บทที่ 729 มอบของขวัญให้กับผู้นำพันธมิตร
หลายวันต่อมา ขณะที่โหวเหยาและนายท่านเจ็ดจากไปตามลำดับ จากการที่ เจ้าวังทั้งสามและสำนักต่างๆ ง่วนกับการปราบปรามกบฏที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหง ข่าวคราวของแต่ละฝ่ายก็ถูกรวบยอดเป็นสรุปมา
ตัวอย่างเช่นระดับการก่อกบฏ สถานการณ์และความมุ่งมั่นในการก่อความวุ่นวายของต่างเผ่าในทะเลต้องห้าม และสาเหตุแท้จริงที่ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรนับหมื่นจนตรอก และหนีออกมาจากสมรภูมิฟ้าทมิฬ
ความจริงคือมีวังเต๋ามหาวิวัฒน์แห่งพันธมิตรแปดสำนักดั้งเดิมคอยให้การช่วยเหลือ!
ผู้นำพันธมิตรแปดสำนัก ไม่ได้ไปขอพึ่งบารมีองค์ชายเจ็ดเพียงลำพัง แต่เดินทางไปพร้อมกับสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าและวังเต๋ามหาวิวัฒน์
หลังจากพึ่งพาองค์ชายเจ็ดแล้ว ด้วยความเชี่ยวชาญด้านค่ายกลของวังเต๋า มหาวิวัฒน์ จึงถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่วางค่ายกล ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย
สุดท้ายเนื่องจากความใจร้อนของผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร เมื่อเห็นผู้คนกว่าห้าล้านคนบาดเจ็บล้มตายมากถึงเพียงนี้ วังเต๋ามหาวิวัฒน์จึงลอบให้อำนาจตั้งค่ายกลแก่พวกข่งเสียงหลงในระดับหนึ่ง
พวกข่งเสียงหลงจึงมีชีวิตอยู่รอดและหนีออกมาได้
สาเหตุและผลกระทบของเรื่องไม่มีทางถูกค้บพบในเร็ววัน แต่จิตใจของผู้คนใน วังเต๋ามหาวิวัฒน์สลับซับซ้อน ในบรรดานั้นบางคนรับไม่ได้กับเรื่องที่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่ก็มีบางคนที่พึ่งพาองค์ชายเจ็ดสุดหัวใจ
ดังนั้นด้วยความเห็นที่แตกต่างกันตลอดจนการแย่งชิงอำนาจภายใน เรื่องนี้จึงแพร่กระจายออกไปโดยวังเต๋ามหาวิวัฒน์ หัวหอกต่างพุ่งเป้าไปที่เจ้าสำนักวังเต๋า มหาวิวัฒน์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นความเดือดดาลของบรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์ตลอดจนองค์ชายเจ็ด จึงบัญชาให้กวาดล้างและสังหารผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีเพียงเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ซึ่งถูกหมายหัวเป็นผู้กระทำความผิดกลับหายตัวไป
และด้วยเหตุนี้ เรื่องราวจึงแพร่ออกไป ดึงดูดความสนใจจากหลายฝ่าย
ในช่วงเวลานี้เองที่เมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรกำลังมีช่องโหว่เนื่องจาก โหวเหยาและนายท่านเจ็ดนำทัพแยกย้ายออกไปจากเมือง ก็มีคนผู้หนึ่งมาเยือน
คนผู้นี้เป็นชายชรา สวมชุดนักพรตสีน้ำตาล ดวงหน้าแฝงความอิดโรย ยิ่งร่างกายบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ก็ระแวดระวังตัวอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่ย่างเท้าเข้าสู่เมืองหลวงเขตปกครอง เขาก็ติดต่อคนสองคนทันที
คนแรกคือจื่อเสวียน อีกคนหนึ่งคือเสี่ยเลี่ยนจื่อ
พวกเขาไม่ได้ออกไปปราบกบฎ แต่อยู่อารักขาเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทร ทันทีที่ได้รับข่าว ทั้งจื่อเสวียนและเสี่ยเลี่ยนจื่อต่างหน้าถอดสีทั้งคู่
เพราะผู้มาเยือน เป็นคนที่พวกเขารู้จัก
เป็นเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ที่องค์ชายเจ็ดสั่งให้ตามล่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เหยี่ยนเยี่ยจื่อ สมบัติวิญญาณขั้นบริบูรณ์
หากเป็นผู้อื่นที่มาเยือนเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรในเวลานี้ อยากพบ เสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียน คงยากที่จะได้รับการต้อนรับ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในช่วงสงคราม สถานการณ์พลิกผันตลอดเวลา
ทว่าเหยี่ยนเยี่ยจื่อแห่งวังเต๋ามหาวิวัฒน์ผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิตเหล่า ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรจากสงครามฟ้าทมิฬ
กองกำลังในสำนักของเขาถูกองค์ชายเจ็ดสังหารสิ้น ผู้คนตกตายนับพัน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าโลหิตเจิ่งนองเป็นแม่น้ำ ก็น่าหดหู่อย่างยิ่ง ส่วนตัวเขาก็ถูกทำร้ายปางตาย ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ถึงได้หนีออกมา
เขามาเพื่อขอลี้ภัย ไม่อาจเมินเฉยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเสนอว่าจะบอกความลับสำคัญอย่างมากให้
ดังนั้น ในไม่ช้าสวี่ชิงตลอดจนเสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียนก็ได้พบเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ ภายในตำหนักใหญ่ของจวนเจ้าเขตปกครอง
ความรุนแรงของอาการบาดเจ็บเป็นของจริง อวัยวะภายในของเขาเสียหายเกินครึ่งที่อดกลั้นมาได้เป็นเพราะพลังบำเพ็ญสมบัติวิญญาณในกาย เขามีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาจดจำครั้งแรกที่ได้เห็นภาพสวี่ชิงได้
“คารวะเจ้าเขตปกครอง!”
เวลาผ่านไปสักพัก กว่าเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์จะสงบสติอารมณ์ได้ และประสานหมัดคารวะอย่างนบน้อม ทว่าความระลอกคลื่นในใจทำให้อาการบาดเจ็บกำเริบ จึงหน้าซีดเผือดลงอย่างอดไม่ได้หลายส่วน
สวี่ชิงโบกมือทันทีส่งคลื่นพลังอ่อนโยนไปให้ หลังจากช่วยประคองเขา ก็สั่งให้คนนำยาลูกกลอนมาให้ วางลงตรงหน้าเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์อย่างสุภาพ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ช่วยเหลือในสมรภูมิฟ้าทมิฬ พวกเราได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับวังเต๋ามหาวิวัฒน์แล้ว นี่คือยาล้ำค่าของเมืองหลวงเขตปกครอง ลูกกลอนคืนสวรรค์ รักษาอาการบาดเจ็บของท่านเจ้าสำนักทั้งหมดได้ โปรดกลืนลงไปก่อนเถิดขอรับ”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ฟังแล้วก็หยิบยาขึ้นมา สังเกตเห็นสายตาของเสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียนที่จับจ้องมายังตน แววตานั้นไร้ซึ่งจิตอริ แต่เขารู้ดีว่าการมาของตนย่อมกระตุ้นให้เกิดความสงสัย
เขาจึงกลืนยาลูกกลอนนั้นลงคอในคำเดียวอย่างไม่ลังเล หรือตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่
เสี่ยเลี่ยนจื่อหรี่ตาลง จื่อเสวียนไม่แสดงอารมณ์ออกมา
สวี่ชิงมีสีหน้าเป็นปกติดังเดิมตั้งแต่ต้น มองเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์กลืนยาลูกกลอนแล้วค่อยนั่งขัดสมาธิ ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น
กระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์จึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง อาการบาดเจ็บภายในบรรเทาลงบ้าง เขาสะกดกลั้นอีกครั้ง ก่อนจะพรูลมหายใจยาวๆ และโค้งคำนับให้แก่สวี่ชิงอีกครั้ง สีหน้าเผยความเศร้าโศกและรู้สึกผิดบางอย่าง
“เวลาผ่านไปเร็วนัก เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายปี…ข้ายังจำวันที่เจ้าเขตปกครองมาเยือนพันธมิตรแปดสำนักครั้งแรกได้…”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ส่ายหน้า ทอดถอนใจ
“น่าเสียดายนักที่วังเต๋ามหาวิวัฒน์ของข้าติดตามคนผิด เดินทางผิดไปก้าวหนึ่ง จึงถลำลึกไปเรื่อยๆ…
“เจ้าเขตปกครอง ข้าเสี่ยงตายหนีออกมา ที่มาเยือนเขตปกครองผนึกสมุทรก็เพียงเพื่อจะบอกข่าวแก่ท่าน ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็สุดแล้วแต่พวกท่าน
“ข้อแรก แม้ข้าจะอดสงสารผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรในสงครามฟ้าทมิฬไม่ได้ แต่หากจะให้ข้าเอาชีวิตของศิษย์ในสำนักและชีวิตของข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยเลือกพวกเขา ข้าทำไม่ได้
“ที่ช่วยเหลือคนหมื่นกว่าคน เป็นเพราะในตอนนั้นค่ายกลเกิดความผิดพลาดขึ้น ระหว่างปรับปรุงมีโอกาศที่จะถูกส่งข้ามโดยไม่ถูกคนสังเกตเห็น แม้ว่าจะถูกตรวจพบ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า
“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะช่วย
“แต่เรื่องนี้ คนนอกไม่อาจรับรู้ได้ คนในวังเต๋ามหาวิวัฒน์เองก็ไม่อาจจะค้นพบได้โดยเร็ว แต่หลังจากผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรหมื่นกว่ารายถูกส่งข้ามไปได้ ไม่นาน ข้อมูลภายในวังเต๋ามหาวิวัฒน์ก็ดันถูกเผยแพร่ออกไป
“จากนั้นก็ตามมาด้วยการสังหารหมู่ ตอนที่ข้าหนีตายมาออกมาจึงได้เข้าใจว่านี่คือแผนการ มีคนวางกับดักโดยใช้ความใจอ่อนของข้า
“มีคนต้องการให้คนเหล่านั้นของเขตปกครองผนึกสมุทรออกมา จากนั้นก็ใช้เป็นเบี้ย ทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรต้องช่วยเหลือพวกเขา ขณะที่ใช้กลยุทธ์เชิญท่านลงโอ่ง ก็เป็นการล่อเสือออกจากภูเขาด้วย”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์พูดด้วยเสียงต่ำทุ้ม ทุกคนในตำหนักมีสีหน้าต่างกันออกไป เงียบนิ่งไม่พูดจา
“คนคนนั้นคืออดีตผู้นำพันธมิตรแปดสำนัก เฉินหยางจื่อ!”
ดวงตาเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์เป็นสีเลือด ขบกรามแน่น
“ข่าวที่สองที่ข้าอยากพูดก็เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ ความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเขตปกครองผนึกสมุทร รวมถึงทะเลต้องห้าม ล้วนเป็นฝีมือของเฉินหยางจื่อ ข้า…เคยรับหน้าที่ติดต่อกับต่างเผ่าทะเลต้องห้ามมาก่อน”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ก้มหน้าลง เอ่ยปากอย่างขื่นขม
“ส่วนข่าวที่สาม มาจากฝั่งแนวหน้า กองทัพใหญ่ของอ๋องเทียนหลันกำลังจะนำชัยชนะกลับมา!
“วิชาเซียนนองเลือดที่เขาต้องการ ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ และถูกสำแดงพลังอำนจาออกมาเป็นที่เรียบร้อย ในสมรภูมิที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ เผ่าฟ้าทมิฬกำลังถอยร่นไปเรื่อยๆ
“บัดนี้ กองทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของอ๋องเทียนหลันกำลังรุกคืบเข้าไปยังแดนใหญ่วิญญาณทมิฬโดยอาศัยวิชาเซียนนองเลือด ไม่นานนักก็จะทำภารกิจสำเร็จถึงตอนนั้นกองทัพใหญ่จะนำชัยกลับมา เพียงองค์ชายเจ็ดสั่งการประโยคเดียว เขตปกครอง ผนึกสมุทร…พินาศเป็นแน่!”
ในตำหนักใหญ่ ยกเว้นพวกสวี่ชิงต่างหน้าถอดสี พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินข่าวจากสงครามโดยละเอียดเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ยังกล่าวไม่จบ เขากล่าวต่อ
“ยังมีข่าวที่สี่ ก็เกี่ยวข้องกับเฉินหยางจื่อเช่นกัน เขาได้รับภารกิจ ก่อนที่อ๋องเทียนหลันจะกลับมา จะต้องสืบหาความจริงของเขตปกครองผนึกสมุทรให้ได้ ขณะเดียวกันยังมีเป้าหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือจอมเซียนจื่อเสวียน
“เฉินหยางจื่อต้องการจะจับเป็นจอมเซียนจื่อเสวียน”
ถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนก้องในตำหนักใหญ่ สีหน้าของจื่อเสวียนมืดมน สวี่ชิงหรี่ตาลง
เสี่ยเลี่ยนจื่อที่นั่งอยู่ด้วย ทอดสายตามองเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ เอ่ยปากเนิบนาบ
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสหายเต๋าจื่อเสวียนอย่างไรหรือ”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ขบฟันแน่น และบอกเล่าในสิ่งที่ตนรู้
“ตอนที่เฉินหยางจื่อแปรพักตร์มาอยู่กับองค์ชายเจ็ด เคยบอกว่าจอมเซียนจื่อเสวียนมีต้นกำเนิดพิเศษ วิธีการฝึกบำเพ็ญต่างจากคนทั่วไป หากได้ท่านมาเป็นหลูติ่ง จะทำให้คู่บำเพ็ญทลายโซ่ตรวนระดับขั้นของตนได้
“ภายหลังองค์ชายเจ็ดมีบัญชาให้เฉินหยางจื่อส่งตัวจอมเซียนจื่อเสวียนมา เรื่องทุกอย่างจึงเกิดขึ้น”
ในแววตาของจื่อเสวียนมีจิตสังหารพาดผ่าน แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่พูดอะไร แต่กลิ่นของเขาเย็บเยียบไปชั่วขณะ
ผู้คนเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งตำหนักใหญ่ต่างแผ่ปราณพิฆาตออกมา เสี่ยเลี่ยนจื่อยิ่งแค่นยิ้ม
เมื่อเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์กล่าวจบ อาการบาดเจ็บภายในก็กำเริบ ลมหายใจขาดห้วงเล็กน้อย เขาสะกดเอาไว้อีกครั้งแล้วพูดต่อ
“ยังมีข่าวที่ห้า คราวนี้…”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงัก ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง ท้องพองขึ้นมา เลือดเนื้อโป่งพองไปทั่วร่าง ในชั่วพริบตาร่างของเขาก็คล้ายกับมี เนื้องอกเพิ่มขึ้นมา เสื้อผ้าฉีกขาด กลายเป็นก้อนเนื้อยักษ์ก้อนหนึ่ง
น่าสยดสยอง!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นจากปากของเขา สะท้อนก้องในตำหนักใหญ่ ตอนที่ทำให้สีหน้าของทุกคนตื่นตะลึง ร่างกายเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ที่ราวกับก้อนเนื้อ ระเบิดตัวแตกกระจายทันที!
เสี่ยเลี่ยนจื่อก้าวออกมาทันที ตามด้วยคนอื่นๆ ขณะที่ต่างต้านทานกันก็ใช้พลังบำเพ็ญปกป้องพวกเขาจากทุกทิศทางไปด้วย
ในเสียงสะท้อนก้อง มีระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากเศษเลือดเนื้อของเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์
ระลอกคลื่นนั้นปกคลุมตำหนักใหญ่ แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วจนปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงเขตปกครอง
ไม่มีพลังเข่นฆ่า แต่เหมือนการสืบเสาะค้นหาอย่างละเอียดมากกว่า
หลังจากสืบเสาะแล้ว เลือดเนื้อภายในตำหนักใหญ่ก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อตัวเป็นคลื่นวนเลือดเนื้อขนาดมหึมาอย่างรวดเร็ว แผ่กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามออกมา
ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาวนาน แต่ความจริงแล้ว นับตั้งแต่เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ตัวพองกลายเป็นก้อนเนื้อและระเบิด จนกระทั่งก่อตัวเป็นคลื่นวน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นระยะเวลาเพียงชั่วสายฟ้าฟาดเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน ณ อดีตเมืองหลวงรัฐสายลมสวรรค์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ออกไปไกลลิบตา ในที่พักที่ถูกตกแต่งเป็นพิเศษเพื่อตนเอง ผู้นำพันธมิตรที่จับจ้องแผ่นกระดานเบื้องหน้า เผยรอยยิ้มออกมา
‘ที่แท้ เขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนี้ไม่มีหวนสู่อนัตตาขั้นสี่อยู่จริงๆ’
กระดานหมากล้อมเบื้องหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่ก่อตัวเป็นน้ำวน ส่วนลึกของคลื่นวนนั้น สะท้อนภาพตำหนักใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทร
รอยยิ้มของผู้นำพันธมิตรกว้างยิ่งขึ้น ทุกอย่างอยู่ในแผนการ เขาควบคุมได้ดั่งใจตั้งแต่ต้นจนจบ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดำเนินไปสู่ชัยชนะที่มุ่งหวังเอาไว้
“เช่นนั้นก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”
ผู้นำพันธมิตรยกมือขึ้นอย่างสบายใจ เอื้อมเข้าไปในคลื่นวนเลือดเนื้อบนกระดานหมากล้อมเบื้องหน้า คว้าจับตำหนักใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทรด้านในเอาไว้
ขณะเดียวกัน ในตำหนักใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทร ขณะที่ทุกคนกำลังอกสั่นขวัญแขวน กลิ่นอายของคลื่นวนเลือดเนื้อพลันพุ่งสูงขึ้น มือยักษ์ที่มีเปลวไฟสีดำลุกไหม้รอบๆ ยื่นออกมาจากด้านใน
มือยักษ์ไม่ใช่มือมนุษย์ แต่เป็นเหมือนกรงเล็บของสัตว์ปีก นั่นคือกรงเล็บของวิหคทอง
ทว่าทั้งอำนาจคุกคามและพลังต่างเหนือชั้นจากสวี่ชิงมาก หลังจากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพลังกดดันมหาศาล พร้อมระลอกคลื่นน่าสะพรึงกลัว จะพุ่งไปคว้าจื่อเสวียนท่ามกลางฝูงชน!
ยิ่งมีกลิ่นอายหวนสู่อนัตตาขั้นใหญ่ขั้นสามแผ่ออกมาจากกรงเล็บ กระจายไปทั่วสารทิศ
เสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พลังทำลายล้างราวถล่มเขาล่มมหาสมุทรแผ่กระจายออกมา
เสี่ยเลี่ยนจื่อกระอักเลือด คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจต้านทานพลังของหวนสู่อนัตตาขั้นใหญ่ขั้นสามได้ จื่อเสวียนเองก็เช่นกัน
ของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรส่องแสงกะพริบถี่ ชิงฉินบนท้องฟ้าก็แผดเสียงร้องด้วยความโกรธแค้น ทว่าระลอกคลื่นที่แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ส่งผลทำให้ทุกอย่างช้าลงเล็กน้อย
มือยักษ์นั้นคล้ายจะจับตัวจื่อเสวียนได้แล้ว
ดวงชะตาเขตปกครองผนึกสมุทรรอบตัวสวี่ชิงพลันปะทุออกมา ครืนครันไปทั่วทุกทิศ สลายแรงกดดัน ทำให้เขาลุกขึ้นยืนจากที่นั่งได้
จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นอย่างใจเย็น โยนลูกกลมๆ ลูกหนึ่งใส่กรงเล็บวิหคทองยักษ์ในคลื่นวนเลือดเนื้อนั้น
ลูกกลมๆ ที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่าเจ้าอ้วนกลาง
บางคนเรียกมันว่าดวงตะวันแห่งแสงอรุณ