บทที่ 740 พระราชโองการของจักรพรรดิมนุษย์
ด้วยการสวามิภักดิ์ของผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬ แม้ว่า สงครามเผ่าฟ้าทมิฬยังคงดำเนินต่อไป แต่สงครามในขอบเขต ของอ๋องเทียนหลันนั้นสิ้นสุดลงแล้ว
แดนใหญ่วิญญาณทมิฬครึ่งหนึ่งถูกยึดคืนกลับมา และ ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
กองทัพใหญ่ถอนกำลังออกไปบางส่วน แต่ยังมีอีก ส่วนหนึ่งปักหลักอยู่ที่นี่ เพื่อควบคุมผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬ ในบรรดาผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬ นักบวชโหยวซาง จะกลายมาเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าสวี่ชิง
เขาบูชาสวี่ชิงด้วยความคลั่งไคล้ และกล่าวถึงภารกิจ ของเขาด้วยใจศรัทธา
ในอนาคตเขาจะสร้างศาลเจ้าบูชาพระจันทร์สีม่วงในทุก มณฑลครึ่งหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ และเผยแพร่ศาสนาพระจันทร์สีม่วง
กระทั่งวางแผนจะไปเยือนคลื่นศักดิ์สิทธิ์เซ่นจันทรา และดินแดนอื่นๆ เพื่อสร้างศาลเจ้า เผยแพร่คำสอน เพิ่มผู้ ศรัทธา
และสถานะของเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นศาสดาคนแรก ของศาสนาพระจันทร์สีม่วง
แต่นี่เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ในเหล่านักบวชเผ่าฟ้าทมิฬ แท้จริงแล้วมีผู้แข็งแกร่งมากหน้าหลายตา ในอดีตมีเตรียมสู่เทวะอยู่หลายคน แต่พวกเขาต่างจากผู้บำเพ็ญ พวกเขาไม่ฝึกบำเพ็ญ นับถือเทพเจ้าทั้งชีวิต ความ แข็งแกร่งของพวกเขามาจากพรที่เทพเจ้าประสิทธิ์ประสาท ดังนั้นการแตกดับของซื่อหมู่จึงทำให้พวกเขาอ่อนแอลงอย่างมาก ราวกับเชื้อเพลิงหมดไปในพริบตา แค่จะรักษาชีวิต เอาไว้ยังแทบจะทำไม่ได้
และการปรากฏตัวของสวี่ชิง ทำให้ทุกอย่างนี้มีความหวัง
ขณะที่สวี่ชิงยกระดับขึ้น ขณะที่พระจันทร์สีม่วงค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากภาพลวงตาเป็นความจริง เมื่อพระจันทร์สีม่วง มีตัวตนแท้จริงโดยสมบูรณ์ กรมบวงสรวงที่อ่อนแอของเผ่า ฟ้าทมิฬก็สำแดงพลานุภาพขั้นสูงสุดของพวกเขาออกมาอีกครั้ง
สวี่ชิงยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย และไปจากแดนใหญ่วิญ ญาณทมิฬ
ทว่าวิชาเซียนที่แทรกซึมในพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้จางหายไป มันยังคงปกคลุมท้องฟ้าของแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ กลายเป็นเมฆหมอกสีโลหิต บดบังแสงสว่างและไออุ่นจาก ดวงตะวันแห่งแสงอรุณไประดับหนึ่ง
ทำให้เผ่าฟ้าทมิฬในครึ่งแดนใหญ่แห่งนี้ได้พื้นคืน กลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดีสงครามยังคงดำเนินต่อไปในอีกครึ่งหนึ่ง ของแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ และแดนใหญ่ฟ้าทมิฬของเผ่า ฟ้าทมิฬ เป็นสงครามที่มีความเป็นความตายเกิดขึ้นตลอดเวลา
ทว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับสวี่ชิงทั้งสิ้น แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในสงคราม ระหว่างเผ่าฟ้าทมิฬ พวกเขาเป็นเพียงทางเชื่อมระหว่างมหาสงครามสองเผ่าพันธุ์เท่านั้น
ทางเชื่อมนี้เป็นคำสั่งของอ๋องเทียนหลันเพื่อให้องค์ชาย เจ็ดยืนอยู่ในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมั่นคง แม้ว่าเขา จะดับสูญไปแล้ว แต่ทางแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ยังคง ดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นับแต่นี้เป็นต้นไป ขอบเขตแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ถูกขยายใหญ่ขึ้น เขตปกครองผนึกสมุทรขับเคลื่อนอำนาจ ครึ่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่อย่างแท้จริง และสวี่ชิงในฐานะเจ้า เขตปกครอง จึงมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าเขตปกครองดินแดนอื่น เรียกว่าเป็นเจ้าครองนครก็ไม่เกินจริง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสวี่ชิงมีหนิงเหยียนอยู่ข้างกาย ตัวตนของหนิงเหยียน ทำให้สวี่ชิงยืนอยู่บนฝั่งของ
ความชอบธรรม การกระทำของเขาไม่ถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจ
เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่การแตกดับของอ๋องเทียนหลัน
การก้าวออกมาของหนิงเหยียน คำพูด การกระทำของ เขาล้วนแต่ผลักดันทุกอย่างไปสู่การต่อสู้ระหว่างองค์ชาย
แม้ว่าจะมีคนที่เข้าใจอยู่มากมาย แต่บางครั้งการปกปิด ความผิดพลาด ไม่ได้ปกปิดที่ตัวของมันเอง แต่เพราะ …เปิดเผยออกไปไม่ได้
หากไม่เปิดเผย มันเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างองค์ชาย เท่านั้น
หากเปิดเผยออกมา จะนำไปสูความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในหมู่เผ่ามนุษย์ ทั้งในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ครึ่งหนึ่งของแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ และแดนใหญ่เซ่นจันทรา
ราคาของความขัดแย้งนี้ยอมตกอยู่ที่ผู้เปิดเผย ความผิดพลาดนั้น
จักรพรรดิมนุษย์ไม่ต้องการจะเปิดเผย คนอื่นๆ…ย่อม ไม่อาจเปิดเผยได้
ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่ต้นจนจบแท้จริงแล้วเป็นเพียงการ เดิมพันและคานอำนาจของทั้งสองฝ่าย เฉกเช่นการต่อสู้ ระหว่างผู้บำเพ็ญ ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าทั้งสิ้น
ดังนั้นครึ่งเดือนหลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ในแดนใหญ่ วิญญาณทมิฬ ก็มีพระราชโองการสองฉบับส่งมาจากแดน ใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิมาถึงแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ พระราชโองการแรก พระราชทานแก่สวี่ชิง!
“โองการเทพเซียน จักรพรรดิเสวียนจั้นมีพระบัญชา นับแต่กาลก่อนจักรพรรดิบรรพชนจักปกครองแผ่นดินได้ต้อง มีขุนนางผู้ทรงภูมิ ตงเซิ่งมีเกษมสำราญ จิ้งอวิ๋นมีบริพารที่ยอ มล้างโลกาเพื่อพระองค์ พระดำริของเต้าซื่อดำเนินได้ด้วยบัญชา”
“ครั้นเมื่อแต่งตั้งขุนนาง จักรพรรดิย่อมมีความชอบธรรม ใต้หล้าย่อมถูกปกครองอย่างผาสุก บัดนี้ได้รับสาสน์ว่าคลื่น ศักดิ์สิทธิ์มีปราชญ์ผู้หนึ่ง ทำหน้าที่ปกครองผนึกสมุทร พิทักษ์คลื่นศักดิ์สิทธิ์ สยบวิญญาณทมิฬ ปกด้าวป้องแดนเผ่ามนุษย์ รักษา เข ตขัณฑ์แดนดิน”
“ข้าชื่นชมจิตใจ เทิดทูนคุณธรรม โปรดปรานแก่นแท้ แต่เดิมของคนผู้นี้ อย่างไรก็ดีคลื่นศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนที่ จักรพรรดิโบราณปลูกฝังรากเหง้าของพระองค์เอาไว้ จึงเรียกขานว่าเป็นสายเลือดแห่งรัฐ ตำแหน่งนี้จึงมีความสำคัญยิ่ง จึงเห็นควรให้เชิญสวี่ชิงผู้เป็นเลิศมายังแดน ใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ เพื่อข้าจักได้แต่งตั้งตำแหน่งด้วยตนเอง ราชบัณฑิตเปิดว่าการ ประกาศกฎปกครองขุนนาง จบรับสั่ง”
พระราชโองการฉบับที่สองมอบให้แก่หนีงเหยียน เนื้อ ความเรียบง่ายกว่า มีความหมายในเชิงสั่งสอนอย่างชัดเจน
“เหยียนโอรสองค์ที่สิบสอง ดื้อรั้นเกเรมาตลอด กายใจ ไม่สงบนิ่ง ลอบหนีจากเมืองหลวงจักรพรรดิ มักประพฤติตนมุทะลุ สมควรถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา”
“แต่เมื่อครั้นยังเด็ก มารดาด่วนจากไป ข้าผิดเองที่ ไม่อบรมสั่งสอนเจ้าให้ดี”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือในการปกครองคลื่น ศักดิ์สิทธิ์ได้ หากมีผู้ทรงภูมิคอยสั่งสอน คอยเฝ้าดู ความประพฤติ”
“แต่บัดนี้จงเร่งรุดกลับวังทันที อย่าได้ขัดขืน หากแม้ มีเรื่องผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นระหว่างทาง ข้ายอมล่วงรู้ เมื่อ ถึงครานั้นข้าจักลังหารเจ้าเสียโดยไม่ปราณี”
ภายในหอจวนเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงอ่านพระ ราชโองการทั้งสองฉบับอย่างพินิจพิเคราะห์
นายท่านเจ็ดและโหวเหยาไม่อยู่ที่นี่ มีเพียงนายกองและ หนิงเหยียนที่อยู่กับสวี่ชิง
นายกองนั่งอยู่ในห้องกินลูกท้อไปพลางอ่านพระ ราชโองการสองฉบับไปพลาง ปากส่งเสียงจุๆ กวาดตามอง หนิงเหยียนที่ยืนนิ่งแข็งทื่อ
“หนิงจื่อน้อย พ่อเจ้านี่ช่างกระไร ด่าเจ้ามาเป็นชุดก่อน จากนั้นก็บอกว่าเป็นความผิดของเขาเสียอย่างนั้น…”
“นี่เป็นการช่วยให้เจ้ารับหน้าที่ต่อจากอ๋องเทียนหลันได้ แต่พ่อเจ้าก็ช่างโหดร้ายกับเจ้าเสียจริง ประโยคสุดท้าย เห็นความเด็ดขาดผ่านตัวอักษรเลย หากเจ้าทำตุกติก ระหว่างทาง ก็จะกุดหัวเจ้า”
หนิงเหยียนมองนายกองอย่างประจบเอาใจ ก่อนจะลอบ กวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยนํ้าเสียงทุ้มตํ่า “นายกอง ท่านอย่าล้อข้าเล่นสิขอรับ เสด็จพอทาน…ไม่ได้เอ็นดูข้าขนาดนั้น ที่พระองค์พูดเช่นนี้ก็เพราะว่าเห็นแก่ลูกพี่ แต่จนปัญญากับข้าแล้วก็เท่านั้นเอง”
“ในใจข้ามีเพียงลูกพี่และนายกองเท่านั้น คนอื่นข้าไม่สน
หรอก”
“ข้าคิดมาดีแล้วว่าจะไม่ไปยังแดนใหญ่เมืองหลวง จักรพรรดินั่น แต่หากลูกพี่และนายกองไปด้วย หนิงจื่อน้อย จะไปกับพวกทานอย่างไม่รีรอเลยขอรับ”
นายกองหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นกอดคอหนิงเหยียน แล้วหยิบ ผิงกั่วในกระเป๋าเสื้อใส่ในมือของหนิงเหยิยน
หนิงเหยียนทำหน้าตื่นเต้นยินดีในทันใด รับผิงถั่วมา มองนายกองอย่างซาบซึ้ง
ทั้งสองประสานสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับจิตวิญญาณได้ ประสานเป็นหนึ่ง กลายเป็นพี่น้องผู้รักใคร่กลมเกลียว สวี่ชิงกวาดตามอง ไม่ได้เปิดโปง
เรื่องหมายเรียกตัวของจักรพรรดิมนุษย์ เขารู้ดีอยู่ว่า ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องไป
มิฉะนั้น ตำแหน่งของเขาในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็จะ ไม่ถูกต้อง
และ…ตะเกียงดำจื่อเสวียน ตามความรู้สึกของจื่อเสวียน ก็อยู่ที่แดนใหญ่เผ่ามนุษย์
จะสมเหตุสมผลหรือไม่เขาก็ต้องไป
และเขาก็ยังอยากรู้นักว่าเมืองหลวงจักรพรรดิซึ่งเป็น ศูนย์กลางของเผ่ามนุษย์เป็นอย่างไร จะมีอัจฉริยะฟ้าประทาน และทิวทัศน์อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้…เขาก็รู้เรื่ององค์ชายเจ็ดหลบหนีไปแล้ว ใน ใจของสวี่ชิงย่อมมีจิตสังหารกับเจ้าตัวปัญหาในภายภาคหน้านี้
เห็นแก่อดีตเจ้าวังครองกระบี่ และเห็นแก่การกระทำต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมาขององค์ชายเจ็ด ทุกอย่างต้องถึงคราวยุติ
‘อีกอย่าง มหาจักรพรรค์ ก็อยู่ที่นั่นด้วย…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เงยหน้ามองไปทางกรมครองกระบี่ มณฑลรับเสด็จราชัน เขายังจดจำร่างเงามหาจักรพรรดิตอน พิธีหยั่งใจผู้ครองกระบี่ได้มาตลอด
‘ต้องไปคารวะสักหน่อย’
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววมุ่งมั่น แต่เขารู้ดีว่าการเดินทางไปเยือนแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิครั้งนี้ จะเป็นการเดินทางที่ยาวนาน และอาจจะใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง
ดังนั้นก่อนออกเดินทาง เขาจึงตัดสินใจไปที่ทวีป ปักษาสวรรค์ทักษิณ
เขาจะไปเยี่ยมหลุมศพปรมาจารย์ไป่ หัวหน้าเหลยก็เช่นกัน
แล้วก็หวงเหยียนอีกคน
ตอนนี้สวี่ชิงมีคำตอบให้กับเรื่องบางอย่างในใจแล้ว เขา จึงอยากไปที่แดนต้องห้ามปักษาราชัน เพื่อพูดคุยกับสหายเก่า ขณะที่คิดเช่นนี้ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจ
‘นายท่านวางใจเถิดขอรับไปแดนใหญ่เมืองหลวง จักรพรรดิครั้งนี้โหยวหลิงจื่อยอมคอยอารักขาความปลอดภัย ให้นายท่าน หากมีผูใดกล้าคิดร้ายกับนายท่าน ไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าจะทำให้มันกลายเป็นผีแน่นอน!’
คำพูดมุ่งมั่นเด็ดขาด เจือความหยิ่งผยอง เป็นบรรพ จารย์สำนักวัชระนั่นเอง
เมื่อเสียงนี้ดังก้องในใจสวี่ชิง บรรพจารย์สำนักวัชระก็ส่ง เสียงพึมพำออกมาจากความว่างเปล่าข้างกาย โอบล้อมร่างสวี่ชิง เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสดงพลังของเขาไม่หยุด เพียง ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
สวี่ชิงทอดสายตามองร่างบรรพจารย์สำนักวัชระ หลายวันก่อน นายท่านเจ็ดได้มอบเหล็กแหลมก้างปลาที่ ผ่านการเซ่นสังเวยให้กับสวี่ชิง
เมื่อเทียบพลังอำนาจของมันกับที่ผ่านมาได้ผ่านการ ถอดร่างเปลี่ยนกระดูกมาแล้ว ประสิทธิภาพก้าวกระโดด ยิ่ง เผยกลิ่นอายโบราณออกมา
เดิมทีเหล็กแหลมเป็นเพียงสิ่งของธรรมดา อย่างมากก็
นับเป็นของวิเศษลํ้าค่า มีบรรพจารย์สำนักวัชระกลายเป็นวิญ
ญาณศัสตรา ทำให้มันถูกยกระดับ และผ่านเคราะห์อัสนี พลัง
อำนาจของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทว่าสุดท้ายวัสดุก็เป็นวัสดุธรรมดาทั่วไป
กระทั่งหลอมรวมกับก้างปลาแดนต้องห้ามเซียน ทำให้
คุณสมบัติพื้นฐานของมันเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเพิ่ม
เลือดเนื้อของซื่อหมู่เข้าไปอีก ผสมกับวิธีการพิเศษของนาย ท่านเจ็ด ในที่สุดสมบัติชิ้นนี้ก็ได้รับการหล่อหลอมจนอยู่ใน ระดับที่น่าอัศจรรย์
รูปลักษณ์ของมันยิ่งเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่แท่งเหล็กบางเฉียบ แต่ราวกับเป็นกริชวัชระ มีปลายแหลมเรียวยาว ส่วน โคนหนาขึ้นเล็กน้อย สีดำสนิท แผ่กลิ่นอายเยือกเย็นออกมา ขณะที่ผนึกความว่างเปล่าโดยรอบ ก็มีแสงสว่างเรืองรอง กะพริบวูบวาบรอบตัวมันเอง
โดยเฉพาะส่วนโคนที่มีรูปสลักศีรษะสามหัว หัวแรกเป็น เทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน อีกหัวเป็นซื่อหมู่ และหัวสุดท้าย
เป็นใบหน้าของบรรพจารย์สำนักวัชระ
สองหัวแรกต่างหลับตา อำนาจเทพถูกปิดกั้น มีเพียงหัว ที่สามที่ทำหน้าประจบประแจง ผิดไปจากภาพรวมอย่างมาก ขณะจ้องมองบรรพจารย์สำนักวัชระที่ลอยไปลอย
มาเบื้องหน้า สวี่ชิงก็นึกถึงคำพูดของอาจารย์ตอนที่มอบของ ซิ้นนี้ให้เขาเมื่อหลายวันกอน
“เจ้าสี่ เจ้าสิ่งนี้มีเทพแดนต้องห้ามเซียนเป็นกระดูก มีวิญญาณซื่อหมู่เป็นเนื้อ มีเพียงวิญญาณศัสตราที่แย่ไปหน่อย แต่ดูแล้วมันมีส่วนที่โง่เง่าเล็กน้อย พอถูไถได้ หาก สังเกตในระดับหนึ่ง จะพบว่าโดยพื้นฐานแล้วมันก็คือตัวอ่อน
ของเทพ”
“หล่อหลอมโดยอ้างอิงจากเคล็ดวิชาที่เซียนคิมหันต์ บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ ดังนั้นข้าจึงเรียกมันว่าอาวุธเซียน!
“เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่ง การสำแดงฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของอาวุธเซียนคือยามที่มันระเบิดตัวเอง จะเกิดเป็นพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม”
“และเจ้าวิญญาณศัสตราตนนี้มันโง่ หลอกใช้ง่ายดายนัก หากเจ้าจะนำมาใช้งานในภายภาคหน้าก็จงควบคุมให้ดี ทางที่ดีควรปลอยให้มันระเบิดตัวเอง เช่นนี้พลังของมันจะเพิ่ม มากขึ้น”
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำที่ห้ามให้บรรพจารย์สำนัก วัชระได้ยินเป็นอันขาด
แน่นอนว่าตอนนี้มันย่อมไม่รู้ซ้ำยังเอ่ยด้วยความลำพองใจ
“ต่อให้เป็นเจ้าเงาเวรก็เช่นเดียวกัน หากยังขัดขืน บรรพจารย์อย่างข้าจะแทงมันให้พรุนให้มันได้รู้ว่าใครเหนือกว่า!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากครุ่นคิดก็มองด้วยสายตาชื่นชม
บรรพจารย์สำนักวัชระตื่นเต้นทันที