Skip to content

Outside Of Time 717

บทที่ 717 ผู้กลับมาผนึกสมุทรในยามราตรี

สีดำปกคลุมม่านฟ้านานแล้ว

ดวงดาวนับไม่ถ้วนลอดสีท้องฟ้ายามราตรีออกมา แสงดาวพราวระยับสาดส่องลงบนแม่น้ำกว้างใหญ่ด้านนอกแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ทำให้ผิวน้ำกระจ่างใสสะท้อนท้องฟ้าดาราออกมา

มองไกลๆ ราวกับแม่น้ำดาราหลั่งไหลลงมายังโลกมนุษย์ ทำให้แยกท้องฟ้าและผืนดินไม่ออก

นี่คือแม่น้ำเซ่นทมิฬ ซึ่งเคยมีน้ำเป็นสีแดงสดดั่งโลหิต ฝังโครงกระดูกเอาไว้นับไม่ถ้วน ยิ่งมีพรายน้ำแปลกประหลาด ทว่าตอนนี้จากการสลายไปของพระจันทร์สีชาด คำสาปหายไป แม่น้ำจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก

สิ่งประหลาดและพันธนาการทั้งหมดสลายหายไป เหลือเพียงความชื้นที่ค่อยๆ ระเหยไป ความงดงามชวนสงบใจปรากฏขึ้น

ยามนี้สายน้ำสาดซัด เรือลำใหญ่ลำหนึ่งแล่นไปเบื้องหน้าอยู่ในแม่น้ำ มุ่งหน้าไปแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์

บนเรือ อู๋เจี้ยนอูนั่งบนแขนเสากระโดง มองไปไกลๆ อย่างเงียบเชียบ ตรงนั้นมีเรือขนาดเล็กลำหนึ่ง กำลังแล่นออกไป

มองเงาของเรือ สีหน้าอู๋เจี้ยนอูหมองหม่น ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น

ใต้เสากระโดงเรือคือหนิงเหยียน

ในมือเขาถือผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง นั่งบนกระดานเรือ เช็ดถูทำความสะอาดไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ

เดิมทีเขาไม่ได้รักความสะอาด แต่การเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราบ่มเพาะนิสัยนี้ให้เขา ทำให้เขาเห็นฝุ่นเป็นไม่ได้…

เมื่อถูเสร็จ หนิงเหยียนก็เงยหน้ามองอู๋เจี้ยนอู คิดจะกล่าวถากถางสักคำสองคำ แต่เมื่อนึกถึงสภาพของอีกฝ่าย เขาก็ส่ายหัว

เขารู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเป็นเช่นนี้ เมื่อสามชั่วยามก่อน พวกเขายังอยู่ในร้านยาเทือกเขาทนทุกข์ เพราะเรื่องที่เขตปกครองผนึกสมุทร ดังนั้นสามชั่วยามต่อมา พวกเขาจึงอยู่บนเรือใหญ่ลำนี้

และช่างบังเอิญเสียจริง พวกเขาเดินทางได้ไม่นาน ก็พบกับเรือขนาดเล็กลำหนึ่ง บนเรือนั้นมีสตรีนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง นางเคยมีชื่อว่าอวิ๋นเสียจื่อ

อู๋เจี้ยนอูเห็นนาง นางก็เห็นอู๋เจี้ยนอู

หลังจากดวงตาสอดประสานกัน อวิ๋นเสียจื่อก็หลับตาลง

“ถามไถ่ทั่วโลกหล้าอันว่ารักเป็นฉันใด…” หนิงเหยียนทอดถอนใจ

“ก็ต้องดูว่าผู้ใดเป็นคนตัดเยื่อใยก่อนสิ!” อู๋เจี้ยนอูเงยหน้าร้องตะโกน หยิบกาสุราออกมา ดื่มลงไปอึกหนึ่ง แต่ก็มีสุราร่วงลงมาบนกระดานเรือหลายหยด ทำให้ หนิงเหยียนไม่พอใจ หยิบผ้าขี้ริ้วออกไปเช็ดด้วยสัญชาตญาณ

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิที่หัวเรือมีสีหน้าสับสน ส่วนนายกองที่พิงอยู่ที่ราวก็ส่ายหัว ประเดี๋ยวๆ ก็มองประเมินสวี่ชิง ประเดี๋ยวๆ ก็มองประเมินผิวน้ำ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ

“อาชิงน้อย ดูเหมือนจะมีคนไม่อยากให้เจ้ากลับไปเร็วถึงเพียงนี้อยู่นะ

“แต่ไม่เป็นไรหรอก หลิงเอ๋อร์ไม่อยู่ ฮ่าๆ”

นายกองยิ่งพูดดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย รู้สึกคาดหวังกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

หลิงเอ๋อร์ไม่อยู่บนเรือลำนี้จริงๆ ชายชราถนนทองผุดก็ไม่อยู่

ใช่ว่าหลิงเอ๋อร์ไม่อยากตามสวี่ชิงกลับเขตปกครองผนึกสมุทร แต่เพราะการผสานปราณจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ทำให้นางหลับใหลไป จำเป็นต้องทำความเข้าใจระยะหนึ่ง

เช่นเดียวกับปิดด่าน ไม่ค่อยเหมาะเข้าไปรบกวน

ดังนั้นสวี่ชิงจึงให้หลิงเอ๋อร์อยู่ที่ร้านยา ส่วนชายชราถนนทองผุดย่อมเลือกอยู่ที่นั่น

และที่อยู่ด้วยยังมีโยวจิงอีกคน

นางย่อมไม่ได้ทำเพื่อหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่อยากกลับไปเขตปกครองสมุทรตามสัญชาตญาณ

ดังนั้นบนเรือลำนี้ จึงมีเพียงพวกสวี่ชิงสี่คน

ตอนนี้คำพูดของนายกองสะท้อนก้อง สวี่ชิงเลิกคิ้ว เขารู้สิ่งที่นายกองจะสื่อ อันที่จริงเรือที่พวกเขาใช้เดินทางนี้ รัฐทายาทเป็นผู้มอบให้ จึงร่นเวลาที่ใช้ในการเดินทางออกจากแผ่นดินใหญ่กลับไปที่เขตปกครองผนึกสมุทรลงมาก

ทว่าตอนที่เพิ่งออกเรือ ที่ด้านนอกตัวเรือลำนี้ มีดินโคลนมากมายมหาศาลปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง

โคลนเหล่านี้ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีพลังพิสดารถ่วงความเร็วเรือลำนี้อย่างยิ่ง

และหลังจากที่ผู้อาวุโสเก้ากล่าวประโยคนั้นมาในเรือนรับรอง ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ต่อให้เรือลำนี้ได้รับผลกระทบ ก็ไม่เห็นเขาปรากฏตัว

สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้สวี่ชิงตระหนึกขึ้นได้ ว่าใครที่ส่งผลกระทบกับเรือ…

และการคาดเดาของเขา ไม่นานก็กลายเป็นเรื่องจริง

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป จากการปรากฏของโคลนที่มากขึ้นรอบเรือเรื่อยๆ แล้วหยุดการเดินเรือลงช้าๆ ท่ามกลางเสียงครืนครันของเรือ

“มาแล้ว!”

ดวงตานายกองเป็นประกาย

สวี่ชิงก็เงยหน้ามอง

และเสี้ยวขณะที่เรือลำนี้หยุดลง โคลนที่เรือทั้งหมดก็หลุดร่อนอย่างรวดเร็วไปรวมตัวกันที่ผิวน้ำด้านหน้าเรือ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นร่างจิ้งจอกดินเหนียวร่างสูงใหญ่

แม้จิ้งจอกดินเหนียวจะก่อตัวขึ้นจากหินและโคลน แต่กลับเปล่งแสงเจ็ดสีออกมา ทำให้รู้สึกถึงศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งเกิดความรู้สึกอยากสักการะขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว

นั่นคือเทพเจ้า

การปรากฏตัวขององค์ท่าน น้ำในแม่น้ำราวกับถูกหยุดนิ่ง ไม่โหมคลื่น ท้องฟ้าก็หม่นหมอง ไม่กล้าเปล่งแสง

ดั่งโลกใบนี้เหลือแค่จิ้งจอกดินเหนียวที่อยู่เหนือผิวน้ำ

องค์ท่านคือต้นกำเนิดของทุกสิ่ง

ร่างของอู๋เจี้ยนอูร่วงลงมาจากแขนเสากระโดง ตกใจจนแทบสิ้นลม หนิงเหยียนก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าตื่นกลัว

พวกเขาไม่รู้จักตัวตนของจิ้งจอกดินเหนียว

มีเพียงนายกองที่คาดหวังในใจ ในตอนที่คาดหวังถึงขีดสุด จิ้งจอกดินเหนียวเหนือแม่น้ำองค์นั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางการจับจ้องอย่างไม่ละสายตาของเขา

ดวงตาหงส์คู่หนึ่ง ฉายแววยั่วเย้า มาพร้อมเสน่ห์ที่ทำให้ลุ่มหลงมัวเมาปรากฏขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน มองไปทางสวี่ชิงโดยไม่สนใจเอ้อร์หนิว

“เจ้าน้องชายตัวแสบ ไยถึงรีบไปนักเล่า ไม่มาบอกลากันสักคำ

“ลืมพี่สาวคนนี้ไปแล้วหรือ”

เสียงอ่อนหวานก้องไปในโลก ระเบียบหลีกเลี่ยง กฎเกณฑ์พร่าเลือน กาลเวลาก็ได้รับผลกระทบ ฤดูกาลก่อตัวขึ้นรอบด้าน กระทั่งยังมีตะวันจันทราดวงดาราปรากฏ หมุนเวียนผันเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ยิ่งมีเพลิงเทวะลุกลามไปทั้งร่างนาง แผ่กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามถึงขีดสุดออกมา

บิดเบี้ยวทุกสรรพสิ่ง ไอพลังประหลาดย้อมสีท้องฟ้า

จิ้งจอกดินเหนียวแข็งแกร่งยิ่งกว่าในสงครามเทพเจ้าก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าเลือดเนื้อชื่อหมู่มีประโยชน์กับองค์ท่านไม่น้อย

เห็นเช่นนี้ นายกองก็กระแอมไอ รีบเอ่ยว่า

“พี่สาว ที่จริงข้า…”

“หุบปากไปเสียเจ้าไต หากพูดอีกคำเดียว ข้าจะล้วงไตทั้งสองของเจ้าออกมา” จิ้งจอกดินเหนียวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหยาดเยิ้ม น้ำเสียงยังคงอ่อนหวาน

แต่นายกองเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว สูดลมหายใจ รีบปิดปาก

สวี่ชิงลังเล กำลังจะเอ่ยปาก จิ้งจอกดินเหนียวทางนั้นก็หัวเราะเบาๆ มองสวี่ชิงอย่างแฝงความนัย

“เจ้าน้องชายตัวแสบ ขณะที่หลี่จื้อฮว่ากลายเป็นเทพนั้นมองเห็นอนาคต เจ้าว่าที่ข้ากลายเป็นเทพเจ้าตอนนั้น ก็มองเห็นอนาคตบ้างเหมือนกันหรือไม่”

สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ทว่าจิ้งจอกดินเหนียวตนนั้น ยามนี้ก็ค่อยๆ เลือนรางลง สลายไปท่ามกลางฟ้าดิน มีเพียงเสียงอ่อนหวาน ที่ยังก้องกังวานแว่วอยู่รอบๆ

“น้องชายตัวแสบ เก็บปราณหยางของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากมีเวลาต้องมาเล่นกับข้าที่เผ่านภาคิมหันต์ด้วยเล่า”

เสียงค่อยๆ แผ่วเบา โลกคืนกลับมาเป็นปกติ

ไม่นานนัก ขณะที่หนิงเหยียนประหลาดใจ ตอนที่อู๋เจี้ยนอูกำลังหวาดผวา และในยามที่นายกองบ่นพึมพำ เรือใหญ่ลำนี้ก็เริ่มเลือนราง จนกระทั่งมีเสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นก็หายไปจากน่านน้ำ ทะลวงผ่านมิติไปอย่างรวดเร็วที่น่าตื่นตะลึง เข้าสู่แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ พุ่งตรงไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร

และด้านบนของเรือใหญ่ ท้องฟ้าแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ดูสะอาดเป็นพิเศษ ดวงดาราไกลๆ กำลังกะพริบระยิบระยับ คล้ายดอกไม้เล็กๆ ที่แข่งกันแบ่งบานชูช่อ ยามนี้บนดาวดอกไม้ผืนนี้ เงาร่างหนึ่งกำลังก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเรือซึ่งผสานกับมิติว่างเปล่า

ชุดคลุมสีดำ ผมสีดำ

ดวงตามีดวงดารา ร่างกายประดุจกระบี่ สายตาดั่งน้ำแข็ง ผู้อาวุโสเก้านั่นเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version