนีไป ครั้งนี้เป็นของจริง ประเดี๋ยวเสวียนมิ่งจื่อจะมาแล้ว นี่เป็นแผนการที่เขาพุ่งเป้ามาที่ข้า” ศีรษะครึ่งซีกของนายกองเอ่ยอย่างร้อนรน
สวี่ชิงมองโยวจิงที่เดินมาหาตน ถอนหายใจ
“ท่านโกนขนหน้าแข้งก่อนได้หรือไม่ ครั้งที่แล้วองค์หญิงเผ่าสิงซากสมุทรก็เป็นเช่นนี้ ช่องโหว่นี้…ชัดเจนมาก”
โยวจิงไอแห้งๆ เงยหน้ามองสวี่ชิงด้วยแววตาโกรธเคือง สายตานี้ทำให้สวี่ชิง ถอยหลังไปหลายก้าว หลิงเอ๋อร์ยังมุดออกมาจากคอเสื้อ มองโยวจิงอย่างไม่อยากเชื่อ สูดลมหายใจ
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า” เสียงนายกองลอดออกมาจากปากโยวจิง ส่วนศีรษะครึ่งซีกใต้เท้าสวี่ชิง ตอนนี้ก็สลายกลายเป็นแมลงตัวสีน้ำเงินสองสามตัว ดำลงไปในบ่อน้ำอย่างรวดเร็ว กลับไปที่ร่างนายกอง
“โยวจิงเป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
“นางน่ะหรือ ไม่เป็นไรแล้ว หลังจากข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง นางก็รู้สึกซับซ้อนจนไม่อาจพรรณนาออกมาได้ จากนั้นพวกเราก็แลกเปลี่ยนและพูดคุยกัน ฉันท์มิตร”
นายกองนั่งลงข้างๆ โกนขนพลางเอ่ยอย่างได้ใจ
สภาพเช่นนี้ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“ด้วยเหตุฉะนี้ ข้ากับนางจึงคลี่คลายเรื่องเข้าใจผิดเมื่อก่อนได้แล้ว ส่วนนางก็ซาบซึ้งจนบอกความจริงกับข้า จึงยอมร่วมมือด้วย เลือกปิดผนึกตัวเอง
“เจ้าดูสิ ข้าเป็นคนที่มีเหตุผลจะตาย”
นายกองโกนขาข้างหนึ่งเสร็จก็เปลี่ยนไปอีกข้างต่อ ส่วนขนเหล่านั้นก็หายไป
สวี่ชิงเหลือบมอง ไม่พูดอะไร นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ
เห็นว่าสวี่ชิงไม่สนใจ นายกองก็ยิ้ม ล้วงผิงกั่วออกมากัดคำหนึ่ง แล้วก็โยนให้สวี่ชิงผลหนึ่งด้วย
หลังจากสวี่ชิงรับไปก็มองผิงกั่วในมือ เงยหน้ามองนายกองด้วยแววตาล้ำลึก
นายกองอมยิ้ม
สวี่ชิงหลับตาลง ซ่อนอำพรางร่างกาย
แต่ละวันผ่านพ้นไป ทุกอย่างเป็นปกติ หลังจากสาวใช้เหล่านั้นตื่นแม้จรู้สึกสงสัยบ้าง แต่เห็นว่าเจ้านายของตนไม่มีอะไรผิดปกติจึงไม่กล้าเอ่ยถาม
การปลอมตัวของนายกองสมจริงอย่างยิ่ง ไม่เผยพิรุธเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาถามเรื่องราวจากโยวจิงมาไม่น้อยจริงๆ แสดงออกมาได้อย่างแนบเนียนถึงขีดสุด
มาถึงช่วงสุดท้าย สวี่ชิงเองก็แยกไม่ค่อยออก
ผ่านไปหนึ่งเดือนเช่นนี้ วันที่โยวจิงชำระล้างเสร็จสิ้น บนท้องฟ้าก็ปรากฏรังสีอันเป็นมงคลนับพัน ลำแสงอีกนับหมื่น ขบวนเคลื่อนลงมาจากฟ้ากฟ้าเพื่อต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ยังคงเป็นเกี้ยวกะโหลกมหึมาหลังนั้น ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงโตสามสิบสองตนสวมชุดคลุมสีแดง ยกเกี้ยวเดินมา รอบๆ ยังมีคนรับใช้อีกจำนวนมหาศาล คอยเป่าบรรเลงเพลงมงคล
ตัวตนนับร้อย มาถึงด้านนอกสำนักบุปผาหยินหยาง พวกเขาต้องรับโยวจิงไปที่สำนักชีวาทมิฬ วันนี้ก็คือวันสมรส
อวิ๋นเสียจื่อที่ไม่ปรากฏตัวเสียนาน ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ นางมองโยวจิงที่เดินออกมานอกบ่อวิญญาณ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม
โยวจิงผ่านพิธีชำระล้างร่างกายหนึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าผิวพรรณดีขึ้น โดยเฉพาะได้เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ตอนนี้จึงยิ่งเย้ายวนอย่างชัดเจน
อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีแดงทั้งชุด ศีรษะสวมกวานหงส์ ใบหน้าแต่งแต้มชาดไว้อย่างพอเหมาะ ทำให้เสน่ห์ของนางแผ่กำจายออกมาจากทั้งร่าง ดึงดูดสายตาสำนักบุปผาหยินหยางนับไม่ถ้วน
ด้านนอกบ่อวิญญาณ นางบอกลาอวิ๋นเสียจื่อ จากนั้นก็ออกจากสำนักบุปผา หยินหยางไปพร้อมสาวใช้ที่รายล้อมรอบด้านรวมถึงองครักษ์เดินขึ้นไปบนเกี้ยวกะโหลก
หลังจากเสียงคำว่าเรียบร้อยต่ำดังขึ้น ร่างกำยำทั้งสามสิบสองก็ยกเกี้ยวขึ้นหาม เดินมุ่งหน้าไปที่ขอบฟ้า
มีเพลงบรรเลงคลอเคล้าไม่ขาดสาย ดอกไม้ยังคงโปรยลงมา ทุกแห่งที่ผ่านในเทือกเขามิรู้สิ้น ล้วนมีผู้บำเพ็ญทุกตนล้วนแล้วแต่เหลียวหลังมอง
วันนี้ สำนักต่างๆ ในเทือกเขามิรู้สิ้นล้วนถูกเชิญชวนให้ไปร่วมพิธีแต่งงานที่สำนักชีวาทมิฬ
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นขบวนที่มารับเจ้าสาว หรือว่าศิษย์ที่อยู่ในสำนักบุปผาหยินหยาง ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าตอนนี้เวลานี้ ในภูเขาคู่นี้มีเสียงหัวเราะแฝงความนัยลึกล้ำเสียงหนึ่งดังยาวนานกึกก้อง
จุดที่เสียงหัวเราะดังออกมา คือด้านในยอดเขาคู่ ที่นั่นมีถ้ำหินขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง
ขนาดของถ้ำหินไม่เล็ก ราวกับขุดภูเขาทั้งลูกจนกลวง ชายชราในชุดคลุมห้าสีสยายผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบนสุด
ร่างชายชราแห้งเหี่ยวดูคล้ายโครงกระดูก แต่ไร้ปราณความตายแผ่ออกมาจากร่าง กลับกันยังเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต มีคลื่นพลังหวนสู่อนัตตาห้อมล้อมร่าง ยากที่จะแยกแยะรายละเอียดได้ในตอนนี้
ส่วนด้านล่างเขาฉายภาพที่มากพอจะสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ ทำให้คนที่ได้เห็นทั้งหมดตกตะลึงพรึงเพริศ
นั่นเป็นภาพที่ฉายภูมิประเทศขนาดยักษ์ บางทีคนนอกอาจจะมองไม่ออกในพริบตาแรก แต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่สามารถมองออกได้ในชั่วพริบตา ภาพที่ฉายอยู่นี้ก็คือเทือกเขามิรู้สิ้นนั่นเอง
นอกจากขนาด อย่างอื่นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้น ภูเขาแต่ละยอดก้อนหินแต่ละก้อน รวมถึงนกที่โบยบินบนฟากฟ้า ทั้งสิ่งปลูกสร้างในเมืองหรือสำนักที่อยู่ด้านล่างภูเขาในภาพล้วนเหมือนกับโลกภายนอก
สรรพสิ่งที่มีอยู่ในเทือกเขามิรู้สิ้น ล้วนฉายภาพพวกเขาในภาพนี้
รวมถึงสรรพชีวิตที่นี่ด้วย!
จะคนทั่วไปก็ดี หรือผู้บำเพ็ญก็ดี ก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
อีกทั้งกำลังโคจร ราวกับเป็นภาพย่อส่วนตามเวลาจริงของทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น
แม้แต่พวกสวี่ชิงก็อยู่ด้านใน ขบวนรับเจ้าสาวที่ออกจากสำนักบุปผาหยินหยางก็เห็นเช่นกัน
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือร่างกายของสรรพชีวิตที่ฉายอยู่บนนั้นเหล่านี้จะมีเส้นใยอยู่เส้นหนึ่ง ราวกับเป็นเส้นโชคชะตาของพวกเขา แกว่งไปมาอยู่ในถ้ำส่วนในของภูเขาลูกนี้
เส้นใยแน่นขนัดไม่มีที่สิ้นสุดดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง และที่ประหลาดยิ่งกว่าคือชายชราห้าสีที่นั่งขัดสมาธิบนจุดสูงสุด กำลังยกสองมือขึ้นโบกไปมาไม่หยุด
ภายใต้คลื่นพลังของเขา เส้นใยที่มาจากสรรพชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้น ขณะที่แกว่งไปมาก็สัมผัสและพันเกี่ยวกัน
วาสนาที่เดิมไม่ควรเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกที่เดิมทีไม่ควรรู้สึกกลับปรากฏขึ้น ความสัมพันธ์ที่ไม่ควรได้สานสัมพันธ์ก็ก่อตัวขึ้นอย่างประหลาด
โชคชะตาของสรรพชีวิตถูกเปลี่ยนแปลง เส้นทางชีวิตได้รับผลกระทบ ทั้งหมดทั้งมวลต้องดำเนินไปตามความคิดของชายชราคนนี้ ราวกับว่าทั้งเทือกเขามิรู้สิ้นกลายเป็นละครฉากหนึ่ง
ชายชรา คือผู้สร้างละครฉากนี้ ทุกตัวตนในละคร ล้วนเป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้น
แม้พวกเขาจะมีความทรงจำและบุคลิกเดิม ทว่ากลับต้องเดินไปตามบทละครของเขา จึงทำให้เกิดจุดประกายแห่งชีวิตขึ้นมานับไม่ถ้วน ราวกับดอกไม้ไฟที่ปล่อยแสงพร่างพรายออกมา กลายเป็นผีเสื้อเริงระบำบินไปทั่วสารทิศตัวแล้วตัวเล่า
บ้างก็บินไปในถ้ำภูเขา บ้างก็บินลอดหินภูเขาสู่โลกภายนอก
ผีเสื้อเริงระบำแต่ละตัวจะแผ่พลังมหัศจรรย์ออกมา ทุกหนแห่งที่บินผ่านจะปล่อยฝุ่นละอองราวภาพมายาฝัน ปกคลุมทั่วเทือกเขามิรู้สิ้น
บางครั้ง อาณาบริเวณนี้ในโลกภายนอกก็มีเหล่าผู้มาเยือนจากภายนอกปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนที่พวกเขาก้าวเข้ามาในอาณาเขตของเทือกเขามิรู้สิ้น ภาพพวกเขาก็จะปรากฏขึ้นที่นี่ บนหัวจะมีเส้นใยปรากฏออกมา เชื่อมกับละครฉากนี้ของชายชรา
ประเดี๋ยว ชายชราก็ลุกขึ้นยืนจากการนั่งขัดสมาธิ เคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลกๆ อยู่ในถ้ำหินภูเขานี้
แขนขาของเขากวัดแกว่งไปมา เส้นใยของสรรพชีวิตแกว่งไปมาอย่างแรง เขาเปลี่ยน สีหน้าหลากอารมณ์ ดวงชะตาของสรรพชีวิตก็จะเกี่ยวพันกันในพริบตา เรื่องราวรักโลภโกรธหลงแต่ละฉากก็ปรากฏขึ้นด้วยเหตุนี้
เขาเป็นผู้สร้างละครฉากนี้ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในละครฉากนี้ด้วย กลมกลืนอยู่ในนั้น ใช้ชีวิตดำเนินการเริงระบำฉากหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ ขณะที่แปลกประหลาดก็ทำให้คนรู้สึกเคารพศรัทธาอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
เพราะนี่คือระบำบวงสรวงของสำนักบุปผาหยินหยาง!
ระบำบวงสรวง ไม่ใช่การระบำถวายแต่คนของตำหนักเทพ แต่เป็นการระบำถวาย ทำให้เทพเจ้าโปรดปราณ
ในแผ่นดินใหญ่มากมายที่มีเทพเจ้าล้วนมีมันอยู่ และต้นกำเนิดของมันมาจากหนึ่งในนิสัยของเทพเจ้าซึ่งโปรดปราณการนอนหลับใหล อย่างชื่อหมู่ก็เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ชื่อหมู่ในอดีตสามารถตื่นขึ้นมาจากการห้วงนิทราได้ตลอดเวลา ทว่าสถนการณ์ในปัจจุบันยากที่จะตื่นมาในเร็ววัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนที่เทพเจ้าหลับใหลก็จะแผ่พลังห้วงความฝันออกมา และความฝันของเทพเจ้าก็คือต้นกำเนิดความสามารถของระบำบวงสรวง พวกเขาจะใช้ความฝันเทพเจ้า ปกคลุมไปทั้งดินแดน
ในอาณาบริเวณนี้ ทุกสิ่งจะได้รับผลกระทบ จะดวงชะตาหรือชีวิตก็ดี สรรพชีวิตจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกว่างเปล่า ต้องระบำบวงสรวงตามความคิดของตนร้อยเรียงสรรสร้างความฝันจริงๆ ที่มีสีสันขึ้นมา
ความฝันนี้ ตอนที่เทพเจ้าหลับใหลไม่อาจรับรู้ได้ มีเพียงตอนที่ตื่นขึ้นมาถึงจะปรากฏขึ้น จากนั้นก็จะขบคิด
หากชอบ องค์ท่านก็จะประทานพร
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมสำนักบุปผาหยินหยางจึงแตกแขนงสำนักออกมากมาย
ในทุกสำนักย่อยจะมีผู้ระบำบวงสรวงอยู่หนึ่งคน ขอบเขตความสามารถที่พวกเขาสำแดงออกมาได้จะแตกต่างกันไปตามพลังบำเพ็ญรวมถึงการประทานพรที่ผ่านมา
เทือกเขามิรู้สิ้นในความฝันเทพเจ้าแห่งนี้ ชายชราคนนี้ที่เป็นผู้สรรสร้าง เขาคิดว่าเทพเจ้าน่าจะชอบระบำบวงสรวงครั้งนี้ของตัวเอง
“โดยเฉพาะผู้ที่มาเยือนจากภายนอกสองสามคนนั้น ทำให้ฝันฉากนี้…
“น่าสนใจมากขึ้นแล้ว”
ชายชรานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง สายตาฉายแววล้ำลึก เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
คำกล่าวนี้ก็ดังออกจากปากของนายกองที่อยู่ในเกี้ยวแผ่วเบาเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็มีเลศนัยเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ปรากฏเพียงครู่เดียวก็หายไป เขาบิดขี้เกียจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่ที่ร่างองครักษ์ข้างกาย ผู้หนึ่ง
องครักษ์คนนั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ติดตามเงียบๆ เป็นสวี่ชิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
สมองสวี่ชิงค่อนข้างสับสน เขารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมีบางจุดไม่ถูกต้อง ที่ราบรื่นเกินไปเป็นแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น
เทียบกับตอนนี้ เขาเงยหน้ามองนกตัวหนึ่งบนท้องฟ้า
นกตัวนั้นหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศมาหลายอึดใจแล้ว ราวกับถูกตรึงไว้ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
และความรู้สึกวิงเวียนก็เกิดขึ้นกับสวี่ชิงอีกครั้งในพริบตานั้น การซ้อนทับกันเปลี่ยนจากรุนแรงเป็นเบาบาง ครั้นฟื้นฟูกลับมา นกตัวนั้นก็คล้ายไม่เคยหยุดนิ่งมาก่อน โบยบินจากไปไกลนานแล้ว
สวี่ชิงหรี่ตา จู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นจะจับนกที่บินไปไกล เขาอยากดูว่านกตัวนี้เป็นของจริงหรือของปลอม
นกตัวนั้นตัวสั่นระริก ถูกเปลี่ยนแปลงเส้นทาง ม้วนกลับมาหาเขา
แต่พริบตาที่เปลี่ยนเส้นทาง พริบตาที่นกอยู่ในมือสวี่ชิง จู่ๆ รอบด้านก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ความเลือนรางและวิงเวียนก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เพราะรอบๆ ขบวนรับเจ้าสาวในตอนนี้ทั้งหมดหยุดชะงัก ทุกคนหันหน้ามองมาทางสวี่ชิงพร้อมกันในพริบตาหน้านิ่ง สายตาเลื่อนลอย
สวี่ชิงชะงัก สัมผัสในมือ ทำให้เขากระจ่างว่านกตัวนี้คือของจริง ทั้งยังมีการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิร่างกาย
และภาพที่ผู้คนรอบๆ มองมาทางสวี่ชิง ทำให้เขาหนังศีรษะชาหนึบ หลังจากเงียบนิ่งไปสองอึดใจ เมื่อสวี่ชิงปล่อยมือ นกตัวนั้นก็บินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมของมัน บินต่อไปตามเส้นทางที่เคยไป
ราวกับว่า โชคชะตาของมันถูกกำหนดไว้แล้ว
ผู้คนรอบๆ ก็หันหน้ากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเดินไปด้านหน้า สีหน้าก็กลับเป็นปกติในพริบตา ชื่นมื่นยินดี
ดนตรียังคงบรรเลงตามปกติ ดอกไม้โปรยปราย
สายตานี้ ทำให้สวี่ชิงนึกถึงประโยคหนึ่งที่นายกองชอบพูดออกมาหลายต่อหลายครั้งด้วยสัญชาตญาณ
“อาชิงน้อยเชื่อข้าก็พอ”