Skip to content

Outside Of Time 962


บทที่ 962 จักรพรรดินีสังหารเทพ

อาทิตย์ตกกับอาทิตย์ขึ้นแม้กั้นด้วยรัตติกาล แต่ก็เป็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยน

HH

สวี่ชิงจ้องมองรูปปั้นมหาจักรพรรดิแล้วมองไปยังจักรพรรดินีกลางอากาศ ใจเกิดความคิดนับหมื่นพัน คล้ายตระหนักบางอย่างอยู่ข้างในอย่างเลือนราง

ส่งผลถึงจิตใจ รอยจางกว่าร้อยบนผืนอนัตตาก็เกิดคลื่นชัดเจนหลายเส้น

และตอนนี้ ตะวันรุ่งสางโผล่ขึ้นตรงขอบนภาท่ามกลางฟ้าดิน

แสงอาทิตย์พรมสาด ละลายแสงอัสดงจนหมดสิ้น ขจัดความมืดมิดทั้งหลายรอบด้าน

สุดท้ายรวมบนตัวจักรพรรดินีกลางอากาศพร้อมกับสายตาของสวี่ชิง เกิดเป็นเส้นแสงแวววามนับไม่ถ้วน ราวกับคลุมชุด 7 สีให้นาง

ยามนี้แสงเชื่อมโยงทุกชีวิต เจตจำนงหลอมรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ยังมีกลิ่นอายเทพเจ้าทรงอานุภาพ 5 สายกระจายออกมาจากเกลียวคลื่นรอบดาวจักรพรรดิโบราณเบื้องล่าง

ตงเซิ่ง จิ้งอวิ๋น เซิ่งเทียน เต้าซื่อ เสวียนจั้น…

จักรพรรดิมนุษย์ทั้ง 5 ล้วนอยู่ใต้การเสริมพลังของโชคชะตา ใส่ชุดจักรพรรดิ สวมกวานจักรพรรดิ โผล่ขึ้นมาจากเกลียวคลื่นพร้อมเปล่งอำนาจเทพต่างกัน

ยืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดินี

พลังแจ่มจรัสเทียมฟ้า

ชั่วขณะหนึ่ง ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆแผ่คลุม ขุนเขาสายธารเผ่ามนุษย์สะเทือนเลื่อนลั่น เขตแดนสั่นไหว สายโลหิตพลิกม้วน

ทุกสิ่งทุกอย่างรวมเป็นเจตจำนงทะลวงสู่เมฆา

คล้ายกำลังบอกดินแดนต้องประสงค์ บอกแต่ละฝ่ายว่านับจากนี้…เผ่ามนุษย์มีเทพเจ้าแล้ว นับจากนี้ เผ่ามนุษย์จะรุ่งเรือง

อ๋องสวรรค์ทุกผู้ในเผ่ามนุษย์ล้วนคุกเข่าคารวะ โหวนภาทั้งหลายก็ทำเช่นนั้น

เหล่าขุนนางก็เช่นเดียวกัน

5 วังทมิฬบน 5 วังทมิฬล่าง ผู้บำเพ็ญก็ดี ชาวบ้านก็ดี ยังมีสำนักเผ่ามนุษย์มากมาย รวมถึงกองทัพเผ่ามนุษย์ทั้งหมดในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ

คารวะไปยังจักรพรรดินีอย่างพร้อมเพรียง!

“จักรพรรดิมนุษย์!”

เสียงเรียกเป็นสายทอดจากปากเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วน ท้องฟ้าสั่นสะเทือน โชคชะตากวาดซัด

นี่คือเสียงแห่งเจตจำนงเผ่ามนุษย์

ด้วยเสียงนี้ ท่ามกลางรัศมีนี้ แต่ละฝ่ายบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนสั่นไหว เหล่าเทพที่มาเยือนก็ล้วนเกิดคลื่นในจิตใจ

โดยเฉพาะ…จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นในชั่วเวลานั้น พลังแท่นเทวะปรากฏขึ้นฟ้า ความรู้สึกกดดันมาเยือนโลกา

“วันนี้ โลหิตจักรพรรดิหยดลง”

“แต่เลือดเทพเจ้ายังไหลไม่พอ”

พริบตาที่ 2 ประโยคนี้ดังขึ้น จิตสังหารสะท้านใต้หล้าเหนือฟ้าดิน ความหนาวเย็นบรรพกาลพลิกนภากลับปฐพี ทุกคำพูดดุจอัสนีผ่าม่านฟ้า

ชั่วพริบตา เหล่าเทพที่มาขวางทางในที่นี้ ไม่ว่าเผยกายหรือหลบเร้นล้วนจิตใจกระตุก จากนั้นถอยกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

อัคคีเผ่าเอกภพแดนสีชาด กระดูกราตรีเผ่าเหวกระดูกนรกานต์ รวมถึงกาฬวาตเผ่าราชันประกาศิตอุดร ร่างเทพทั้ง 3 พลันสั่นสะเทือน เปลวเพลิงม้วนกลับ กระดูกถอยร่น พายุย้อนกระจาย

เทพที่ซ่อนตัวยิ่งเป็นเช่นนั้น แม้ในเหล่าองค์ท่านยังมีผู้สนเท่ห์อยู่บ้าง ไม่แน่ใจกำลังรบแท้จริงของจักรพรรดินี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่แน่ใจอำนาจเทพเจ้า

แต่บัดนี้ ในชั่วขณะที่เจตจำนงเผ่ามนุษย์ถึงขีดสุด ไฟโทสะเด่นชัดรุนแรง เหล่าองค์ท่านก็ไม่อยากหาเรื่องแล้ว

เผ่ามนุษย์ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แม้สิ้นจักรพรรดิครองกระบี่ แต่มหาจักรพรรดิองค์ใหม่ปรากฏ ดังนั้นไม่ใช่เหล่าองค์ท่านอยากมาก็มา อยากไปก็ไป

เหมือนประโยคนั้นของจักรพรรดินี

วันนี้โลหิตเทพยังไหลไม่พอ

ดังนั้นพริบตาต่อมา จักรพรรดินีที่อยู่กลางอากาศยกมือขึ้น

คว้าไปยังท้องฟ้า

ฉับพลันนภายุบเป็นหลุม คล้ายท้องฟ้ากลายเป็นผ้าม่านอย่างแท้จริง ถูกมือจักรพรรดินีดึงลงมาจนเกิดเป็นความลาดเอียง

แสงดาวนับไม่ถ้วนส่องทะลุม่านฟ้ามาจากนอกพิภพ กอปรเป็นหัตถ์เทพเจ้าที่เกิดจากแสงดาวรวมตัวเหนือท้องฟ้าเผ่ามนุษย์

กวาดซัดจากความว่างเปล่า!

ทำลายกาลเวลา ทะลวงห้วงอากาศ

ความว่างเปล่าในดินแดนต้องประสงค์สั่นสะเทือน ท้องฟ้าพังทลาย การมีอยู่ที่ซ่อนเร้นอยู่ในรอยแยกแห่งกาลเวลาและห้วงอากาศเหล่านั้นล้วนส่งคลื่นรุนแรง อำนาจเทพเจ้ามากมายปะทุ พลังเทพสั่นไหว ร่วมมือกันในพริบตา

แต่เผชิญพลังแท่นเทวะ การร่วมมือของเหล่าองค์ท่านก็ดูเหมือนยังไม่พอ

ครู่ต่อมา ในความว่างเปล่าที่พังทลายมีเสียงหวีดแหลมทอดมาเป็นระยะ โลหิตเทพจำนวนมากหยดลงจากฟ้า ขณะหยาดมายังโลก พลังที่ร่วมมือก็แตกฉานซ่านเซ็น

ยังมีเทพเจ้าองค์หนึ่งถูกหัตถ์แสงดาวของจักรพรรดินีคว้าดึงออกจากความว่างเปล่า

ปรากฏชัดอยู่บนโลก

นั่นคือดวงตา 3 ม่านตา เป็นสีทองล้วน ไม่ใช่เนตรเทพเจ้าองค์ใดที่สวี่ชิงเคยเห็น

ในดวงตานี้เปล่งรอยตราเก่าแก่ ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายร้อนระอุ ชัดว่าเป็นเทพเจ้าที่มาจากสถานที่อันมีเพลิงแดงฉาน

ยามนี้เมื่อถูกหัตถ์แสงดาวดึงออกมา องค์ท่านคิดจะต่อต้าน ยิ่งมีเสียงพึมพำร้อนรนดังกึกก้อง หมายจะพลิกฟ้ากลับดิน

ทว่าองค์ท่านไม่มีคุณสมบัตินั้น

เมื่อหัตถ์แสงดาวจักรพรรดินีบีบรัด เสียงเบิกฟ้าเปิดดินดังลั่น 8 ทิศ เนตรเทพเจ้าองค์นี้ถูกบีบจนระเบิด

พลังเทพในนั้นถูกทำลาย จิตเทพถูกดับมืด กายเทพแหลกสลายโดยสิ้นเชิง

ตูม!

เทพเจ้าสิ้นชีพ!

ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว โลหิตเทพสาดกระเซ็นนับไม่ถ้วน ยังถูกทำให้บริสุทธิ์ สิ่งนี้มิใช่ไอพลังประหลาดอีกต่อไป หากกลายเป็นสารอาหารที่เผ่ามนุษย์ดูดซับได้ กระจายอยู่เหนือเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์

โลกาสั่นสะเทือน

“ยังไม่พอ”

จักรพรรดินีกล่าวคำเรียบนิ่ง สายตาตกอยู่ทางใต้ นั่นคือทิศทางที่เทพอัคคีแห่งเผ่าเอกภพแดนสีชาดหนีไป

“อำนาจเทพเจ้าของเจ้าคือไฟ เจ้าลองทำให้ไฟของเราสะเทือนดูที”

ขณะพูด เพลิงเทวะจากตัวจักรพรรดินีลุกโชนขึ้นฟ้า ทำให้ม่านฟ้าที่เอียงลงมากลายเป็นเขตเปลวเพลิง ม้วนพลังทำลายล้างไปแผดเผาจุดที่สายตาจักรพรรดินีทอดไปถึง

ผ่านบริเวณใดเพลิงนภายิ่งรุนแรง

เทพอัคคีแห่งเผ่าเอกภพแดนสีชาดปรากฏเงาร่างอยู่ที่ไกล ถูกเพลิงเทวะของจักรพรรดินีปกคลุม การดิ้นรนขององค์ท่านอ่อนกำลังหาใดเปรียบ การต่อต้านขององค์ท่านราวกับเด็กน้อยเล่นสนุก

ทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์

เปลวเพลิงคืออำนาจเทพเจ้าขององค์ท่าน แต่วันนี้…ไม่เป็นขององค์ท่านอีกต่อไป

โลหิตเทพกระเซ็นทั่วผืนดินทางใต้

เสียงโอดครวญอนาถใจไร้ใดเปรียบทอดมาจากปากองค์ท่านเป็นระยะ เสียงดังก้องโลกา ทุกคนที่ได้ยินล้วนป่วนปั่นในใจ

จักรพรรดินียังคงสีหน้าเรียบนิ่ง ถึงกับมองเทพอัคคีผู้นั้นเพียงผาดเดียวก็ถอนสายตามาทางตะวันตก

ตรงนั้นคือทิศทางที่เทพกระดูกราตรีเผ่าเหวกระดูกนรกานต์หนีไป

“อำนาจเทพเจ้าของเจ้าคือกระดูกอสุภ สามารถควบคุมความเป็นความตาย เจ้าลองควบคุมความเป็นความตายของเราให้ดูที”

เสียงจักรพรรดินีดังขึ้น ขอบฟ้าทางตะวันตกพลันบิดเบี้ยว รัตติกาลที่ซ่อนตัวรีบรุดไกลออกไปอยู่ตรงนั้น คล้ายถูกดึงผ้าคลุมหน้าที่บดบัง จำต้องเผยโฉมใต้แสงนภา

มองไกลๆ เหมือนเป็นก้อนด่างพร้อยในยามกลางวัน

ในจุดด่างพร้อยมีกระดูกอสุภนับไม่ถ้วนกองรวมเป็นก้อนเนื้อ

ยามนี้ กระดูกอสุภทั้งหมดล้วนเปลี่ยนสีหน้า พริบตาต่อมาฉากประหลาดได้ปรากฏ

ใบหน้าของกระดูกอสุภทั้งหมดถึงกับพร่าเลือนพร้อมกัน จากนั้นถูกเปลี่ยนเป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกอันใดของจักรพรรดินี ทั้งยังอ้าปากทุกใบหน้า กล่าวย้ำคำของจักรพรรดินีก่อนหน้านี้

คำพูดนั้นก้องสะท้อนไม่หยุด รวมกันเป็นเสียงเทพบีบทำลายอำนาจแห่งความเป็นความตาย

ไม่อาจพลิกผัน

ดังนั้น เสียงโอดครวญน่าสังเวชทอดมาจากส่วนลึกของกระดูกอสุภกึกก้องรัตติกาล

ยังมีโลหิตเทพสาดกระเซ็นทั่วผืนดินตะวันตก

จักรพรรดินีถอนสายตามองไปยังทิศเหนือ

“ส่วนเจ้า เขตแดนของเราไม่มีลมเหนือ”

พริบตาที่ 10 คำเอ่ยออกมา ขอบฟ้าทางเหนือเกิดลมแรงสนั่นหวั่นไหว กาฬวาตปรากฏขึ้นกลางอากาศ

สิ่งที่อยู่ในพายุนี้คือเทพกาฬวาตแห่งเผ่าราชันประกาศิตอุดรผู้นั้น ผู้รับใช้องค์ท่านตายแล้ว บัดนี้องค์ท่านเผชิญกับเสียงเทพของจักรพรรดินีเพียงลำพัง องค์ท่านพลันหันมา นัยน์ตาฉายประกาย

“จักรพรรดินี ปัจจุบันแท่นเทวะมิใช่ขั้นสูงสุดของดินแดนต้องประสงค์ เจ้า…”

“หนวกหู!”

ที่ตอบองค์ท่านคือเสียงราบเรียบของจักรพรรดินี

แม้เสียงเรียบ ทว่าพลังแข็งแกร่ง

ชั่วขณะที่เอ่ยคำ พายุรอบกายเทพเผ่าราชันประกาศิตอุดรผู้นี้แหลกสลายในพริบตา ถูกบีบให้ฉีกขาด

เขตแดนเผ่ามนุษย์หายินยอมไม่

ลมจากเหนือทั้งหมดจะอยู่ที่นี่มิได้

ในเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ลมเหนือแตกฉาน พายุซ่านเซ็น กายเทพกาฬวาตผู้นั้นยิ่งถูกฉีกขาด โลหิตเทพมากมายสาดบนผืนดินทางเหนือของเผ่ามนุษย์

เสียงโอดครวญคืบขยายทั่วทิศ

พลังของจักรพรรดินีเพียงเอ่ยไม่กี่ประโยคก็กำหนดชะตาขั้นพิสุทธิ์ทั้ง 3 ทำให้แต่ละฝ่ายที่เห็นฉากนี้ต่างสั่นสะท้านทั้งกายและวิญญาณ

นี่ก็คือแท่นเทวะ

แต่เผ่าราชันประกาศิตอุดรเป็นเผ่าแข็งแกร่งลำดับ 2 บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในปัจจุบัน เทพเจ้าที่ได้รับการศรัทธาจากเผ่านี้ยังไม่รู้จำนวน และในนั้นก็ใช่ว่าไม่มีแท่นเทวะ

ดังนั้นพริบตาต่อมา เสียงลมหอบขึ้นอีกครั้ง

“วันนั้น 3 เทพเจ้าแห่งนภาคิมหันต์เลื่อนขั้นก็ต้องยอมให้ประกาศิตอุดรข้าจากไป ส่วนเจ้า…เรื่องนี้จบลงแล้ว”

ยังคงเป็นลมเหนือ ทว่าต่างกับพายุก่อนหน้า ที่ปรากฏครั้งนี้คือลมหนาวเย็น เป็นสายลมที่สามารถแช่แข็งห้วงเวลา สามารถผนึกเทพเจ้า

องค์ท่านเคยมาเยือนแล้วถูกจักรพรรดิครองกระบี่ตัดแขนข้างหนึ่ง

ตอนนี้ปรากฏตัวอีกครั้ง

ทั้งยังเป็นแท่นเทวะ

มองจากไกลๆ ลมหิมะหวีดคำรามบนฟ้า เกิดเป็นมือหิมะคว้าไปยังเทพกาฬวาตฉับพลัน หมายช่วยชีวิตองค์ท่าน

ขณะเดียวกันก็มีลมหิมะเคลื่อนลงมาเหนือศีรษะจักรพรรดินี

กินบริเวณกว้างปกคลุมเมืองหลวงจักรพรรดิ แผ่คลุมดินแดนจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ หมายผนึกที่นี่…ให้เป็นน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง หมายจะแช่แข็งแคว้นนี้ทั้งหมด หมายจะนาบเผ่ามนุษย์ไว้ในลมหิมะ

ชั่วขณะหนึ่ง เทพอสุภอดีตจักรพรรดิมนุษย์พลันเปล่งพลังเทพคุ้มครองทั่วทิศ ด้านจักรพรรดินีเดินออกมาก้าวขึ้นลมหิมะ

“เรากำลังรอเจ้าอยู่เลย!”

นัยน์ตาจักรพรรดินีฉายประกายเฉียบขาด องค์ท่านย่อมรู้ถึงความกล้าแข็งของเผ่าราชันประกาศิตอุดร ทั้งยังรู้ข้อเสียนานา ที่เกิดจากการหาเรื่องเผ่านี้

แต่หลังจากตนกลายเป็นแท่นเทวะ เผ่ามนุษย์มิสมควรเก็บซ่อนสมรรถภาพอีกแล้ว

หากเก็บไว้ต่อไป เช่นนั้นภายหน้าต้องมีการลองเชิงจากแต่ละฝ่ายไม่น้อยเป็นแน่ และเผ่าราชันประกาศิตอุดรก็คงไม่วางความคิดชั่วร้ายเพราะการซ่อนคมของตน

ตอนนั้นจักรพรรดิครองกระบี่อาศัยกำลังรบของตนสังหารจนทั่วทิศครั่นคร้าม นี่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะคุ้มครองเผ่ามนุษย์ ทำให้แม้เขาเหลือเพียงร่างแยกก็ยังทำให้เทพเจ้าไม่กล้ามาเยือนง่ายๆ

พลังที่แข็งแกร่งจึงเป็นการคุ้มครองที่ดีที่สุดในตอนนี้!

องค์ท่านหมายบอกเผ่าราชันประกาศิตอุดรว่าเผ่ามนุษย์คือตะปูดอกหนึ่ง แม้ประกาศิตอุดรเจ้ากล้าแข็ง แต่หวดมา 1 หมัดก็ต้องคิดราคาหนักหน่วงที่ต้องจ่ายไว้ให้เรียบร้อย

และองค์ท่านยังอยากแสดงคุณค่าของตน นี่คือความเชื่อมั่นที่เอาไว้ผูกมิตรกับแต่ละฝ่าย

องค์ท่านจะทำให้ทุกฝ่ายรู้ว่าแท่นเทวะขององค์ท่านเป็นแท่นเทวะที่แข็งแกร่ง!

ดังนั้น ชั่วขณะที่คำพูดเอ่ยออกมาในยามนี้ ฝีเท้าองค์ท่านตกบนความว่างเปล่า พริบตาที่เหยียบลง องค์ท่านหลับตา

ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินใหญ่ทั้งหลายบนดินแดนต้องประสงค์ปรากฏคลื่น

ดินแดนต้องประสงค์มีดวงอาทิตย์กี่ดวง ดวงจันทร์ก็เช่นเดียวกัน

ดังนั้นไม่ว่ายามใด บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนมีกลางวันและกลางคืน

เพียงแต่ต่างพื้นที่เท่านั้น

และบัดนี้ย่างก้าวของจักรพรรดินีกระทบกลางวันทั้งหมดบนดินแดนต้องประสงค์

ตอนนี้หากเสี้ยวหน้าบนฟ้าลืมตา องค์ท่านก็จะเห็น ในพิภพที่ขาวดำเชื่อมกันเป็นแห่งบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ราวกับดับแสงตะเกียง กลางวันทั้งหมดกลายเป็นมืดมิดในพริบตานั้น

ทุกแผ่นดินใหญ่ทั่วดินแดนต้องประสงค์จมสู่รัตติกาล

มีเทพดับแสงตะเกียง ดึงเอาแสงสว่างไปจากดินแดนต้องประสงค์ชั่วคราว

รวมถึงเขตแดนเผ่ามนุษย์ด้วย

กลางวันในยามแรกมืดมิดในพริบตา

มีเพียง…จักรพรรดินีที่ยืนอยู่บนนภาเมืองหลวงจักรพรรดิ ยามนี้ดวงตาขององค์ท่านกลายเป็นต้นแสงทั้งดินแดนต้องประสงค์

นี่ก็คืออำนาจเทพเจ้าของจักรพรรดินี

ดึงเอาความสว่างทั้งมวลมารวมไว้ในตาตนเอง กลายเป็นต้นแสงของโลกในพริบตา

ประหนึ่งดวงตะวันแห่งแสงอรุณ

ด้วยการระเบิดพลังนี้ เมื่อเทียบกับองค์ท่าน บรรพกาลล้วนเป็นค่ำคืนแสนยาวนาน

บัดนี้จักรพรรดินีลืมตา

แสงไร้สิ้นสุดส่องสว่างจากในนัยน์ตาองค์ท่าน นั่นคือต้นแสงแห่งดินแดนต้องประสงค์ นั่นคือความสว่างไสวบนแผ่นดินใหญ่ทั้งมวล นั่นยังเป็นแสงอรุณที่แหวกทุกสิ่งในรัตติกาล

แสงนี้ผ่านไป ฟ้าดินเจิดจ้า

ลมหิมะละลาย เทพประกาศิตอุดรในนั้นกลายเป็นความว่างเปล่า

แม้ไม่ได้สิ้นชีพ แต่อาการบาดเจ็บสาหัสที่ได้รับครั้งนี้เทียบได้กับบาดแผลของอวี้หลิวเฉินในตอนนั้น เสียงทิ้งท้ายขององค์ท่านดังก้องออกมาพร้อมความหวาดกลัว

“อำนาจเทพเจ้าของเจ้า…ถึงกับเป็นแสง…”

เสียงกระจายไป

สุดท้ายด้วยอำนาจเทพเจ้าเช่นนี้ องค์ท่านยังช่วยเทพกาฬวาตผู้นั้นไว้ไม่ได้

โลหิตเทพกาฬวาตจึงกลายเป็นฝนเลือดสาดเซ็นโลกหล้า

เทพองค์นี้ดับสิ้นนับแต่นั้น

โลกกลับสู่สภาวะปกติ

แผ่นดินใหญ่ที่สูญเสียความสว่างกลับมามีแสง

ท้องฟ้าเผ่ามนุษย์เป็นตอนกลางวันอีกครั้ง

รูปปั้นเทพเจ้าสูงตระหง่าน 2 รูปเคลื่อนลงจากฟ้า ตกทางใต้และทางตะวันตก

อันหนึ่งนามว่าอัคคี อันหนึ่งนามว่ากระดูกราตรี

จักรพรรดินีไม่ได้สังหารเทพทั้ง 2 หากผนึกไว้บนแผ่นดินเผ่ามนุษย์

วันนี้โลหิตเทพมากพอแล้ว

พิธีกรรมสำเร็จเทพก็จบลงในยามนี้

แต่ละฝ่ายไร้สุ้มเสียง

3 เทพตะวันจันทราดาราเงยหน้าทอดมองจักรพรรดินี สุดท้ายค่อยๆ เร้นกายจากไป ข้อตกลงสิ้นสุดโดยสิ้นเชิง เหล่าองค์ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ

ทั่วทั้งฟ้าดิน ทั่วทั้งโลกาจมสู่ความเงียบสงัดในพริบตา

พวกเขาควรตื่นเต้น แต่ในใจเผ่ามนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกระแสน้ำขึ้นลง หลังจากความยิ่งใหญ่ของเจตจำนงแห่งเผ่า สิ่งที่โผล่ขึ้นมายังคงเป็นความโศกเศร้าต่อการจากไปของมหาจักรพรรดิ

สวี่ชิงถอนหายใจแผ่วเบา จ้องมองรอบด้าน

ฟ้าดินอาจมีความรู้สึก

ในความเลือนราง สวี่ชิงคล้ายได้ยินเพลงงานศพทอดมาจากนภาเหนือดินแดนต้องประสงค์

มีลมเย็นเยียบพัดผ่านเขตแดนเผ่ามนุษย์…พร้อมเสียงคร่ำครวญ พร้อมความหนาวเสียดกระดูก ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนสะเทือนม่านฟ้าในที่สุด

ทั้งผืนนภามีสายลมจากฟ้าไม่สิ้นสุด คล้ายเริ่มมีผีร้ายคำรามอย่างเชื่องช้า ความโลภไม่จบสิ้นถูกปลดปล่อยจากยมโลก

“สายลมจากนรก 9 ชั้น เป็นลางร้าย…”

ณ ลานแห่งหนึ่งในเมืองหลวงจักรพรรดิ เจ้าวังคนปัจจุบันของวังเซียนคิมหันต์เผ่ามนุษย์ นางยืนเงยหน้ามองสายลมจากฟ้าอยู่ตรงนั้น

เสียงแหบพร่ากล่าวพึมพำพร้อมถอนหายใจ

มีคนเปิดยมโลก

สายลมจากนรก 9 ชั้นพัดดินแดนต้องประสงค์รุนแรงขึ้นทุกที

ลมนี้ผ่านเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ผ่านเขตแดนนภาคิมหันต์ ผ่านพื้นที่รกร้างมากมาย สุดท้าย…มารวมอยู่ในแผ่นดินใหญ่กลืนนภา

ในเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ากลืนนภา รอบพิธีกรรมที่จัดขึ้นเหมือนจักรพรรดินีสำเร็จเทพทุกประการในที่นี้มีสายลมจากนรก 9 ชั้นพัดมาต่อเนื่อง เกิดเป็นเกลียวคลื่นมหึมา

ทั่วทิศมีเงาทอดแปลงกลาย ฉายส่องทุกฉากที่จักรพรรดิมนุษย์สำเร็จเทพ

และที่นี่ เพลิงเทวะบนกายอดีตจักรพรรดิกลืนนภาทั้ง 5 ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน หากไม่ใช่เพื่อการสำเร็จเทพ แต่เป็นการเผากายเนื้อในชั่วขณะที่สำเร็จเทพ

มีลมช่วยยิ่งลุกโชน!

เกลียวคลื่นนรก 9 ชั้นที่ก่อตัวจึงระเบิดสนั่นหวั่นไหว แผ่คลุมเมืองหลวงจักรพรรดิ ครอบคลุมทุกสิ่ง กระเทือนทั้งแผ่นดินใหญ่กลืนนภา

เสียงลมไม่เพียงคร่ำครวญ ยังมีโห่ร้องยินดี ยังมีพึมพำ ยังมีรอคอย

“หวนคืน!”

รอบพิธีกรรม เทียนประทีปมากมาย ผู้บำเพ็ญชุดดำนับไม่ถ้วนพลันเงยหน้าส่งเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

“หวนคืน!”

เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ทรงพลังขึ้นทุกที ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆแผ่คลุม ทำให้สายลมนรก 9 ชั้นที่ขยายทั่วแผ่นดินใหญ่พัดสนั่นหวั่นไหวไปยังท้องฟ้า

ทอดมองไปในแผ่นดินใหญ่กลืนนภา โลหิตเป็นแม่น้ำ เนื้อเป็นขุนเขา ซากศพมากมายวางแผ่เป็นงานเลี้ยง ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องตื่นกลัว

รวมกับการจัดเรียงทั้งหมดในเมืองหลวงจักรพรรดิกลืนนภาตอนนี้ ราวกับ…เป็นพิธีกรรมยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งกว่าด้านเผ่ามนุษย์!

นี่คือพิธีกรรมสะเทือนฟ้าสะท้านดินโดยแท้!

ทั้งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสุดท้ายของรัชทายาทม่วงครามในครั้งนี้

นั่นก็คือ…ฟื้นฟูรัฐม่วงคราม!

เขาจะทำให้รัฐม่วงครามในอดีตหวนคืนกลับมาจากห้วงเวลาบรรพกาล

เขาจะทำให้รัฐที่เป็นของเขากลับมาเยือนดินแดนต้องประสงค์ในปัจจุบัน!

เขาจะฟื้นรัฐ!

ตอนนั้นไป๋เซียวจัวก็มีความฝันเช่นนี้ แต่ก็อยากไปเยือนเพียง 1 เขตปกครอง สุดท้ายยังคงล้มเหลว

แต่ที่จื่อชิงคิดคือทั่วทั้งรัฐม่วงคราม

ระดับความยากเรียกได้ว่าเหนือกว่าทุกสิ่งที่ผ่านมา!

เขาจึงต้องการพิธีกรรมยิ่งใหญ่!

นั่นก็คือ…รวบรวมคน สนับสนุนให้เข้าร่วมการสำเร็จเทพที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัดช่วงเวลานี้ออกมาเป็นเครื่องเซ่น สังเวยแก่วิสุทธิ์เทพซ่างฮวง

ขณะเดียวกัน เขาจะเลียนแบบพิธีกรรมนี้ในพื้นที่ฟื้นฟูรัฐที่เลือกไว้โดยสมบูรณ์ จากนั้นดำเนินพิธีและใช้มันแทนที่ประหนึ่งตัวตายตัวแทน

เคราะห์ ให้คนอื่นมารับแทน ส่วนผล เขากับอีกฝ่ายล้วนมี!

ยิ่งการสำเร็จเทพนี้ยิ่งใหญ่เท่าไร สว่างไสวเพียงใด ไม่เคยมีมาก่อนแค่ไหน ความเป็นไปได้ที่เขาจะฟื้นฟูรัฐสำเร็จยิ่งมากเท่านั้น

เขาจึงเลือก…จักรพรรดิมนุษย์สำเร็จเทพ!

เผ่ามนุษย์ไม่อนุญาตให้จักรพรรดิมนุษย์สำเร็จเทพ ย่อมไม่เคยมีมาก่อน

เจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดละทิ้งการบำเพ็ญมาเลือกเป็นเทพ เรื่องนี้หลายปีนับไม่ถ้วนล้วนไม่เคยเกิดขึ้น ย่อมเป็นพลังเลิศล้ำกว่าที่ผ่านมา

บัดนี้ จักรพรรดิมนุษย์ทำสำเร็จ

เขาก็สำเร็จเช่นกัน

ถึงขั้นไม่ต้องควบคุมด้วยตัวเอง ทุกสิ่งในที่นี้ล้วนดำเนินตามแผนของเขาโดยสมบูรณ์

เสี้ยวหน้ายินดี

ท้องฟ้าเผ่ากลืนนภาส่งเสียงสนั่นหวั่นไหวจนแทบหูหนวก สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ท่ามกลางเสียงแควกควาก เกลียวคลื่นที่ปกคลุมม่านฟ้าทำลายประตูยมโลกในที่สุด

ยมโลกเปิดเหนือกลืนนภาพร้อมเสียงเรียกจากผืนดิน

“หวนคืน!”

“หวนคืน!!”

เทียนประทีปนับไม่ถ้วน ชุดดำเหลือคณา ร่างทดสอบเทพเจ้ามากมายต่างร้องคำรน

เสียงของพวกเขาเป็นตัวนำวิญญาณคนตาย พิธีกรรมของพวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของรัฐ ไหลลงยมโลกที่แหลกลาญ

ตัดเอาช่วงเวลาที่รัฐม่วงครามยังรุ่งเรืองก่อนถูกดึงสู่ยมโลกมาโดยสมบูรณ์!

เคลื่อนลงสู่แผ่นดินใหญ่กลืนนภา

กลืนนภาสนั่นหวั่นไหว ม่านฟ้าแหลกสลาย ผืนดินพังทลาย

รัฐมายาสะเทือนโลกาปรากฏจากยมโลก เคลื่อนจากฟ้าดินที่แตกทลายมาสู่ดินแดนต้องประสงค์ มาสู่โลกปัจจุบัน มาสู่แผ่นดินใหญ่กลืนนภา

นี่ก็คือรัฐม่วงครามที่สั่นสะเทือนกลุ่มเผ่าทั่วทั้งดินแดนต้องประสงค์ในตอนนั้น

เสียงหวีดคำราม เสียงร้องคำรน เสียงบ้าคลั่งเจือแววไม่ยินยอม เสียงโอดครวญเย็นเยียบไร้สิ้นสุดทอดมาจากในรัฐมายาที่มาเยือน

วิญญาณคนตายนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากรัฐม่วงครามที่ฝังกลบอยู่ในกาลเวลา

พวกมันบ้างเป็นประชาชน บ้างเป็นทหาร บ้างเป็นขุนนาง…

จำนวนมากมายไร้ซึ่งขอบเขต กลายเป็นทะเลวิญญาณกวาดซัดทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่กลืนนภา

มุ่งไปยังสายธารบนผืนดินที่เลือดสดไหลมารวมกัน มุ่งไปยังยอดเขาที่เลือดเนื้อกองพะเนิน

กลืนกินสรรพสิ่ง กลืนกินธารโลหิต กลืนกินเลือดเนื้อ กลืนกินทุกอย่าง

ยามนี้เลือดเนื้อคือสารอาหารของพวกเขา

ใช้เลือดเนื้อทุกชีวิตบนแผ่นดินสร้างร่างกายให้ประชาชนรัฐม่วงครามอีกครั้ง!

ร่างมากมายเกิดขึ้นท่ามกลางเลือดเนื้อ มวลกลิ่นอายปะทุขึ้นกลางฟ้าดิน

ทั้งหมดลืมตาเผยความศรัทธา ใจทุกดวงล้วนแฝงความโกรธแค้นต่อฟ้าดินและเผ่าทั้งหลาย!

พวกเขากลับมาแล้ว!

รัฐม่วงครามฟื้นคืนสำเร็จ!

เมืองหลวงจักรพรรดิยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าเคลื่อนลงบนเมืองหลวงจักรพรรดิกลืนนภา เอามันเข้าแทนที่ ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ กลายเป็นเมืองสีม่วงขนาดใหญ่

บัดนี้คูเมืองที่คล้ายคลึงกันก็เคลื่อนลงตามจุดต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่กลืนนภา

ทั้งหมด 99 เมือง

และภายในวังหลวงม่วงครามในเมืองจักรพรรดิ เงาร่างมีเลือดเนื้อเป็นสายทยอยปรากฏตัว คุกเข่าคารวะไปยังบัลลังก์ว่างเปล่าในส่วนลึกที่สุดของวังหลวง

ไม่ใช่แค่พวกเขาคุกเข่าคารวะ ตอนนี้ประชาชนม่วงครามที่คืนชีพอยู่ทั่วทิศตามคูเมืองต่างๆ ล้วนคุกเข่าคารวะไปทางวังหลวงอย่างฮึกเหิม

พวกเขากำลังรอคอย

รอคอยองค์รัชทายาทผู้เลิศล้ำไม่เป็น 2 ของพวกเขากลับมาที่นี่ นั่งบนบัลลังก์รัฐม่วงครามเพื่อขึ้นเป็น…จักรพรรดิม่วงคราม!

นี่คือคำสัญญาที่องค์รัชทายาทให้ไว้กับรัฐม่วงครามก่อนศึกสุดท้ายในชีวิต

‘เมื่อข้ากลับมา จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ!’

และตอนนี้ จักรพรรดิที่พวกเขารอคอย องค์รัชทายาทที่บรรลุเป้าหมายกว่าครึ่งกำลังเดินไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์

ทุกฝีเท้าทำให้ผืนดินโอดครวญ ทุกย่างก้าวทำให้ท้องฟ้าเกิดคลื่น

เขาสีหน้าอ่อนโยน มุมปากมีรอยยิ้ม

“น้องชาย ข้ามาเอาของเล่นแล้ว”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version