บทที่ 741 สายน้ำยังคงหลั่งไหลในหมู่มวลบุปผา
ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ฤดูใบไม้ผลิ
ท้องฟ้ามืดสลัว เมฆทึบปกคลุม
ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน แต่เมฆดำกลับเบียดบังหนาแน่น ทอดยาวออกไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ คล้ายจะบดบัง แสงอาทิตย์ทั้งหมด
ความหนาวเย็นปกคลุมพื้นดิน ความเปล่าเปลี่ยวกำจาย อยู่ทั่วใต้หล้า ฤดูกาลที่สรรพสิ่งฟื้นคืนชีพ แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา ทุกสิ่งอย่างประกอบเป็นความรู้สึกห่อเหี่ยวปกคลุมไปทั่วเมืองโบราณแห่งนี้
เมืองแห่งนี้มีอายุยาวนาน หากอ่านบันทึกโบราณ จะพบ ว่าเมืองนี้มีมาตั้งแต่ยุครัฐม่วงคราม
แน่นอนว่ารัฐม่วงครามไม่ใช่รัฐลึกลับที่ถูกฝังกลบในหน้า ประวัติศาสตร์ แต่เป็นรัฐม่วงครามแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ตำนานเล่าขานกันว่ารัฐม่วงครามในทวีปปักษาสวรรค์ ทักษิณ ตกทอดมาสู่ชนรุ่นหลังของรัฐม่วงครามอันลึกลับใน ตอนนั้น
แต่ดูเหมือนว่ารัฐนี้จะถูกสาป ชื่อม่วงครามสองคำนี้จึง
ไม่ปรากฏบนโลก
ดังนั้นรัฐม่วงครามในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณจึงตั้งอยู่
ได้ไม่นาน ทุกคนก็กบฏญาติพี่น้องของตัวเอง ถูกขุนนางแปด ตระกูลใหญ่ยึดอำนาจ
จึงมีผืนอินทนิล
ตอนนี้ ผ่านกาลเวลามานานหลายปี ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมตั้งเดิมแต่โบราณเอาไว้ มีประชากรไม่มาก ในผืนอินทนิลที่แบ่งแยกลำดับชนชั้นอย่างเข้มงวด คนส่วนใหญ่มีค่าน้อยกว่าสัตว์
นี่คือกฎของโลก ยากจะเปลี่ยนแปลง แม้จะฝืน เปลี่ยนแปลง ก็ยังจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ซํ้าเดิมอยู่ดี ถึงอย่างไร อีกด้านหนึ่งของอารยธรรมคือการ แสวงหาผลประโยชน์และการกดขี่
สวี่ชิงเดินไปตามท้องถนนในผืนอินทนิลเงียบๆ ผ่าน อาคารเก่าแก่แห่งแล้วแห่งเล่า มองเมืองและผู้คนในเมือง สายลมพัดมาจากเบื้องหน้า ไล้ผ่านปอยผมปสิวไสวเบาๆ ในเมืองมีสหายเก่าของเขาอยู่ ในเมืองมีอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาอยู่ สหายเก่า สวี่ชิงใช้จิตเทพกวาดหา ได้รู้ว่าพวกเขายังสุข สบายดีก็พอใจแล้ว
ส่วนอาจารย์…สวี่ชิงมองไปทางร้านดอกไม้ใกล้ๆ ร้าน ดอกไม้ที่เปิดติดกับสุสานส่วนใหญ่มักจะขายสิ่งของสำหรับทำการเซ่นไหว้ผู้วายชนม์ ชายวัยกลางคนในร้านสังเกตเห็นสวี่ชิง จึงรีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ
เสื้อผ้าเรียบร้อยและใบหน้าหล่อเหลาของสวี่ชิง ทำให้ เหล่าผู้น้อยตระหนักได้ทันใดว่านี่คือใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ตามการ คาดเดาของเขา อีกฝ่ายน่าจะเป็นลูกหลานสักคนในแปดตระกูลใหญ่
เขาไม่กล้าหาเรื่องกับคนประเภทนี้
สวี่ชิงกวาดสายตามอง แล้วซื้อดอกมณฑาขาวพวงหนึ่งมา เดินไปเข้าไปในสุสาน จนไปถึงหลุมฝังศพปรมาจารย์ไป่ เขามองหลุมฝังศพนั้น จากนั้นมองดอกไม้สดที่วางเหนือหลุมนั้น สวี่ชิงจึงวางดอกไม้ในมือตนด้วยสายตาอ่อนโยน “อาจารย์ สบายดีนะขอรับ”
สวี่ชิงเอ่ยพึมพำ และหลับตาลง เมฆทะมึนบนฟากฟ้าเคลื่อนคล้อย เผยช่องว่าง แสงแดดส่องลอดลงมา ส่องกระทบหลุมศพหลุมนี้ ลำแสงนี้เปรียบเสมือนรุ่งอรุณ เป็นตัวแทนของความดีงาม ตกกระทบหลุมศพแห่งนี้ ทำให้ดูเหมือนกลายเป็น ดินแดนอันบริสุทธิ์ที่สุดขอบโลก อีกทั้งยังหอบเอาลมหายใจแห่งวสันต์มาด้วย
และลำแสงที่ทอดลงมาเพียงเส้นเดียวนี้ก็ดึงดูด ความสนใจของผู้คนจำนวนมากบนผืนอินทนิลอย่างรวดเร็ว จากการสอดส่องด้วยจิตเทพ ผู้บำเพ็ญผืนอินทนิลเริ่ม รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทีละคน พวกเขาไม่เคยพบสิ่งผิดปกติในสุสานมาก่อน
หน้าหลุมศพปรมาจารยไป๋ ไร้ซึ่งเงาร่างผู้ใด มีเพียงดอกมณฑาช่อหนึ่งที่เบ่งบานอย่างเงียบงัน ภาษาดอกไม้ของมันหมายถึงการมาเยือนของวสันตฤดู สวี่ชิงจากไปแล้ว
ในเวลาใกล้เคียงกัน ทว่าท้องฟ้าต่างกัน ฤดูกาลย่อม ต่างกัน
ฤดูใบไม้ผลิของผืนอินทนิล เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาว ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ลมเหมันต์หนาวเหน็บดุจใบมีดพัดผ่านแผ่นดินใหญ่ หอบม้วนเกล็ดหิมะมาในอากาศ ระบายความหนาวเหน็บ อย่างไร้ความปรานี
ตามที่รกร้าง จะพบเห็นเงาร่างสีดำแน่นิ่งไม่ไหวติง ร่าง เหล่านั้นคือศพของผู้คนที่ต้องอพยพที่หนาวจนแข็งตาย
ยุคสมัยไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลเพียงเพราะสวี่ชิงได้เป็นเจ้าผู้ครองแดนใหญ่ในตอนนี้ เพราะ…เสี้ยวหน้าบนฟากฟ้าจะคงอยู่ไปตลอดกาล
สวี่ชิงเดินไปเงียบๆ มาถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้น ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ทว่าสหายเก่าของเขาโดย พื้นฐานล้วนจาล้มหายตายจากไปแล้ว และถูกคนที่มาภายหลังยึดครอง ดำเนินชีวิตด้วยการเก็บหญ้าเจ็ดใบในพื้นที่ต้องห้ามต่อไป
สกปรก เย็นชา บ้าเลือด ยังคงเป็นท่วงทำนองหลักของที่นี่
กระทั่งกระโจมขนนกก็ยังอยู่เช่นเคย สายตาของสวี่ชิงกวาดมองฐานที่มั่นคนเก็บกวาดบนท้องฟ้า สุดท้ายก็เดินเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามเบื้องหน้า
ทันทีที่เข้าไปยังพื้นที่ต้องห้าม ทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้ามพลัน ร้องคำราม ปราณหมอกรายล้อมพื้นที่ต้องห้ามหนาทึบและพวยพุ่งไม่หยุดหย่อนทันที ยิ่งมีอัสนีบาตแล่นแปลบปลาบอยู่ในเมฆหมอกเหล่านั้น
ต้นไม้ทุกต้นสั่นไหว อสูรร้ายทั้งหมดในพื้นที่ต้องห้ามตัว สั่นเทิ้ม
การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ดึงดูดความสนใจฐาน
ที่มั่นคนเก็บกวาดข้างนอก ระหว่างที่ต่างประหวั่นพรั่งพรึง เสียงคำรามที่ส่งมาจากส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามแฝงการขู่ คุกคาม
เสียงนี้…ดั่งเสียงคำรามที่ไร้กำลังที่สุดของอสูรร้ายที่ ล่าถอยเมื่อเผชิญหน้ากับภยันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ยิ่งมีเสียงฉินกรีดแหลมดังแว่วถี่กระชั้น ราวกับพยายาม จะหยุดยั้งไม่ให้สวี่ชิงเข้าใกล้ แต่ไร้ผล
สีหน้าของสวี่ชิงหาได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ย่างก้าว ของเขาหนักแน่นยิ่ง ทำให้พื้นที่ต้องห้ามมีเสียงสะเทือนเลื่อน ลั่นในทุกย่างก้าว ไม่นานเหล่าอสูรร้ายในนั้นก็เลือกที่จะ คืบคลานออกมา
มีเพียงเสียงฉินเท่านั้นที่ยังดิ้นรน แต่สวี่ชิงหน่ายระอาที่ต้องได้ยินเสียงนี้แล้ว จึงจ้องเข้าไป ในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามอย่างเย็นชา
“หนวกหู”
เมื่อเขากล่าวออกมา เงาใต้ฝ่าเท้าแผ่ขยายออกไปทันที ความตะกละตะกลามและเสียงกลืนนํ้าลายดังกลบเสียงฉิน และทุกสรรพเสียง
บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งไปทันใด ลอยอยู่กลางอากาศ ปลายแหลมชี้ลงพื้นที่ต้องห้าม ราวกับสามารถเจาะรูเป็นพันรู ได้ทันทีที่สวี่ชิงสั่งการ
เสียงฉินหยุดชะงักลงทันใด ดอกไม้ใบหญ้าแหวกออกเป็นทาง ต้นไม้ ถอนรากถอนโคนเคลื่อนตัวหนีห่างไปอย่างเร็วรี่ ไม่นานทาง เบื้องหน้าสวี่ชิงก็ถูกปูเป็นถนนอย่างดี
ที่ปลายทางมีต้นไม้กำลังสั่นเทาอยู่ต้นหนึ่ง และหลุมฝัง ศพโดดเดี่ยวเบื้องหน้ามัน
สวี่ชิงเดินตรงเข้าไปอย่างสงบนิ่ง กระทั่งถึงเบื้องหน้า หลุมศพโดดเดี่ยวนั้น ก็พิงต้นไม้ใหญ่ และทิ้งตัวลงนั่ง
ในมือพลันมีนํ้าเต้าใส่เหล้าปรากฎขึ้น จัดการดื่มเองหนึ่ง จอก แล้วเททิ้งหนึ่งจอก
ไม่มีคำพูดใด และไม่จำเป็นต้องสรรหาถ้อยคำอันใด เขา นั่งตรงนี้อยู่สักพัก ในใจสวี่ชิงสงบลงมาก ราวกับว่าหัวหน้าเห ลยมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา ดื่มกับเขา พร้อมกับชมท้องฟ้า ไปด้วยกัน
จนกระทั่งท้องฟ้าไกลออกไป แสงตะวันยามโพล้เพล้ สาดสอง
สวี่ชิงเอ่ยขึ้นผะแผ่ว ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “หัวหน้าเหลย ข้าเจอดอกลิขิตฟ้าแล้ว…”
ถ้อยความนี้แฝงความทรงจำ แฝงความรู้สึกผิด แฝงความคิดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย และความจนใจของชีวิตเอาไว้ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สวี่ชิงก็ถอนหายใจเบาๆ กระดก เหล้าในน้ำเต้าจนหมดรวดเดียว ฟากฟ้ายามอาทิตย์อัสดง ม่านนภายามแสงจันทร์ฉาย
สวี่ชิงหยัดกายขึ้น คุกเข่าลงเบื้องหน้าหลุมศพโดดเดี่ยว ภายใต้แสงจันทร์ หลังจากคำนับหลุมศพแล้วก็ยืนขึ้น เดิน จากไปแสนไกล ดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้าหวนคืนสู่สภาพปกติ ปกคลุมหลุมศพเดียวดายเอาไว้
สายลมพัดพาเอาเสียงของสวี่ชิงมาด้วย “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่เจ้าต้องปกปักษ์ที่นี่”
ขณะที่เสียงสวี่ชิงสะท้อนก้อง เงาร่างตะคุ่มๆ พลัน ปรากฏตัวข้างหลุมศพเดียวดาย
ร่างเงานั้นไม่ใช่คนรักเก่าของหัวหน้าเหลย แต่เป็นหญิงชรา หากสังเกตดูให้ดี จะเห็นกู่ฉินหักๆ ในร่างกายนาง
นางก็คือเจ้าของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ ยามนี้กำลังค้อม ศีรษะไปทางแผ่นหลังของสวี่ชิงอย่างเงียบงัน นางเลือกที่จะ สวามิภักดิ์
ใต้แสงจันทร์ สวี่ชิงเยื้องย่างกลางนภา แสงจันทร์ที่อื่น ส่องแสงสุกสกาว ทว่าบนร่างของสวี่ชิงกลับเปลี่ยนเป็นสีม่วง รัศมีแสงจันทร์สีม่วงทำให้ร่างเงาของสวี่ชิงในรัตติกาล ประหนึ่งเทพเจ้า เขาก้าวเดินไปที่แดนต้องห้ามเพียงหนึ่งเดียว ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทีละก้าว ซึ่งเป็นแดนต้องห้ามที่ ใหญ่ที่สุดเท่าที่สวี่ชิงเคยพบเห็น
แดนต้องห้ามปักษาราชัน
แดนต้องห้ามปักษาราชันกว้างใหญ่ไพศาล กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ กระทั่งหากวิหคเพลิง สวรรค์ต้องการจะครอบครองทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ ง่ายดายยิ่ง
ด้วยเหตุนี้แดนต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้จึงให้กำเนิด เผ่าพันธุ์สิ่งประหลาดมากมาย เผ่าพันธุ์เหล่านี้ที่ใช้ชีวิตใน แดนต้องห้ามมีจำนวนมากน้อยเพียงใด มีกี่เผ่าพันธุ์ก็ไม่มีผู้ใด ล่วงรู้
พวกมันทำตามคำสั่งของวิหคเพลิงสวรรค์ที่ว่าจะ ไม่ทำร้ายผู้มาเยือนก่อน นอกเสียจากพวกมันจะถูกยั่วยุจากผู้ มาเยือน เช่นนี้นพวกมันจะไม่ออมมือ
และเพราะความน่ากลัวของแดนต้องห้ามปักษาราชัน ดังนั้นในบันทึกหลายฉบับของนานาเผ่าพันธุ์ในแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์จึงเรียกขานเจ้าผู้ครองแดนต้องห้ามปักษาราชัน ว่าวิหคเพลิงสวรรค์ และยกย่องให้เป็นปักษาสวรรค์แห่งทักษิณ
องค์ท่านลึกลับ เก่าแก่โบราณ เป็นตัวตนที่มีเมตตาต่อ สรรพชีวิตอย่างหาได้ยากยิ่ง
และบัดนี้ สวี่ชิงก็มาถึงชายแดนของแดนต้องห้ามปักษา ราชันภายใต้แสงจันทรา และยืนอยู่บนยอดเขาสัจธรรม
เห็นได้ชัดว่ามีคนผู้หนึ่งล่วงรู้การมาเยือนของเขานานแล้ว จึงมารอเขาอยู่ที่นี่
ดังนั้น เมื่อสวี่ชิงมาถึง เขาก็ได้พบกับเจ้าอ้วนน้อยผู้หนึ่ง กำลังนั่งดื่มไข่เป็นพักๆ ที่ขอบผาด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม พลาง ฮัมเพลงไปด้วย
“หาใช่ว่าโปรดปรานแดนมนุษย์ คล้ายเป็น บุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน บุษบงบานเบ่งแลร่วงโรยตามกาล ข้ากลายเป็นศิลาเฝ้าโฉมยง ถึงกาลจำจากก็ต้องจาก ถึงคราว ต้องอยู่ข้างเคียงก็ต้องอยู่ หากบรรพตมีเบ่งบานด้วยมาลา อย่าถามข้าว่าจะไปที่ใด!”
ขณะที่ฟังบทเพลงสั้นๆ สวี่ชิงก็เดินไปหย่อนกายนั่งข้างๆ หวงเหยียน
หวงเหยียนยิ้มกว้าง โยนไข่ในมือให้กับสวี่ชิง ขมวดคิ้วมุ่น ส่งสายตาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ
“พี่สะใภ้เจ้ายังไม่คลอด นับวันยิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ โชคดีที่เจ้ามา มาดื่มไข่เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”
สวี่ชิงรับไข่มา เปิดออกด้วยวิธีการที่เคยทำ กระดก ไปหนึ่งอึก รสชาติหอมหวานอย่างยิ่ง
“อีกนานเพียงใดกว่าศิษย์พี่รองจะคลอด”
สวี่ชิงมองหวงเหยียน หวงเหยียนตบพุง ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เผ่าพันธุ์ของข้าไม่ปกติ เกิดมาพร้อมกับวิญญาณก่อนกำเนิด จึงตั้งครรภ์นานนิดหน่อย อีกไมกี่สิบปีก็น่าจะคลอดแล้วละ”
สวี่ชิงพยักหน้า หากเป็นเช่นนี้เขาน่าจะกลับมาทันก่อนที่ ลูกของศิษย์พี่รองจะถือกำเนิด
สวี่ชิงและหวงเหยียนดื่มไข่และแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิต ในช่วงนี้ หวงเหยียนพูดถึงความรู้สึกและความคาดหวังในการ
จะได้กลายเป็นพ่อ สวี่ชิงเล่าประสบการณ์ที่เซ่นจันทราและ เรื่องที่ต้องไปเยือนเมืองหลวงจักรพรรดิ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กระทั่งดวงตะวันลอยขึ้นสูงที่ ขอบฟ้าไกล ทั้งสองคนมองหน้าและยิ้มให้แก่กัน
สวี่ชิงปัดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนแล้วลุกขึ้น เตรียมจะจากไป เขาไม่ได้ถามว่าหวงเหยียนเป็นวิหคเพลิงสวรรค์หรือไม่ เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่เขาคือหวงเหยียน คือสหายของเขา
หวงเหยียนก็ไม่ได้เอ่ยถึง ทำให้ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน
แต่ก่อนที่สวี่ชิงจะจากไป หวงเหยียนครุ่นคิด ก่อน จะหยิบถุงเก็บของและขนนกสีแดงออกมามอบให้กับสวี่ชิง ขนนกทั้งหมดโปร่งใส คล้ายจะเป็นหยกทว่าไม่ใช่ แผ่ ความร้อนแผดเผา ยิ่งมีอำนาจเทพเข้มข้นปะทุออกมา ต่าง จากกลิ่นอายเทพเจ้าที่สวี่ชิงเคยเห็นทั้งหมด ดูเหมือนมันจะมีกลิ่นอายบรรพกาลอยู่
“สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
“ข้ามีน้องสาวคนหนึ่งอยู่ที่เขตปกครองทักษิณสาสน์ ซึ่ง เป็นที่ที่เจ้าต้องเดินทางผ่านเพื่อไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิ นางเคยมาเยือนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและชอบผลไม้ที่นี่ ตอนนั้นเก็บเกี่ยวได้ไม่มาก แต่ตอนนี้สุกงอมแล้วไม่น้อย ข้า ขอฝากเจ้าแวะเอาไปให้นางหน่อยนะ”
“ถึงนางจะนิสัยไม่ดีเท่าไรแต่นางมีน้ำใจเหมือนกับข้า” หวงเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงพยักหน้า ไม่ปฏิเสธ หลังจากรับของมาแล้วก็มอง หวงเหยียน
“รักษาตัวด้วย”
กล่าวจบ สวี่ชิงก็ไหววูบ เดินขึ้นไปบนอากาศ บนยอดเขา หวงเหยียนมองสวี่ชิงด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็โพล่งออกมา
“สวี่ชิง ข้ายังยืนยันคำเดิม หากอยู่ด้านนอกไม่มีความสุข ก็กลับมายังทวีปปกษาสวรรค์ทักษิณ ที่นี่ปลอดภัย!”
บนฟากฟ้า สวี่ชิงทำสีหน้าจริงจัง พยักหน้าหนักแน่น เดินจากไปไกลแสนไกล ร่างเงาค่อยๆ เลือนหายไป
ร่างเงาของหวงเหยียนบนยอดเขาก็พร่าเลือนเช่นกัน ทันทีที่หายไป ก็มีสายตาคู่หนึ่งในส่วนลึกของแดนต้องห้าม ปักษาราชันลืมตาขึ้นมา แผ่กลิ่นอายออกมา ทำให้สรรพชีวิต ในแดนต้องห้ามต่างน้อมคารวะ
องค์ท่านทอดสายตามองไปไกล เอ่ยด้วยเสียงทุ้มตํ่า “รักษาตัวด้วย”
