บทที่ 722 ราตรีนี้ใต้แสงจันทร์ พานพบโฉมสคราญ
ราตรีบนผืนฟ้าไหลเรื่อยไปเพราะลม
พัดผ่านผืนดิน กระทบไปบนสิ่งก่อสร้างแต่ละแห่งๆ ในเมืองหลวงเขตปกครอง ในยามที่ไหลเคลื่อนก็ส่งเสียงหวีดหวิว หอบม้วนฝุ่นธุลี พัดผ่านชายเสื้อของนายท่านเจ็ด พัดหอบไปในหอของจวนเจ้าเขตปกครอง
พัดเส้นผมของสวี่ชิงปลิวพริ้ว
สวี่ชิงทอดสายตามองท้องฟ้า ในใจสงบนิ่ง
ความสงบนี้เป็นสิ่งที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่อาจมอบให้ได้ สำหรับสวี่ชิงแล้ว เรื่องราวที่เขาประสบพบเจอในเขตปกครองผนึกสมุทรก็ทำให้เขามองที่นี่เป็นบ้านเกิดไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านแบบนั้นทำให้จิตใจของสวี่ชิงสงบลง แต่มักจะมีเสียงบางเสียงที่คิดอยากจะแทรกเข้ามาในความสงบสุขของเขา
“อาชิงน้อย เจ้าว่าในแผ่นหยกที่รัฐทายาทให้ตาแก่จะเขียนอะไรเอาไว้”
นายกองยืนอยู่ข้างสวี่ชิง ใบหน้าเต็มไปด้วยการคาดเดา
“เมื่อครู่ข้าสังเกตเห็นว่าหลังจากที่ตาแก่เห็นแผ่นหยก รอยยิ้มบนใบหน้าก็บานแฉ่งอย่างกับดอกเบญจมาศเหี่ยวๆ…”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ กระแอมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กวาดสายตามองรอบๆ ไปโดยสัญชาตญาณ
นายกองได้ใจ โบกไม้โบกมือ
“ไม่ต้องหาหรอก ตาแก่ไม่อยู่แล้ว
“ข้าว่าเนื้อหาในแผ่นหยกจะต้องเป็นคำแสดงความเลื่อมใสนับถือที่รัฐทายาทมีต่อตาแก่ จากความเข้าใจที่ข้ามีต่อตาแก่ ในใจของเขาจะต้องมีความสุขสบายใจสุดยอดแน่ๆ
“ไม่สูงส่ง จิตใจไม่สูงส่งเอาเสียเลย!”
นายกองส่ายหน้า ท่าทางเหมือนไม่อาจยอมรับ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวเองอย่าได้วิจารณ์เป็นดี หากว่า…อาจารย์ยังอยู่เล่า หรือหากว่าท่านอาจารย์ยังได้ยินเล่า…
แต่นายกองเห็นได้ชัดว่าไม่คิดเช่นนั้น เขาสะกดเสียงต่ำ กำลังจะแสดงความเห็นของตัวเองต่อ แต่ตอนนี้เอง กลิ่นหอมที่สวี่ชิงคุ้นเคย ก็พัดตามลมมาจากนอกหอ
ที่มาพร้อมกับกลิ่นเป็นเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่ง ปรากฏอยู่นอกหอ เยื้องย่าง เนิบนาบ ค่อยๆ ยุรยาตรมา
กระโปรงยาวสีขาวทั้งชุด สะอาดงดงามบริสุทธิ์ ผมสีดำยิ่งพริ้วไหวไปตามลม คิ้วงามดั่งดวงเดือน เต็มไปด้วยความงดงาม
ดวงตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยห้วงอารมณ์ จมูกโด่งแก้มแดงเรื่อ ดวงหน้าเรียวฉายความงามเลิศล้ำ
ตอนนี้จากการที่เข้ามาใกล้ แสงจันทร์ส่องไป ผิวขาวเนียนละเอียดชุ่มชื่นแวววาวราวน้ำค้างแข็ง ราวหิมะ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะหลงใหล ยากจะถอนตัว
ผู้ที่ไม่ต้องรายงานก็สามารถเข้าออกจวนเจ้าเขตปกครองได้ นอกจากนายท่านเจ็ดและโหวเหยา ก็มีจื่อเสวียนเท่านั้น
การเยือนของจื่อเสวียนทำให้หอนี้เหมือนว่าจะสว่างไปด้วย เหมือนว่าแสงจันทร์ทั้งหมด ในเสี้ยวขณะนี้ล้วนถูกนางดึงดูดมาที่นี่ทั้งหมด รายล้อมอยู่ข้างกายนาง
หัวใจของสวี่ชิงเต้นรัวไปตามสัญชาตญาณ
นายกองกะพริบตาปริบๆ ในสมองมีภาพเงาร่างของหลิงเอ๋อร์และจิ้งจอกดินเหนียวผุดขึ้นมา เริ่มทำการเปรียบเทียบ
‘หลิงเอ๋อร์ใสบริสุทธิ์ จิ้งจอกงดงามยั่วยวน จื่อเสวียนงามเลิศล้ำเฉิดฉัน…แล้วยังมีใครอีกนะ อ้อ ยังมีเหยียนเหยียนโรคจิตนั่น แล้วก็ติงเสวี่ยที่จะต้องงาบอาชิงน้อยให้ได้ แล้วก็ชิงชิวนั่น’
คิดถึงตรงนี้ นายกองก็ค้นพบอย่างสะท้อนใจว่า สตรีเหล่านี้ล้วนเหมือนดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ ต่างมีความงดงามของตัวเอง
ดังนั้นในใจจึงความอิจฉาเล็กๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
‘แต่จะว่าไปแล้ว อาชิงน้อยก็น่าสงสารนัก ถูกแม่เสือมากมายจ้องเอาแบบนี้ จะต้องจิตใจว้าวุ่น รับมืออย่างเหนื่อยอ่อนแน่นอน หากไม่ระวังแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็จะเป็นนรกอสุรภูมิ!
‘ไม่เหมือนข้า อิสระเสรีแบบนี้ ไร้พันธะไร้พันธนาการ สามารถเสพสุขลมแห่งเสรีได้ สามารถโบยบินได้อย่างอิสระไปในฟ้าดิน แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นี้ตั้งแต่คนธรรมดาชั้นล่างไปจนถึงเทพเจ้าชั้นสูง ไม่มีใครสามารถพันธนาการวัวพยศที่หยิ่งทะนงข้าคนนี้ได้!
‘ข้าเป็นของอิสระตลอดกาล!’
นายกองในใจภาคภูมิ มีความรู้สึกเหมือนบรรลุทะลุปรุโปร่ง ความคิดในตอนนี้ยิ่งปานประหนึ่งนักปราชญ์
เขาจึงกระแอมออกมา ในใจยิ่งคิดว่าความสูงส่งของความคิดตัวเองอยู่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป เขามั่นใจว่าตัวเองมีหลักเหตุผลในระดับสูงส่งสุดๆ
สายตานั้นแฝงด้วยความเห็นอกเห็นใจ แฝงด้วยสติปัญญาที่เขาคิดเอาเองกำลังจะเอ่ยปากบอกการบรรลุนี้ให้สวี่ชิงฟัง
แต่ตอนนี้เอง เสียงของจื่อเสวียนก็ดังมา
“เอ้อร์หนิว หลี่ซือเถาเรียกให้เจ้าไปหา”
คำพูดนี้ของจื่อเสวียนดังออกมา ในดวงตานายกองเบิกกว้างทันที ทั้งคนในเสี้ยวขณะนี้ราวดอกเบญจมาศบานสะพรั่ง ปลดปล่อยระลอกคลื่นอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ดวงตายิ่งเป็นประกายอย่างยิ่ง ลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย
“ดึกดื่นแบบนี้ เถาเถาของข้าเรียกให้ข้าไปหรือ”
นายกองเลียริมฝีปาก ตื่นเต้น
เสี้ยวขณะนี้ นักปราชญ์อะไร สัมผัสบรรลุอะไร อิสระเสรีอะไร ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
เขาพุ่งออกไปในเสี้ยวพริบตา ทิ้งสวี่ชิงเอาไว้ข้างหลัง
สำหรับเขาแล้ว เรื่องของคนอื่นต่อให้สนุกเพียงใด ก็สู้เถาเถาอวบอิ่มของตัวเองไม่ได้
ตอนนี้จากไปอย่างรวดเร็วพลางเอาลูกท้อออกมาลูกหนึ่งกัดแทะไปด้วย ในใจโห่ร้องยินดี
“เถาเถา รอข้าก่อน”
ภายใต้ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจเช่นนี้ เงาร่างของนายกองจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
มองเงาแผ่นหลังของนายกอง สวี่ชิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี และก็ไม่ได้มีใจไปสนใจสักเท่าไร เขาในตอนนี้หัวใจเต้นระรัว จากการที่จื่อเสวียนเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ หัวใจก็เต้นเร็วระรัวหนักขึ้น
แม้สวี่ชิงจะเติบโตแล้ว…แต่เผชิญหน้ากับจื่อเสวียน เขาก็ยังคงเหมือนในตอนนั้น ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
จวบจนกระทั่งถอยมาถึงชายขอบ ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว สวี่ชิงทำได้แค่ใจดีสู้เสือ ประสานหมัดไปทางจื่อเสวียน
“คารวะจอมเซียน”
จื่อเสวียนยิ้ม ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งเดินมาถึงข้างหน้าสวี่ชิง อยู่ใกล้มาก…ในยามที่ยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นหอมหวลสดชื่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหออย่างเงียบงัน แผ่ลามไปในใจของสวี่ชิง สายลมก็ไม่อาจพัดให้สลายไปได้
มีเพียงดวงตาทั้งสองที่จ้องมองตนจากข้างหน้ากลายเป็นชั่วนิรันดร์
ภายใต้การจับจ้องนี้ สมองของสวี่ชิงค่อนข้างว่างเปล่า มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงที่ใด
เรื่องแบบนี้ กับหลิงเอ๋อร์ทางนั้นเขาไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเผชิญหน้ากับจื่อเสวียน ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้
“หันหลังไป”
จื่อเสวียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
สวี่ชิงหันไปเงียบๆ หันหลังให้จื่อเสวียน
รอยยิ้มจื่อเสวียนอ่อนโยน มืองามยกขึ้นเล็กน้อย รวบผมยาวของสวี่ชิงเอาไว้ ขณะสะบัดมือก็เอาที่รัดผมออกมาอันหนึ่ง แล้วรัดไปบนนั้น กลายเป็นทรงหางม้า แล้วจัดผมให้เขา
สวี่ชิงไม่ค่อยชิน แต่หากตอนนี้มีใครอยู่ที่นี่ เห็นสวี่ชิงเปลี่ยนทรงผม จะต้องตื่นตะลึงกับความงามอย่างแน่นอน ทรงผมเช่นนี้สำหรับสวี่ชิงแล้วยิ่งฉายความงดงามหล่อเหลาออกมาอย่างโดดเด่น ยิ่งเพิ่มความเป็นอิสระไม่อยู่ใต้พันธนาการใดๆเพิ่มขึ้นมา
“อย่างนี้สิถึงจะดูดี”
เสียงของจื่อเสวียนยิ่งอ่อนโยน ก้าวเท้ามาข้างกายสวี่ชิง มองไปยังท้องฟ้าไกลร่วมกับเขา
แสงจันทร์สาดส่อง ดึงให้เงาแผ่นหลังของเขาลากยาวไปบนพื้น
ราตรีงดงามนัก
หอเงียบสงบไปทั่ว
มีเพียงเสียงอ่อนโยนของจื่อเสวียนถามสวี่ชิงถึงเรื่องราวในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
ท่ามกลางเสียงอ่อนโยนนี้ ในใจของสวี่ชิงก็ค่อยๆ สงบลง เล่าเรื่องที่ผ่านมา
สวี่ชิงฟังอย่างตั้งใจ ประเดี๋ยวก็หันมาดวงตางามมองสวี่ชิง เหมือนว่าในสายตาของนางไม่มีสิ่งอื่น
เวลาไหลไป ทั้งสองเหมือนกลับไปในตอนที่เดินทางลำพังในตอนนั้น ซึ่งก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ความรู้สึกแบบนั้นค่อยๆ ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดความรู้สึกสบายใจ
จวบจนกระทั่งดึกยิ่งขึ้น หลังจากที่สวี่ชิงเล่าเรื่องที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจนหมด จื่อเสวียนก็เล่าเรื่องที่ตัวเองประสบพบเจอในเขตปกครองผนึกสมุทรช่วงหลายปีมานี้ให้ฟังบ้าง
“หลายปีมานี้ จิตใจของข้าหลักๆ แล้วอยู่ที่สำนักครามทมิฬ ส่วนเขตปกครองผนึกสมุทรมีอาจารย์เจ้ากับโหวเหยาเป็นคนดูแล ทุกอย่างกำลังฟื้นฟู หากอ๋องเทียนหลันไม่ได้มาเยือน เจ้ากลับมาครั้งนี้จะได้เห็นภาพความเจริญรุ่งโรจน์
“ส่วนสำนักครามทมิฬของพวกเราก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตอนนี้ในเขตปกครองผนึกสมุทร ก็มีชื่อเสียงไม่น้อย
“แล้วก็ แดนต้องห้ามเซียนก็ถูกอาจารย์เจ้าและโหวเหยานำคนทั้งหลายไปบุกเบิกอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนแล้ว ไอพลังประหลาดในนั้นสลายไปมาก ตำราโบราณและอาวุธบางอย่างถูกขนออกมา เพิ่มพลังรากฐานให้กับเขตปกครองผนึกสมุทรได้ไม่น้อย
“ส่วนข้า…ก็ไปแดนต้องห้ามเซียนมาหลายครั้ง”
พูดถึงตรงนี้ จื่อเสวียนจ้องมองสวี่ชิง สายลมยามราตรีพัดเส้นผมดำของนางปลิวพริ้ว พัดผ่านไปบนใบหน้าสวี่ชิง หัวใจของสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์อย่างควบคุมไม่ได้
“ที่นั่น มีแดนรกร้างแห่งหนึ่ง พิเศษมาก…
“ข้าสัมผัสได้รางๆ ว่ามันกำลังเรียกข้าอยู่”
ในดวงตาจื่อเสวียนฉายแววสับสน เรื่องนี้นางฝังไว้ในใจนานมากแล้ว ไม่ได้บอกกับคนอื่น มีแค่วันนี้ เผชิญหน้ากับสวี่ชิง นางถึงได้พูดมันออกมา
“สวี่ชิง เจ้ายังจำที่ข้าบอกเจ้าถึงเรื่องที่ฝันที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ได้หรือไม่”
เสียงของจื่อเสวียนต่ำมาก
“ที่รกร้างแห่งนั้นทำให้ข้ารู้สึกว่า ค่อนข้างคล้ายกับฝันในอดีตของข้า ข้าเหมือนว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ข้าเคยไปที่ที่รกร้างแห่งนั้น
“ข้าไม่แน่ใจ…
“แต่น่าเสียดาย ที่นั่นเป็นเพียงแค่ที่รกร้าง”
มองท่าทางงุนงงสับสนของจื่อเสวียน สวี่ชิงนึกถึงฝันของจื่อเสวียน จึงนึกย้อนถึงแดนต้องห้ามเซียนอย่างละเอียด แต่ตอนนั้นสถานที่ที่เขาไปที่นั่นมีจำกัด ไม่รู้ว่าที่ที่ จื่อเสวียนว่ามาคือที่ใด
แดนต้องห้ามเซียนมีที่รกร้างมากมาย
แต่เขาจำตำหนักหงส์แปลกประหลาดที่ตนเจอขวดแห่งกาลเวลาแห่งนั้นได้ แม้ในความทรงจำของเขาที่นั่นจะไม่เกี่ยวกับจื่อเสวียน แต่เขานึกย้อนได้ว่า ในตอนที่วางขวดแห่งกาลเวลาไปในวังสวรรค์ที่สิบสอง ตนก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เหมือน ได้ยินเสียงถอนหายใจของจื่อเสวียน
ดังนั้นในใจของเขาจึงกระตุกวูบ กำลังจะถาม เสียงของจื่อเสวียนก็ดังมาอีกครั้ง
“แต่ว่าที่รกร้างแห่งนั้นข้าเจอร่องรอยของเจ้า”
สวี่ชิงได้ยินดวงตาทั้งสองก็จ้องมอง เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“สถานที่ที่ข้าไปในแดนต้องห้ามเซียนไม่มาก แต่มีอยู่ที่หนึ่ง เมื่อเขาใกล้ก็เปลี่ยนมาชัดเจน จนกลายเป็นตำหนักหงส์เก้าตำหนัก หากออกห่างไปไกลก็จะกลายเป็นที่รกร้าง
“ที่นั่นข้าเสียความทรงจำไปสามวัน ได้รับขวดแห่งกาลเวลามาใบหนึ่ง
“จากนั้นตำหนักแห่งนั้นก็เหมือนว่ากลายเป็นที่รกร้างไปจริงๆ
“หากท่านพบร่องรอยของข้า เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่า ที่รกร้างที่ท่านพูดถึง กับที่ที่ข้าไปคือที่เดียวกัน”
ระหว่างพูด สวี่ชิงยกมือสะบัก สมบัติเทพปรากฏขึ้นข้างหลัง ในยามที่แผ่ระลอกไปรอบๆ ขวดแห่งกาลเวลาที่ผสานอยู่ข้างในก็ค่อยๆ ลอยออกมา ลอยอยู่ข้างหน้า จื่อเสวียน
บนนั้นมีความรู้สึกของเวลาแผ่อวล ทำให้คนมองแล้วถูกมันดึงดูดอย่างอดไม่ได้ ตัวมันเองยิ่งประกายแสงส่องกะพริบวูบวาบ สอดประสานกับแสงจันทร์ ฉายแสงพรายรุ่งพร่างพรายออกมา
ฉายไปบนใบหน้างดงามของจื่อเสวียนทำให้ดวงตาทั้งสองของนางใสกระจ่าง ขนตายาวจากการจับจ้องก็สั่นไหวเบาๆ ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจแผ่ออกมาจาก ผิวขาวเนียนละเอียดไร้มลทิน แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ ริมฝีปากบางราวกลีบกุหลาบอ่อนนุ่มชุ่มชื่นจนแทบบิดน้ำออกมาได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จื่อเสวียนถอนหายใจเบาๆ สายตาดึงกลับมาจากขวดแห่งกาลเวลา มองดวงตาสวี่ชิง
“พวกเราไปกันสักหน่อยหรือไม่”