Skip to content

Outside Of Time 931


บทที่ 931 ชายหญิงแอบนัดพบ

“ของอะไร”

CC

เอ้อร์หนิวนิ่งงัน ชัดว่ายามแรกไม่นึกว่าสวี่ชิงจะเรียกตนไว้ ยังถึงกับเอ่ยประโยคเช่นนั้น

แต่เขาในฐานะผู้มีประสบการณ์ พริบตาต่อมาก็ตอบสนองทันที ดวงตาเป็นประกาย เพียงครู่ร่างกายก็มาถึงตรงหน้าสวี่ชิงจากที่ไกล นัยน์ตาแวววาม

“อาชิงน้อย เจ้าบรรลุแล้ว?”

“นี่ใช่จังหวะจะทำการใหญ่หรือเปล่า”

“ไอ้หยา ทำไมข้ารู้สึกตื่นเต้นกว่าเจ้าอีกเนี่ย”

เอ้อร์หนิวมีชีวิตชีวา ลืมเรื่องที่จะไปหาอาจารย์

แต่ถูกอีกฝ่ายจ้องเช่นนี้ ใจสวี่ชิงอึดอัดไม่น้อย กระนั้นยังประคองสีหน้าปกติ กล่าวคำราบเรียบ “ไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร”

เอ้อร์หนิวหัวเราะคิกคิก ยกมือหยิบกล่อง 10 กว่าใบให้สวี่ชิงทั้งหมด

“ในนี้ล้วนเป็นปิ่นชั้นดี โดยรวมไม่เคยใช้สักอัน ไม่รู้ทำไมตอนแรกโยวโยวถึงยึดติดกับปิ่นขนาดนั้น”

“วัสดุที่ใช้ทำล้วนเป็นวัสดุไม่ธรรมดา เดิมข้าเตรียมเก็บไว้ทยอยมอบให้คนภายหลัง”

“ตอนนี้เจ้าเก็บไว้ เอาไปหมดเลย”

เอ้อร์หนิวสีหน้าท่าทางตื่นเต้น ยังเหลือบมองจวนข้างหลังสวี่ชิงผาดหนึ่ง

สวี่ชิงปวดหัว รับปิ่นเหล่านั้นแล้วมองศิษย์พี่ใหญ่ตรงหน้า พลันเอ่ยคำ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าหากอาจารย์รู้ว่าเรากลับมา เขาจะเลือกจากไปพร้อมเลือดเนื้อเทพบิดรมากปานนั้นเพื่อหลบหน้าเราหรือไม่”

เอ้อร์หนิวได้ยิน ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“อาชิงน้อย ไม้นี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว จงใจหาข้ออ้างแบบนี้ข้ามีหรือจะหวั่นไหว อย่างไรอาจารย์เราก็มีรูปแบบของเขา”

แม้กล่าวเช่นนั้น แต่ในใจเอ้อร์หนิวยังคงเกิดความกังขาเล็กน้อย

สวี่ชิงกะพริบตา เอ่ยคำอีกครั้ง “จวนรังสรรค์แม้มีวัสดุชั้นยอดมากมาย แต่เอามาใช้สร้างเกราะมหาขุนพลสวรรค์ ในนั้นใช้สิ่งล้ำค่าไม่มากก็น้อย ของสำเร็จรูปที่ได้มาตอนท้ายคงดูไม่ค่อยออก”

“ถึงดูออกก็ยากตีขึ้นรูปใหม่ อย่างไรด้านจักรพรรดิมนุษย์คงไม่ออกคำสั่งซ้ำสอง”

“ศิษย์พี่ใหญ่ หากข้าเป็นท่านจะต้องไปจับตาดูเรื่องนี้ นี่เป็นถึงเกราะที่สวมไว้บนตัว และการขึ้นรูปวันแรกเท่ากับการสร้างฐาน วัสดุที่ต้องใช้จึงสำคัญยิ่ง”

น้อยนักสวี่ชิงจะพูดยาวรวดเดียวเช่นนี้

เอ้อร์หนิวได้ยินแล้วนิ่งอึ้ง จุดนี้เขากลับนึกไม่ถึง ตอนนี้พอคิดดูรู้สึกสวี่ชิงพูดมีเหตุผล ในใจจึงเริ่มสับสน

รัศมีฉายวาบบนกายสวี่ชิง เกราะมหาขุนพลนภาลอยออกมาตกอยู่ตรงหน้าเขา

“ศิษย์พี่ใหญ่เอาเกราะนี้ไปเทียบดูได้ อย่าให้จวนรังสรรค์แอบตัดวัสดุลดขั้นตอน”

เอ้อร์หนิวมองเกราะมหาขุนพลนภาตรงหน้า สัมผัสความงดงามของมัน นึกถึงความฝันของตนแล้วมองสวี่ชิง “เจ้าเด็กนี่ ก็ได้”

ด้านหนึ่งเอ้อร์หนิวดูออกว่าสวี่ชิงไม่อยากให้ตนตามไป อีกด้านหนึ่งก็คิดว่าสวี่ชิงกล่าวมีเหตุผล จึงยกมือคว้าเกราะมหาขุนพลนภาไว้ ข่มความเสียดายในใจและจากไปไกลโดยพลัน

มองเงาหลังของนายกอง สวี่ชิงแอบผ่อนลมหายใจ

ถอนสายตากลับ หันมองจวนตรงหน้า

ครู่ใหญ่ เขาพลันยกมือดัน

ประตูจวนสีแดงบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก

ไอวิญญาณปะทะเข้ามา ทำให้เส้นผมของสวี่ชิงปลิวไปด้านหลังเล็กน้อย เขาสัมผัสความเข้มข้นของไอวิญญาณนี้ จากนั้นก้าวเดินเข้าไปข้างใน

ชั่วขณะที่เข้ามา ค่ายกลของจวนเริ่มทำงานฉับพลัน ตั้งท่ากันคนนอกบุกเข้ามาเต็มที่

เมื่อค่ายกลกระจายออก หนอนสีฟ้าตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ถูกดีดออกมากลางอากาศ

“นี่อาชิงน้อย เข้มงวดขนาดนี้เชียว”

หนอนทำอะไรไม่ได้ จากการส่งจิตมาตรวจสอบร่างแยกที่ใส่ไว้ในถุงเก็บของของสวี่ชิง พบว่าถูกตัดขาดเช่นกัน จึงถอนหายใจ ได้เพียงจากไป

ขณะเดียวกัน นอกจวนหนิงเหยียน เงาร่างสีม่วงถือร่มกระดาษมันสีขาวสายหนึ่งกำลังย่างเท้างามเดินออกประตูใหญ่ มุ่งหน้าไปจวนเจ้าสวรรค์ที่สวี่ชิงอยู่อย่างแช่มช้า

ใต้ร่มกระดาษมันมีเงาร่างอ่อนช้อย ดวงหน้างามล้ำ และชัดว่าแต่งหน้าอย่างบรรจง…

เพียงแต่ 2 แก้มแดงเรื่อ นัยน์ตามีชีวิตชีวาผิดธรรมดา คล้ายตื่นเต้นและรอคอยไม่มากก็น้อย

ฝนตกหนักกว่าเดิม

ผ่านไป 1 ก้านธูป

ในจวนเจ้าสวรรค์ สวี่ชิงตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดในจวนนี้ตามความเคยชิน เมื่อแน่ใจว่าที่นี่ไร้อุปสรรค เขามองจวนเจ้าสวรรค์ที่ใหญ่โต ก่อนมาถึงสระวิญญาณที่มีเฉพาะจวนนี้ ในใจหวนนึกถึงทุกฉากในเผ่านภาคิมหันต์

เริ่มจากย้ายภูเขา มาจนถึงแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี จากนั้นแผ่นดินเทวะ สุดท้ายกลับมาแล้วเจอคนทั้ง 3 จากแดนศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการต่อสู้ตลบหลังกันไปมา จิตใจเขาเหนื่อยล้ามานาน

ตอนนี้ถือว่าสงบลงเสียที อยู่ในจวนเงียบสงบ เขาพลันนั่งข้างสระน้ำ สัมผัสไอวิญญาณเข้มข้นรอบด้าน รวมถึงอุณหภูมิพอเหมาะที่แผ่ออกมาจากสระน้ำ

“ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วยังต้องไปสายเซียนต่างวิถี ไปศึกษาแผ่นหยกสืบทอดเซียนต่างวิถีเหล่านั้นอีกสักครั้ง” สวี่ชิงพึมพำ

หลังแน่ใจเส้นทางในอนาคตของตนตอนอยู่นภาคิมหันต์ สายเซียนต่างวิถีจะกลายเป็นวิชาบำเพ็ญหลักของเขาต่อจากนี้ สวี่ชิงจึงเตรียมใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างละเอียดสักหน่อย

ต้องซึมซับการสืบทอดเซียนต่างวิถีให้ถึงที่สุด มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะคัดส่วนดีมาสร้างสิ่งใหม่ได้

“สายเซียนต่างวิถีมีเพียงทางข้างหน้า ทางที่ผ่านมาไม่มีใครเคยเดิน ทั้งไม่มีวิชาใด มีเพียงแนวคิดและทิศทาง…ดังนั้นทุกสิ่งหลังจากนี้ต้องสร้างขึ้นทั้งหมด”

นัยน์ตาสวี่ชิงฉายประกาย ความจริงเส้นทางบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ มาถึงขั้นหนึ่งแล้ว นอกจากวิชาของคนรุ่นก่อนจะฝืนกฎสวรรค์ปานนั้น ไม่อย่างนั้นความจริงคงไม่อาจเหมาะกับทุกคน

อยากเดินไกลกว่าเดิม เช่นนั้นต้องสร้างเองจึงถูก

หากเป็นตอนพลังบำเพ็ญน้อย การสร้างเองเช่นนี้ย่อมต้องให้คนอื่นช่วย เหมือนที่นายท่านเจ็ดสร้างวิชาให้เขา

แต่ตอนนี้สวี่ชิงบรรลุหวนสู่อนัตตา ตามทฤษฎีเขามีคุณสมบัติสร้างเองแล้ว เพียงแต่ความยากยังมีมาก อย่างไรการสร้างวิชาต้องอาศัยจังหวะ ยิ่งต้องอาศัยการตื่นรู้

“ดีที่ข้ามีวารีศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือ”

สวี่ชิงยกมือคว้าอากาศ ฉับพลันขวดสีขาวใบเล็กปรากฏกลางฝ่ามือ

วารีศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลืออยู่ในขวด ของเหลวนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าควรฟ้าดิน ไม่อย่างนั้นคงไม่ดึงความโลภของคนแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3

มันมีผลอัศจรรย์ ช่วยเสริมการตื่นรู้เป็นอย่างมาก

สวี่ชิงนึกถึงตอนอยู่ในถ้ำใต้ดินก่อนหน้านี้ เพียงได้กลิ่นก็ทำให้ร่องรอยอนัตตากว่าร้อยในกายปรากฏเป็นคลื่น

“ลองอีกครั้ง”

เขาตัดสินใจแล้วเปิดขวดใบเล็ก ฉับพลันกลิ่นหอมกระจายอบอวลทั่วทิศ ขณะเดียวกันสระน้ำตรงหน้าสวี่ชิงก็คล้ายเดือดขึ้นมา

สวี่ชิงพลันจุดประกาย คิดแล้วเทลงสระน้ำไปหยดหนึ่ง

หยดหนึ่งตกลงไป ผิวน้ำทั่วทั้งสระวิญญาณพลิกม้วนในพริบตา ขณะเกิดไอหมอกหนา ความเป็นจิตวิญญาณในสระน้ำก็ยิ่งเข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้

แม้กลิ่นหอมอ่อนไปนิด แต่กลับอบอวลทั่วทั้งสระน้ำ

สวี่ชิงครุ่นคิด ยืนขึ้นถอดเสื้อผ้า เผยให้เห็นร่างกายแข็งแกร่ง ก้าวเดินลงสระน้ำและนั่งขัดสมาธิ

ไอวิญญาณมากมายทะลักเข้าทั้งกายสวี่ชิงจากในสระน้ำ วารีศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือหยดที่แฝงอยู่ในนั้นก็มาพร้อมน้ำวิญญาณหลังถูกเจือจางเช่นนั้น ส่วนหนึ่งแผ่ทั่วกายสวี่ชิง ส่วนหนึ่งผสานกับไอวิญญาณแล้วถูกเขาดูดซับเข้ากาย

ความรู้สึกสบายค่อยๆ เกิดขึ้นในกายใจสวี่ชิง ร่างกายเขาเริ่มตึงเครียดน้อยลง จิตวิญญาณของเขาก็ผ่อนคลาย คนทั้งคนจมอยู่ในอวัยวะสัมผัส สมองเริ่มว่างโล่งอย่างเชื่องช้า

เวลาไหลผ่าน 1 ชั่วยามถัดมา สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตา

นัยน์ตาเขาฉายแววมึนงงเป็นอย่างแรก จากนั้นแจ่มชัด มองผืนอนัตตาในกายตน เห็นว่าร่องรอยอนัตตาบนนั้นคล้ายชัดเจนกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย

“แม้ไม่มีผลลัพธ์ชัดเจน แต่ความรู้สึกเช่นเมื่อครู่…”

สวี่ชิงพึมพำ หวนนึกถึงความโล่งเบาสบายเช่นนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่เขาหมายจะตื่นรู้ต่อไป

แต่ในตอนนั้นเอง เขาสีหน้าไหวเล็กน้อย จิตเทพแผ่ไปผสานกับค่ายกลในจวน เห็นนอกจวนมีเงาร่างงดงามเดินมาสายหนึ่ง

แม้ถือร่มกระดาษมัน แต่ยังคงมองออกว่าผู้มาเยือนท่วงทีอ่อนช้อย โดยเฉพาะยิ่งเข้ากับน้ำฝนบนพื้น คล้ายย่างก้าวเกิดปทุม

เรียกได้ว่างอนงามละมุนละไม

ตอนนางมายืนตรงหน้าประตูยิ่งสะโอดสะอง ท่วงทีนุ่มนวลอ่อนหวาน

ท่วงทีอ่อนช้อยงดงามเช่นนี้ชวนให้คนหลงใหลโดยแท้

และในชั่วขณะที่จิตเทพสวี่ชิงกวาดไป ร่มกระดาษมันที่เงาร่างงดงามนั้นถือยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงหน้างามล้ำ กล่าวเสียงอ่อนหวาน

“ยังไม่เปิดประตูอีก”

หัวใจสวี่ชิงเต้นรุนแรง รีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ ในใจไม่รู้เกิดความรู้สึกต่างๆ ด้วยเหตุใด แต่สุดท้ายยังคงยกมือเงียบๆ

ฉับพลันค่ายกลในจวนแหวกเป็นช่องสายหนึ่ง

นอกจวน มือหยกจากเงาร่างงดงามพลันโบก ประตูใหญ่เปิดออก เดินเข้าไปแล้วประตูนี้ปิดลง ค่ายกลก็รวบเข้ามาทันที

กลางอากาศ หนอนสีฟ้าถูกบีบให้ออกมาอีกครั้ง เอ้อร์หนิวถึงกับอยู่ด้วยตลอด…

“เกินไปแล้วนะ”

สวี่ชิงไม่ได้ยินเสียงไม่ยินยอมของเอ้อร์หนิว บัดนี้ในคลื่นความว่างเปล่าตรงหน้าเขา เงางดงามสีม่วงสายหนึ่งปรากฏชัด

สวี่ชิงตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุม ร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“คารวะจอมเซียนจื่อเสวียน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ออกจะดูรบกวน

ผู้มาเยือนย่อมเป็นจื่อเสวียนนั่นเอง

เพียงเห็นนางที่ยืนอยู่ข้างสระวิญญาณดวงหน้าราววาดด้วยพู่กัน โค้งมนมีเสน่ห์ นัยน์ตาหงสาแฝงความรู้สึกดุจธารสารท สดใสแจ่มชัด เปล่งประกายมีชีวิตชีวา

ความเปล่งประกายมีชีวิตชีวาบนใบหน้าเช่นนี้ทำให้คนพบเห็นยากลืมเลือน

มีเพียงบอกรอยยิ้มเฉิดฉัน ดวงเนตรงามระยับถึงพอบรรยายได้บ้าง

ยามนี้นางกวาดสายตามองสวี่ชิงก่อน จากนั้นมองสระวิญญาณข้างกายผาดหนึ่ง ขณะนัยน์ตาหงสากลิ้งกลอก มีสิ่งผิดธรรมดาฉายวาบ จากนั้นจงใจทำให้เป็นปกติ ยิ้มบางกล่าวคำ “เหตุใดพบข้าแล้วท่าทางอึดอัดเช่นนั้นล่ะ”

“หรือเพราะไม่เจอหลายปี หรืออยู่เผ่านภาคิมหันต์อ๋องสวรรค์สวี่มีทิวทัศน์งดงามอื่นใดบนเส้นทางชีวิตสายนี้แล้ว”

จื่อเสวียนกล่าวคำแช่มช้า พูดไปพลางเดินมาข้างสระน้ำ ถอดรองเท้าแล้วนั่งลง เท้างามขาวหมดจดจุ่มลงในน้ำทำให้เกิดละออง

สวี่ชิงนิ่งเงียบ เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขาที่พูดน้อยอยู่แล้วในวันปกติยิ่งพูดน้อยกว่าเดิม

สุดท้ายได้เพียงยกมือขวาหยิบกล่อง 10 กว่าใบออกมาวางตรงหน้า

จื่อเสวียนยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มืองามพลันโบก กล่องเหล่านั้นทยอยเปิดออก เป็นปิ่นปักผมทั้งหมด…

เขาถึงกับหยิบทุกอันที่นายกองให้ออกมา

ฉากนี้แม้เป็นจื่อเสวียนก็นิ่งอึ้ง

“เยอะเพียงนี้? ให้ข้าหมดเลย?”

สวี่ชิงพยักหน้า

จื่อเสวียนเห็นแล้วกะพริบตา ริมฝีปากแดงสดราวผลอิงเถายกขึ้นเล็กน้อย มีเสน่ห์เชิงออดอ้อน “มีที่ไหนให้ปิ่นทีเดียวเยอะปานนี้”

สวี่ชิงก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่นิ่งเงียบ

กลับเป็นฝ่ายจื่อเสวียนที่ยิ้มเก็บปิ่นเหล่านั้นขึ้นมา สุดท้ายเหลืออันหนึ่งวางไว้ด้านข้าง จากนั้นนัยน์ตางามตกที่กายสวี่ชิง “เจ้าทึ่มสวี่ เจ้าไม่ถามหน่อยหรือว่าข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”

“จอมเซียน…จื่อเสวียนมาที่นี่ทำไม” สวี่ชิงถูกต้อนอย่างสิ้นเชิง ถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ข้ามาอาบน้ำ” จื่อเสวียนกล่าวเสียงค่อย

ยามนี้ไอหมอกขยายปกคลุมเงาร่างอ่อนช้อยของนาง ในความพร่ามัวนั้น คล้ายมีสีแดงเริ่มปรากฏบนพวงแก้ม

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version