บทที่ 755 ลมพิฆาตดาบสังหาร สายวารีทะลักปลิดวิญญา
“ยินดีต้อนรับคุณชายสวี่ หากหอข้าต้อนรับได้ไม่ดีนัก โปรดคุณชายอย่าได้ถือสา
“หากคุณชายมีเวลาว่าง ไปกับพวกเราหน่อยได้หรือไม่” “ผู้อาวุโสของสำนักเราท่านหนึ่งอยากเชิญท่านไปเสวนาด้วย”
ท่านแม่ใหญ่กล่าวอย่างนอบน้อม กล่าวจบก็มองสวี่ชิงด้วยสายตาขอร้อง
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ต่างก็ตื่นตกใจ พวกเขารู้เบื้องหลังของสวี่ชิงดี ก่อนหน้านี้จึงแค่ ‘คารวะ’ สุราให้ ไม่ได้มากเกินไป ไม่ได้หาเรื่องทะเลาะวิวาทจริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพื่อสตรีนางหนึ่ง แต่ในรายงานของพวกเขา สวี่ชิงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง กับหอเลือนโลกีย์แห่งนี้โดยเฉพาะแม้หอเลือนโลกีย์จะเป็นสุดยอดสำนักเผ่ามนุษย์ แต่กลับมีเทพเจ้าเผ่านภาคิมหันต์อยู่เบื้องหลัง
ท่าทีคลุมเครือ
ต่อให้เป็นจักรพรรดิมนุษย์ก็ทำได้เพียงยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย
ดังนั้นที่สำนักนี้นอบน้อมกับสวี่ชิงจึงน่าตื่นตะลึงยิ่ง ทำให้เกิดการคาดเดามากมายเรื่องผู้อาวุโสสำนักที่ท่าน แม่ใหญ่ผู้นี้กล่าวถึง
ดวงตาทุกคนตางลุกวาว สายเลือดจักรพรรดิแซ่เผิงคน นั้นก็หรี่ตา ม่านตาหดลงเล็กน้อย ท่าทีของเขาที่ปฏิบัติต่อสวี่ชิงก็เหมือนกับขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ไม่ล่วงเกิน แต่ก็ไม่เข้าใกล้ รักษาระยะห่างระดับหนึ่ง
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เห็นหลิงเหยาในดวงใจตนไปนั่งข้างๆ สวี่ชิง แม้เขาจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ได้กระทำอะไรรุนแรงออกไป สถานะของเขารวมถึงเบื้องหลังหอโลกีย์นี้ล้วนทำให้เขายับยั้ง ชั่งใจอยู่บ้าง
ทว่าจะมากจะน้อยก็เสียหน้า เขาจึงยอมปล่อยให้คนข้างกาย ‘คารวะ’ สุรากับสวี่ชิงไปโดยปริยาย
เห็นว่าเมื่อครู่พอประมาณแล้ว เขาก็ไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลาย จึงลุกขึ้นเตรียมจะจากไป แต่การมาเยือนของท่านแม่ใหญ่ ทำให้เขาเกิดความคิดมากมายกับตัวสวี่ชิง
เมิ่งอวิ๋นไป๋กับหวงคุนก็ตกตะลึงเช่นกัน มองไปทางสวี่ชิง สวี่ชิงแอบถอนใจ เขาเดาคำตอบได้บ้าง อันที่จริงตอน เมิ่งอวิ๋นไป๋บอกว่าหอโลกีย์บูชาเทพ สวี่ชิงก็ทราบแล้ว แต่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
และการสักการะเทพเจ้าและการมาเยือนของเทพเจ้า จากเรื่องซื่อหมู่ที่เขาเข้าใจนั้นแตกต่างกัน
นอกจากนี้ สำหรับเทพชั้นสูงชิงเหยียน หลังจากผ่าน ประสบการณ์ที่แดนใหญ่เซ่นจันทรามาด้วยกัน อย่างน้อยสวี่ชิงก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ศัตรู ส่วนหลังจากนี้ยังไม่แน่ นี่ก็เป็นสาเหตุที่สวี่ชิงยังคงเลือกมาที่นี่ ตอนนี้ในเมื่อถูกพบตัวแล้ว หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็ประสานหมัดให้กับท่านแม่ใหญ่ ยินดีตามไป
ท่ามกลางการส่งด้วยสายตาของทุกคนที่นี่ สวี่ชิงจึงออก ไปพร้อมกับท่านแม่ใหญ่คนนั้นเช่นนี้ ส่วนหลิงเหยาก็จากไป
หลังจากสวี่ชิงออกไป ทุกคนก็คิดกันไปต่างๆ นานา ทยอยแยกย้ายกันไป สำหรับเรื่องในวันนี้ พวกเขาจะนำ ไปรายงานให้คนในตระกูลรู้เป็นอันดับแรก นึกภาพออกเลยว่า ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ จะต้องยิ่งให้ความสำคัญกับประเมินสวี่ชิงมากขึ้นเป็นแน่
สายเสือดจักรพรรดิแซ่เผิงคนนั้นก็คล้ายครุ่นคิด มองค่ายกลส่งข้ามที่สวี่ชิงจากไป ดวงตาฉายประกายประหลาด ส่วนเมิ่งอวิ๋นไป๋กะพริบตาปริบๆ เดิมเขาคิดว่าเข้าใจสวี่ชิงจากรายงานมากแล้ว แต่มองจากตอนนี้ สิ่งที่ตนเองรู้เป็น เพียงเรื่องบนผิวนํ้าเท่านั้น
ส่วนที่อยู่ใต้นํ้า สวี่ชิงยังมีขุมอำนาจอีกมากมาย ‘น่าสนใจ…’
เมิ่งอวิ๋นไป๋ยิ้ม และจากไปเช่นกัน
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงที่ติดตามท่านแม่ใหญ่ หลังออกจาก การส่งข้ามในสระน้ำเซียนถํ้าสวรรค์ ตอนปรากฏตัวก็มาอยู่ หน้าโถงบรรพชนในส่วนลึกของหอโลกีย์แล้ว
ที่นี่ ท่านแม่ใหญ่คารวะไปทางโถงบรรพชนอย่าง นอบน้อม ถอยไปหลายก้าว เป็นสัญญาณให้สวี่ชิงเข้าไป เพียงลำพัง
มองประตูโถงบรรพชน สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้าวไปผลักเบาๆ ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก แสงสีชมพูสาดส่องออกมาจากด้านใน หลังจากปกคลุมตัวสวี่ชิง สวี่ชิงก็มองเห็น จิ้งจอกดินเหนียวที่สักการะด้านในศาลเจ้าโถงบรรพชน มองไปยังจิ้งจอกดินเหนียว สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ “คารวะเทพชั้นสูง”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั้งโถงบรรพชน “เจ้าน้องชายตัวแสบ ตอนอยู่ที่แดนใหญ่เซ่นจันทรา สงวนตัวออกปานนั้นไม่คิดเลยว่าจะมาที่แบบนี้
ที่นี่เป็นสถานที่แบบใด ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร โชคดีที่ข้า ฟื้นตื่นทัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคงถูกเจ้าพวกร่านราคะกลืนไปแล้ว”
สวี่ชิง เงียบนิ่ง
“น้องชายตัวแสบ ได้เจอข้าดีใจหรือไม่ รู้สึกแปลกใจ หรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ไมแปลกใจขอรับ ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ท่านเทพชั้นสูงนั่งอยู่ ข้างข้าหรอกหรือ”
ร่างจิ้งจอกดินเหนียวเปล่งแสงเจิดจ้า ลืมตาขึ้นมองสวี่ชิงอย่างชื่นชม
“การสัมผัสรับรู้ของน้องชายตัวแสบนี่ใช้ได้ สัมผัส ประสาทสัมผัสเทพส่วนหนึ่งของข้าบนร่างหลิงเหยาได้ เจ้าคิด ว่าหลิงเหยาคนนั้นเป็นอย่างไร นางเป็นธิดาเทพที่ข้าเลือกเองกับมือ ในเผ่านภาคิมหันต์ ข้ายังมีธิดาเทพอีกคน เอาไว้จะให้ นางมาเล่นกับเจ้าบ้าง”
“หากเจ้าชอบ ข้าอนุญาตให้เจ้าแบ่งปราณหยางของข้า ให้กับพวกนางคนละหยดได้”
สวี่ชิงชินกับคำพูดหยอกล้อของจิ้งจอกดินเหนียวแล้ว จึงนิ่งเฉย แต่ถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่า
“ที่ท่านเทพชั้นสูงเรียกพบ คงมีเรื่องอื่นด้วยกระมังขอรับ”
จิ้งจอกดินกลอกตา เผยสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
“สีหน้าของเจ้านี่นะ…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมหาจักรพรรดิครองกระบี่เผ่ามนุษย์ดูแลเมืองนี้ ข้าก็ไม่อาจมาเยือนด้วยร่างจริงได้เพราะจะถูกดาบเขาฟัน ตอนนี้ข้าคงเอาปราณพลังหยางของน้องชายตัวแสบไปแล้ว”
“ช่างเถอะๆ เวลามีจำกัด ข้าฟื้นตื่นได้ไม่นาน เดาว่าอีก เดี๋ยวมหาจักรพรรดิครองกระบี่ของเผ่ามนุษย์ก็สัมผัสได้ วันนี้ ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะมีเรื่องจะเตือนเจ้า”
“จักรพรรดิมนุษย์ของพวกเจ้า…กำลังทำการใหญ่ที่เหล่าจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ไม่เคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์!”
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงแข็งค้าง
จิ้งจอกดินเหนียวยิ้ม ไม่ได้กล่าวรายละเอียดออกมา แต่ เงยหน้ามองออกไปไกลๆ
“แล้วก็ เจ้าต้องระวังราชครูเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้า…คน ผู้นั้นอันตรายอย่างยิ่ง อันตรายยิ่งนัก”
คำพูดสุดท้าย เสียงของจิ้งจอกดินเหนียวแผงความจริงจัง
“ค่อนข้างคล้ายเจ้าอย่างมาก…”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ ก็เงยหน้าขึ้นทันที กำลังจะเอ่ยปาก แต่พริบตาต่อมาจิตเทพน่าครั่นคร้ามสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจาก รูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ปกคลุมที่แห่งนี้
จิ้งจอกดินเหนียวแค่นเสียงเย็นชา ค่อนข้างไม่พอใจ แต่ สุดท้ายก็ยังหลับตาลง ขณะที่กลับกลายเป็นดินเหนียว ก็แผ่พลังอ่อนโยนส่งสวี่ชิงออกจากโถงบรรพชน ครู่ต่อมา จิตเทพถึงสลายไป ท่านแม่ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกโถงบรรพชน มองสวี่ชิงด้วยสายตาลํ้าลึก
ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามเทพชั้นสูง นางทราบดีว่าาในหอ
โลกีย์มีรูปสลักเทพเจ้าอยู่ทุกแห่ง แต่ก็เป็นเพียงรูปสลักเท่านั้น น้อยนักที่จะฟื้นชีพเช่นวันนี้
โดยเฉพาะ ฟื้นตื่นขึ้นมาเพื่อคนคนเดียว แต่นางก็เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้า มีหลายเรื่องที่ตนไม่รู้จะดีกว่ารับรู้ จึงก้มหน้าเล็กน้อย ส่งสวี่ชิงออกจากหอ
สวี่ชิงเงียบนิ่งตลอดทาง จนกระทั่งตอนที่เดินออกมา เขาหันหน้ากลับไปมองหอโลกีย์ผาดหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไป ในความมืดมิดยามราตรี
ท้องฟ้าตอนนี้เป็นยามสามแล้ว ท้องฟ้าราตรีของ เมืองหลวงมืดมิดไปหมด ไม่เห็นดวงดารา ถูกชั้นเมฆหนาผืนหนึ่งบดบัง ทั้งยังมีเสียงครืนครันของอัสนีดังมาเป็นระยะ แสงตะเกียงในเมืองหลวงยังสองสว่าง แต่ไม่ใช่ถนนทุกเส้นที่เป็นเช่นนี้ คนสัญจรบนถนนยามราตรีมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนที่กลับดึก มีทั้งคนเดียว และเป็นกลุ่มสี่ห้าคน
อาจเป็นเพราะฟ้าร้อง จากความเปียกชื้นที่กระจายไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้คนเดินอย่างเร่งรีบ
และลมก็พัดมาตอนนี้ มาพร้อมกับความเยือกเย็นมืดมน พัดผ่านพื้น พัดผ่านชายคาส่งเสียงหวีดหวิว และพัด มากระทบใบหน้าสวี่ชิง
ตอนที่ปะทะใบหน้า ราวกับเปลี่ยนฤดูกาล ‘ฤดูใบไม้ร่วง มาถึงแล้ว’
สวี่ชิงสัมผัสความเย็นในสายลมได้ เดินคนเดียวบนถนน ในสมองก็ขบคิดสองเรื่องนั้นที่จิ้งจอกดินเหนียวบอก
‘จักรพรรดิมนุษย์ กำลังทำการใหญ่อะไรอยู่’
สวี่ชิงเดินครุ่นคิด จนผ่านไปครู่หนึ่ง ขณะที่มีเสียงซ่าดังขึ้น หยาดฝนก็ร่วงลงสู่พื้นทีละหยด สายอัสนีแลบตัดกัน ฝน ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
นอกร่างสวี่ชิงมีแสงสลัวแผ่ออกมากำบังลมฝน เขาไม่ได้ หยุดเดินไม่ได้หยุดความคิด เพราะเขาในตอนนี้กำลัง นึกย้อนถึงคำพูดสุดท้ายของจิ้งจอกดินเหนียว
“ระวังราชครู…เขากับเจ้าค่อนข้างคล้ายกัน…”
สวี่ชิงพึมพำ เขาไม่เคยพบราชครู แต่คำว่าค่อนข้างคล้ายกัน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
‘คล้ายกันของเทพชั้นสูงคิมหันต์กล่าวถึง น่าจะ ไม่ใช่ความอันตราย ข้าไม่มีทางทำให้องค์ท่านรู้สึกถึงอันตรายได้ เช่นนั้นก็ตัดจุดนี้ทิ้งไป ที่เรียกว่าคล้ายกัน…น่าจะหมายถึง กลิ่นอายรวมถึงความรู้สึก แล้วก็รูปร่างหน้าตา’
ท่ามกลางลมฝน สวี่ชิงชะงักฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ เขาเงยหน้าขึ้น มองถนนตรงหน้า
ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ทอดยาว บ้านเรือนสองด้านสูงตํ่าไม่เท่ากัน แต่ละแห่งมืดมิด มีเพียงสายฝนที่ตกกระทบชายคาที่ยังนับว่าส่งเสียงใสกังวานออกมา เมื่อกระทบลงกับพื้นดิน ก็ไหลรวมกันจนเป็นแอ่งนํ้า รวมกันไม่หยุด
ตอนที่สายฟ้าฟาดลงมาจนทุกอย่างสว่างไปหมด ก็เห็น รูปร่างของสายลมได้
เดิมทีลมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในยามที่ฝนฟ้าคะนองนี้ น้ำฝนอาบชะโลมจนทำให้สายลมที่ไร้รูปร่างชัดเจนขึ้น พัด หวีดหวิวมาหาสวี่ชิง
ท่ามกลางความเยือกเย็นมืดมนและความชื้น ยัง มาพร้อมกับความเฉียบคม กลายเป็นดาบที่ซ่อนอยู่ในลมฝน เล่มแล้วเล่มเล่า พุ่งมาเบื้องหน้าสวี่ชิงกะทันหัน
พริบตาที่เข้าใกล้ เหล็กแหลมที่เหมือนกับกริชวัชระก็ ลอยออกมาจากถุงเก็บของสวี่ชิงทันใด หัวของบรรพจารย์สำนักวัชระหนึ่งในหัวทั้งสามบนนั้นถลึงตาทั้งสองอย่าง
โกรธแค้น ส่งเสียงคำรามตํ่า พุ่งไปหาสายลมเบื้องหน้าสวี่ชิงรวดเร็วยิ่งกว่าลมฝน ทันใดนั้นเสียงปะทะกันของอาวุธ
เวทก็ดังก้องขึ้นท่ามกลางสายลม ดาบยาวที่ควบรวมจาก หยดน้ำหลายเล่มม้วนกลับไป แล้วสลายตัว
และกริชวัชระนี้ก็ไม่ไค้ลดความเร็วลง ลอยวนรอบตัวสวี่
ชิงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เสียงหยดน้ำมหาศาลสาดกระจาย ก็โปรยปรายลงบนพื้นทำให้แอ่งนํ้านับไม่ถ้วนรวมตัวกันจน ราวกับกลายเป็นผิวทะเลสาบ
กฎเกณฑ์ที่นี่ ถูกคนเปลี่ยนแปลงไปทันทีอย่างสิ้นเชิง รอบด้านพร่าเลือนขมุกขมัวไปหมด มีเพียงสายฟ้าที่ยังฟาดผ่าลงมา ฟ้าร้องครืนครัน รวมถึงน้ำทะเลสาบใต้เท้าสวี่ชิงที่พวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่วมจมเขาจนมิด
ที่ยิ่งน่าตกตะลึงคือ ในระลอกคลื่นของน้ำรอบตัวสวี่ชิง มีฝ่ามือข้างหนึ่งปรากฏขึ้น กำลังโผล่พ้นน้ำทะเลสาบขึ้นมา จะจับตัวสวี่ชิงไว้
ที่ที่ไกลออกไป ร่างเงาที่อำพรางกายในหยาดนํ้าฝน หลายร่าง พากันจำแลงกาย เห็นรูปร่างไม่ชัด คล้ายกับสิ่งมีชีวิตในนํ้า พุ่งมาหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็วทั่วทุกทิศ ทุกคนแผ่จิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง บ้านเรือนที่มืดมิดทั้งสองฝั่งถนน ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเป็น รูปสลักสีดำหัวโล้นนั่งขัดสมาธิหลายรูป แต่ละรูปลืมตา เปล่ง เสียงประหลาดน่าสะพรึงกลัวออกมา
“โองการปรโลกแดนผี เจ้าดวงวิญญาณที่โดดเดี่ยว ภูตผี ปีศาจทั้ง 8 สิ่งมีชีวิตทั้ง 4 แปดเบื้อน ผู้มีหัวตาย ผู้ไร้หัวเป็น ลมพิฆาตดาบสังหาร สายวารีทะลักปลิดวิญญา มีแค้นคือมีเมตตา ตายอย่างไม่เป็นธรรมคือดีงาม ยอมรับโชคชะตาคือบุรุษ คุกเข่าลงเบื้องหน้าข้า แผนภูมิแปดทิศหม่นแสง!”
