บทที่ 868 รอเจ้ามาสู้
ด่านที่ 2 ของมหกรรมล่าเหยื่อครั้งนี้กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ทางด้านระดับก็ไม่เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่นระลอกคลื่นพลังแผ่นดินใหญ่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ต่อให้ศาลเจ้าเทพทั้ง 3 ลงมาเยือน สะกดศูนย์กลางเขตนพกาฬ แต่ในระลอกคลื่นเทพเจ้าแมงมุมก่อนหน้านี้ ก็ยังทำให้อสูรร้ายในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีได้รับการกระตุ้นสายเลือดหลายครั้ง
ดังนั้น แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีที่เดิมเต็มไปด้วยอสูรจากทั่วทุกสารทิศที่เต็มไปด้วยความดุร้ายอยู่แล้ว ความเหี้ยมโหดที่มาจากพวกมันยิ่งรุนแรง กระทั่งว่าบางพื้นที่ก็เกิดคลื่นอสูรขนาดเล็กขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้อันตรายที่นำมาให้กับผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมด่านนี้ก็เพิ่มตามไปด้วย
ไม่พูดว่าทุกชั่วยามทุกขณะ แต่แทบจะทุกวันล้วนมีผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ในนภาคิมหันต์ที่เข้าร่วมการล่าเหยื่อไม่น้อย ตายอย่างอนาถในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เลือดเนื้อของพวกเขากลายเป็นสารอาหาร หล่อเลี้ยงที่แห่งนี้
และในความวุ่นวายปั่นป่วนนี้ ก็มีคนบางคนได้รับผลประโยชน์ ประสบความสำเร็จอย่างที่แต่เดิมไม่มีทางทำได้ ได้รับสัตว์พาหนะล้ำค่า
แต่สรุปโดยรวมแล้ว แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีเกิดสัญญาณความปั่นป่วนวุ่นวาย
จุดนี้ ในยามที่สวี่ชิงไปจากบริเวณที่ปิดด่าน ทะยานไปอยู่บนท้องฟ้า ก็ยิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนขึ้น
เขาเห็นฝูงอสูรที่คลุ้มคลั่งห้อตะบึงอยู่บนพื้นแผ่นดิน
นั่นเป็นอสูรร้ายที่ลักษณะเหมือนม้าแต่กลับมี 6 ขา มีหัวเป็นงู
ชื่อของมันคือย่ำอัคคี
เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะในยามที่อสูรนี้ควบทะยาน ใต้เท้าจะเกิดเปลวเพลิงสีเขียว ทุกที่ที่ผ่านเปลวเพลิงสีเขียวท่วมฟ้า เผาไหม้วิญญาณได้
ขณะที่พวกมันวิ่ง ในเปลวเพลิงนอกร่าง จะเห็นวิญญาณของผู้บำเพ็ญและอสูรร้ายมากมายถูกพวกมันพันธนาการเอาไว้ กำลังส่งเสียงร้องโหยหวนครวญคราง
สวี่ชิงในเสี้ยวขณะที่ผ่านท้องฟ้า อสูรย่ำอัคคีฝูงนี้ปากพ่นเปลวเพลิงเขียวออกมา กำลังคำรามมาทางสวี่ชิงทางนั้น
แต่เสี้ยวขณะต่อมา กลิ่นอายจิ่วหลีบนร่างสวี่ชิงแผ่ออกไปเศษเสี้ยวหนึ่ง
เพียงแต่เศษเสี้ยวนี้ อสูรย่ำอัคคีบนพื้นที่แต่เดิมกำลังคลุ้มคลั่งกลุ่มนี้ก็ตัวสั่นเทาทั้งหมด หยุดลงทั้งฝูง จากนั้นก็หมอบคารวะท้องฟ้า ส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
คร่ำครวญไม่ใช่เพราะมันได้รับบาดแผลบนร่างกาย แต่เป็นความโศกเศร้าและความเจ็บปวดที่ออกมาจากวิญญาณ
นั่นเป็นสัญชาตญาณในสายเลือดของพวกมัน
จิ่วหลีคือบรรจารย์ผู้ใช้วิญญาณฟ้าทมิฬ กลิ่นอายและสายเลือดของเขา ในผืนดินแห่งนี้สูงส่งสูงสุด
และต้นกำเนิดของอสูรร้ายทั้งหมดในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีล้วนแต่เป็นมหาผู้ใช้วิญญาณใต้บัญชาการของจิ่วหลีในตอนนั้นทั้งสิ้น
ดังนั้น หลังจากที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจิ่วหลีอีกครั้ง อสูรร้ายที่แปลงมาจากมหาผู้ใช้วิญญาณที่ตายไปในตอนนั้นพวกนี้ ก็ถูกกระตุ้นความทรงจำของสายเลือดออกมา
สวี่ชิงร่างหยุดชะงัก มองอสูรย่ำอัคคีที่หมอบตัวลงพวกนั้น ครู่หนึ่งก็พุ่งทะยานจากไปไกลบนท้องฟ้า
ควบตะบึงไปตลอดทาง ภาพที่คล้ายๆ กันนี้ปรากฏให้เห็นอยู่ตลอด
ต่อให้เป็นบนท้องฟ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน วิหคที่คลุ้มคลั่งมากมายหลายฝูง กำลังซัดหอบพายุอย่างกำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัว แต่ในยามที่สวี่ชิงเข้ามาใกล้ วิหคเหล่านี้ก็ต่างหยุดลง สั่นสะท้านหมอบลง ปากส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าจากอสูรกลุ่มนี้ และสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของจิ่วหลีในดินแดนแห่งนี้
เขากระทั่งว่าค่อยๆ เกิดความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในดินแดนของตัวเอง
แต่ความรู้สึกนี้มาพร้อมด้วยความรู้สึกขมขื่นของจิ่วหลี สะสมในใจสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่ชอบที่จะถูกครอบงำ ดังนั้นจึงกำจัดอารมณ์ของจิ่วหลี่ที่ผุดขึ้นมาในใจทิ้งไป
ขณะก้าวเท้า ความเร็วของเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังจากนี้หลายชั่วยาม ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวูบ เขาหาเบาะแสที่อยากจะหาเจอแล้ว
นั่นเป็นผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะที่กำลังถูกนกกระจอกภูเขาไล่ล่าสังหารคนหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการบางอย่าง ภายใต้การโจมตีจากกระจอกภูเขาหลายตัว ก็ยังสามารถหนีออกมาได้ กำลังจะหนีออกไปโดยสมบูรณ์ได้แล้ว
แต่เสี้ยวขณะต่อมา เสียงสงบนิ่งเสียงหนึ่ง ก็ดังก้องมารอบๆ ตัว ดังขึ้นในจิตใจ ประดุจสายอัสนีสวรรค์ฟาดผ่า
“ผนึก”
ตัวอักษรเดียว แผ่ไปในฟ้าดิน
นี่เป็นผนึกที่ได้รับการเพิ่มพลังจากปี้อั้น เลิศล้ำไม่ธรรมดา ทันทีที่ปรากฏขึ้น ก็มีผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะเป็นศูนย์กลาง เกิดเป็นระลอกคลื่น ผนึกไปทั่วทุกสารทิศ
เพียงพริบตา ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะก็สะท้านเฮือกไปทั้งร่าง ร่างของเขาพลันหยุดชะงัก ไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่น้อย กายเนื้อของเขา วิญญาณของเขา กระทั่งมิติที่เขาอยู่ล้วนถูกแช่แข็งไปในพริบตา
ส่วนกระจอกภูเขาข้างหลังที่ไล่สังหารมาก็สั่นสะท้านทั้งหมด จากนั้นก็เหมือนได้รับคำสั่งอะไรบางอย่าง ทั้งยังตื่นตกใจหันหลังอย่างรวดเร็ว จากไปไกลทันที
ทิ้งเอาไว้เพียงเผ่าคุมหายนะคนนั้นให้ถูกแช่แข็งเดียวดายอยู่กลางท้องฟ้า ความหวาดกลัวในใจเขาท่วมฟ้า
จนกระทั่งเขาเห็นเงาร่างหนึ่งปราฏออกมาจากมิติความว่างเปล่าที่ไกล เดินมาทีละก้าวๆ ทุกที่ที่ผ่าน เปลวเพลิงสีดำแผ่ลามไปในฟ้าดิน
ทันทีที่เห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ในสมองของผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้เกิดพายุพัดหอบ เขาจำสวี่ชิงได้!
แต่จากข่าวที่เขารับรู้มา สวี่ชิงควรที่จะถูกจี้ตงจื่อสังหารไปแล้วถึงจะถูก!
ทว่าตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ข้างหน้าตนเอง
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ในสมองเกิดลมพายุจนถึงขีดสูงสุด ร่างของเขาจะสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ แต่ผนึกนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้แม้แต่การสั่นสะท้านของเขายังไม่อาจทำได้
ดังนั้นหวาดหวั่นและตื่นกลัวทั้งหมดล้วนทำได้แค่ผ่านออกมาทางสายตาเท่านั้น มันเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะจากการเดินมาของสวี่ชิง เปลวเพลิงวนล้อมรอบกายของผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ทำให้กายเนื้อของเขาเกิดความปวดแสบปวดร้อน และสิ่งที่ทำให้เขาตื่นกลัวที่สุดคือความกดดันจากในตัวสวี่ชิง
ความกดดันนี้ทำให้ร่างของเขาเกิดรอยปริแตก มีความรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะ
“จี้ตงจื่ออยู่ที่ไหน”
สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ เอ่ยราบเรียบ
จากเสียงสะท้อนของคำพูด การพันธนาการของผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ก็คลายลงเล็กน้อย ลมหายใจถี่กระชั้นพ่นออกมาจากปากของผู้บำเพ็ญคนนี้ ความรู้สึกเป็นตายในใจเขารุนแรง ร่างกายในที่สุดก็สั่นสะท้านได้
เพียงแต่ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่สามารถกำจัดความตายที่อยู่ในใจไปได้ ดังนั้นจึงส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจี้ตงจื่ออยู่ที่ไหน
“ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ทุกอย่างของอีกฝ่ายในสายตาของเขาแล้วล้วนชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ยกมือสะบัด ทันใดนั้นไหมวิญญาณเส้นหนึ่งก็สะบัดพริ้ว พันธนาการผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้แล้วรัดอย่างเต็มแรง มัดเอาไว้ข้างหลัง
เขาแค่พันธนาการพลังบำเพ็ญของคนคนนี้ ไม่ได้จำกัดการถ่ายทอดเสียงของเขา กระทั่งว่าภายใต้ความเยี่ยมยอดแม่นยำของพันธนาการ ถุงเก็บของของอีกฝ่ายก็สามารถเปิดได้ เพียงแต่สิ่งที่เอาออกมาได้มีเพียงแผ่นหยกถ่ายทอดเสียงเท่านั้น
คนคนนี้สวี่ชิงไม่คิดจะฆ่าตอนนี้ เพราะการตามหาจี้ตงจื่อย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย สวี่ชิงคิดว่ามิสู้ให้จี้ตงจื่อมาหาเอง
แต่ต้องให้ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ให้ความร่วมมือด้วย
ดังนั้นบรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว วนล้อมรอบผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ ปลายแหลมลากไปตามผิวของผู้บำเพ็ญคนนี้ ลากเป็นรอยตื้นๆ เป็นทางๆ
ความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาตลอดจนความรู้สึกเป็นตายทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้สั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าจะร้องขอความช่วยเหลือเอง หรือจะให้ข้าบรรพจารย์คนนี้ช่วยเจ้า”
เงาบรรพจารย์สำนักวัชระปรากฏออกมา นั่งอยู่บนเหล็กแหลม เอ่ยอย่างอ่อนโยน สายตากวาดไปบนร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้
“เลือกแทงเจ้าให้ทะลุตรงไหนดีนะ ทางที่ดีเจ้าจงภาวนาให้วาสนาตัวเองเพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็…เคี้ยกๆ”
ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ ภายใต้สายตาของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ทำตามความต้องการของอีกฝ่าย เริ่มขอความช่วยเหลือกับเผ่าตัวเอง
เช่นนี้เอง ภายใต้การกระตุ้นของบรรพจารย์สำนักวัชระ ท่ามกลางการเดินทางต่อไปบนท้องฟ้าของสวี่ชิง ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะที่ไหมวิญญาณมัดเอาไว้อยู่ข้างหลัง ก็ถ่ายทอดเสียงขอความช่วยเหลือไม่หยุด
ส่วนความคิดบางอย่างที่แฝงอยู่ในการถ่ายทอดเสียงของเขา สวี่ชิงไม่สนใจ เขาหวังว่าคนที่มาจะมากสักหน่อย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อเสียงเหี้ยมโหดของสวี่ชิงเลื่องลือเกินไปหรือเปล่า หรือเป็นเพราะผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้มนุษยสัมพันธ์ย่ำแย่ หรือเป็นเพราะทำอะไรพึ่งพาไม่ได้ จนผ่านไปแล้วหลายชั่วยามก็ไม่เห็นมีเผ่าพันธุ์เดียวกับเขามาช่วย
สวี่ชิงรอจนค่อนข้างจะหมดความอดทนแล้ว จึงเร่งความเร็วขึ้น
เช่นนี้เอง หลายวันผ่านไป
ระหว่างนี้การร้องขอความช่วยเหลือของผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ต่อให้บรรพจารย์สำนักวัชระทางนั้นจะเหี้ยมโหดเพียงใด ผู้บำเพ็ญคนนี้ก็จนปัญญา ทำได้แค่ร้องครวญครางเท่านั้น
ดีที่เขามีสหายร่วมทุกข์มาช่วยแบ่งเบาหนามคมของบรรพจารย์สำนักวัชระ
หลายวันมานี้ สวี่ชิงเมื่อเจอเผ่าไป๋เจ๋อและเผ่าคุมหายนะก็ล้วนลงมือทันที มัดเอาไว้แล้วโยนไปข้างหลัง
ตอนนี้เป็นจำนวนหลายสิบแล้ว…
ผู้บำเพ็ญหลายคนนี้ในใจล้วนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ภายใต้การทรมานและข่มขู่ของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ขอความช่วยเหลือออกไปข้างนอกไม่หยุด ขณะเดียวกันเสียงร้องน่าเวทนาก็ยิ่งแหบแห้ง
และมองผู้ร่วมชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะที่ถูกสวี่ชิงจับมาคนแรก อาการสั่นสะเทาและความหวาดกลัวในใจของเขาก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะในหลายวันนี้ สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แค่ความเหี้ยมโหดของสวี่ชิงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีความผิดปกติจากอสูรร้ายในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีด้วย
ตลอดทางมาเขาเห็นอสูรร้ายดุดันเหี้ยมเกรียมที่ปกติเขาได้เจอก็จะต้องคิดหาทางหลบหนี ทันทีที่พวกมันเห็นสวี่ชิงก็เป็นฝ่ายหมอบลง ไม่ว่าจะที่อยู่ลำพังหรือเป็นฝูง ล้วนเป็นเช่นนี้
เหมือนขุนนางเห็นเจ้าเหนือหัว!
ภาพนี้น่าหวาดหวั่นตื่นตะลึงเกินจะเชื่อนัก ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นหลายครั้ง
เรื่องนี้ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ยินและไม่เคยอ่านเจอจากบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น
ในความรู้ความเข้าใจของเขา อสูรร้ายในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีล้วนโหดเหี้ยมทั้งสิ้น ล้วนแต่พยศดื้อดึง คิดอยากจะกำราบปราบพยศต้องมีความสามารถ ยิ่งกว่านั้นคือวาสนา
อีกทั้งหลังจากที่ฝึกได้เชื่องตัวหนึ่งแล้ว คิดอยากจะฝึกให้เชื่องตัวที่สอง ความยากยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แต่ตอนนี้…ในความทรงจำของเขา อสูรร้ายที่หมอบเคารพสวี่ชิงตลอดทางทั้งหมด ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่กระทั่งว่าชื่อติดอยู่ในอันดับ ผู้บำเพ็ญมากมายล้วนปรารถนาอยากได้มาครอบครอง
“นี่…นี่…”
ความเหลือเชื่อทำให้อาการสั่นสะท้านในใจผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะคนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น
จนกระทั่ง 6 วันผ่านไป ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะและเผ่าไป๋เจ๋อที่มัดอยู่ข้างหลังสวี่ชิงจำนวนมากถึงร้อยกว่าคน กลุ่มคนมากมายมหาศาลกลุ่มนั้นน่าตื่นตะลึงครั่นคร้าม
พวกเขาถ่ายทอดเสียงร้องขอความช่วยเหลืออยู่ทุกชั่วขณะ ในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี ในที่สุดก็สร้างเป็นลมพายุสะท้านฟ้า
ข่าวที่ว่าสวี่ชิงยังไม่ตายแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่เขาถามหาร่องรอยของจี้ตงจื่อกระจายออกไปในลมพายุลูกนี้
ผู้บำเพ็ญที่ถูกมัดไว้ร้อยกว่าคนพุ่งไปอย่างรวดเร็วในม่านฟ้า ภาพโหดเหี้ยมที่ทำให้คนสั่นสะท้าน ภายใต้สายตาที่เห็นด้วยตัวเองของผู้บำเพ็ญเผ่าอื่นๆ และเผ่านภาคิมหันต์เองก็ยิ่งทำให้พายุยิ่งโหมกรรโชก
ดังนั้น ชื่อของสวี่ชิงจึงผุดขึ้นมาในใจของผู้เข้าร่วมทุกคนอีกครั้ง อีกทั้งยิ่งสลักลึกกว่าครั้งก่อน
สวี่ชิงใช้การกระทำบอกจี้ตงจื่อ
“ข้ารอเจ้าอยู่!”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
