Chapter 6
เปิดร้าน
“น่าเสียดายพวกเจ้าสองพ่อลูกนัก แต่เอาเถอะเรื่องเจ็บป่วยมันกำหนดได้เสียที่ไหน หากพ่อเจ้าหายดีเมื่อไหร่ ข้าก็ยินดีให้เขากลับมารับตำแหน่งเดิมอีกครั้ง” ฮ่องเต้ตรัสแล้วก็โบกมือ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้า” ไป๋จงหมอบคารวะจนติดพื้นแล้วก็รีบถอยไปยืนเข้าแถวในตำแหน่งของตัวเอง
หลังจากเสร็จราชกิจแล้วฮ่องเต้ก็เสด็จกลับพระตำหนัก เมื่อพระสนมรู้ข่าวว่าขุนนางไป๋พ่อลูกลาออกไปแล้วก็แสร้งบ่นเสียดายความสามารถ แต่อันที่จริงแล้วเสียดายไก่ที่กำลังจะจับมาเชือดให้ลิงดูมากกว่า หรือว่าจะต้องเชือดลิงโง่ให้ลิงดูแทนล่ะมั้ง
10 วันต่อมา ร้านไป๋จงก็ตกแต่งเสร็จ ได้ฤกษ์เปิดร้านเสียที ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี แต่ก็ไม่ถือว่ามากเท่าไหร่เพราะกลุ่มขุนนางหลายกลุ่มที่เห็นว่าสองพ่อลูกไร้ประโยชน์แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคบหาสมาคมกันต่อไป
ไป๋จงทำหน้าที่ต้อนรับแขกอย่างดี ส่วนฮูหยินไป๋ก็อยู่ที่บ้านคอยดูแลสามีซึ่งเจ็บป่วยหนัก
ไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่อาจไปช่วยดูแลร้านได้เพราะร่างกายอ่อนแอ ภาระต่างๆจึงตกเป็นของไป๋จงทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ได้เหนื่อยยากเลยสักนิดเพราะได้ลูกจ้างดีคอยช่วยงานอย่างรู้หน้าที่อย่างเซี่ยหยางและเซี่ยหยูสองพี่น้อง ที่เถ้าแก่ร้านก็ไม่รู้ว่าจับพลัดจัดผลูได้ตัวลูกจ้างเก่งๆอย่างทั้งสองมาได้อย่างไร จู่ๆพอมีข่าวว่าตระกูลไป๋กำลังจะเปิดร้าน สองพี่น้องเซี่ยก็มาคอยสมัครงานอยู่หน้าร้าน ไป๋จงเห็นหน่วยก้านเข้าตาก็เลยจ้างไว้ แล้วทั้งสองก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ทั้งสองคอยต้อนรับลูกค้าไม่มีขาดตกบกพร่องเลยสักนิด
ไป๋เฟิ่งหวงนั่งมองดูแขกเหรื่อที่มาแสดงความยินดีในวันเปิดร้านอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินในร้าน นางคอยสังเกตท่าทีของผู้คนอย่างละเอียด
เซี่ยหยางกับเซี่ยหยูวิ่งวุ่นดูแลลูกค้าในร้าน
สินค้าในร้านล้วนเป็นข้าวของที่ได้รับมาเป็นของขวัญของกำนัลจากบรรดาขุนนางมอบให้ตามโอกาสต่างๆ ของไหนใช้งานก็จะถูกเอาไปใช้ แต่พอของชิ้นไหนไม่ใช้งานก็จะถูกเก็บอยู่ในห้องเก็บของจนกองเทินเต็มห้องเก็บของ ไป๋เฟิ่งหวงไปเห็นเข้าจึงมีความคิดที่จะขายของพวกนี้ออกไปให้หมด
เมื่อคุณชายเปิดร้าน ข้าวของในห้องเก็บของจึงถูกรื้อออกมาปัดกวาดทำความสะอาดแล้วถูกขนมาจัดแสดงในร้านด้วยฝีมือจัดร้านของไป๋เฟิ่งหวงทำให้สินค้าทุกชิ้นดูมีค่ามีราคาขึ้นมาทันที
จนตอนนี้สินค้าหลายชิ้นเกือบครึ่งร้านถูกติดป้ายขายแล้ว รอนำส่งลูกค้าเท่านั้น สินค้าค่อยๆทยอยลดลงไปมาก ลูกค้าก็ยิ้มแย้มหน้าบานที่ได้ของถูกใจราคาสมเหตุสมผล
ไป๋เฟิ่งหวงกำลังมองอย่างครุ่นคิด มันน่าไปเหมาของในห้องเก็บของบรรดาพวกขุนนางมาเติมในร้านเสียจริง ว่าแต่จะเริ่มไปเหมาจากจวนขุนนางคนไหนก่อนดีล่ะ?
ไป๋จงโฉบไปหาน้องสาว “คิดอะไรอยู่เหรอเฟิ่งหวง?”
“กำลังคิดว่าข้าควรจะไปเหมาของในห้องเก็บของๆขุนนางคนไหนก่อนดีน่ะซิ?” ไป๋เฟิ่งหวงตอบพลางกวาดตามองไปรอบๆร้าน
“เจ้านี่มีหัวการค้าจริงๆ” ไป๋จงชมแล้วก็รีบไปต้อนรับแขก
ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มรับคำชม นางเคาะนิ้วเล่นกับโต๊ะ นั่งมองไปเรื่อยๆ
เซี่ยหยาง เซี่ยหยู ได้ยินเสียงเคาะโต๊ะก็หันไปมอง แล้วก็เบือนสายตากลับไปต้อนรับลูกค้า
เซี่ยหยางพอเสร็จจากต้อนรับลูกค้า ก็รีบเดินเข้าไปหาคุณหนูน้องสาวเถ้าแก่ “คุณหนู”
ไป๋เฟิ่งหวงหันไปมองแล้วก็กวักมือให้อีกฝ่ายเขยิบเข้าไปใกล้ๆนาง “เซี่ยหยาง” นางเรียก พลางเท้าแขนบนโต๊ะ พัดในมือก็อยู่ระดับใบหน้า บดบังใบหน้าเล็กจากสายตาคนอื่นที่มองเข้าไปในร้าน นางลดเสียงลงสั่งงาน “………………………….”
เซี่ยหยางพยักหน้ารับงึกๆ แล้วก็เดินไปต้อนรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในร้าน
ไป๋เฟิ่งหวงมองสภาพการค้าแล้วก็เบาใจ นางทำให้ร้านของตระกูลกลายเป็นแหล่งรับซื้อของเหลือใช้จากตระกูลขุนนาง แล้วนำมาขายต่อให้คนชนชั้นล่างที่เห็นคุณค่าของสิ่งของเหล่านั้นแทน เหลืออีกสิบกว่าวันเท่านั้น ร่างกายของนางก็จะพร้อมแล้วสำหรับการบางอย่าง รอข้าก่อนเถอะเย่เฟย! เฉินกงกง!
นับจากวันที่หมอหลวงมาตรวจ ถึงตอนนี้ก็ครบเดือนแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงลุกขึ้นนั่งหลังจากตื่นแต่ย่ำรุ่งมาวิดพื้น 100 ครั้งแล้วก็ฝึกกล้ามเนื้อแขนขาให้แข็งแรง นางเริ่มฝึกฝนร่างกายมานับตั้งแต่วันที่สองหลังจากได้มาอยู่ในร่างนี้แล้ว แม้ไม่ต้องให้หมอมาตรวจนางก็รู้ดีว่าตอนนี้สภาพร่างกายของนางพร้อมขนาดไหน ครั้งแรกที่ฝึกเหงื่อท่วมตัวไหลเป็นสาย แต่ตอนนี้นะหรือเหงื่อสักหยดยังไม่มีให้เห็น
โชคดีที่จวนแห่งนี้ออกแบบให้มีห้องลับในเรือนแต่ละหลัง สำหรับใช้เป็นที่หลบภัยของสตรีในจวน คนที่รู้ความลับก็มีเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น นางค้นพบห้องลับโดยบังเอิญแล้วก็หลอกถามพี่ชาย ซึ่งไป๋จนก็ยอมบอกความลับเพราะเห็นว่าน้องสาวเริ่มโตเป็นสาวแล้วอีกทั้งรู้ว่าอะไรควรไม่ควรมากกว่าแต่ก่อน จึงควรจะรู้เรื่องห้องลับที่มีในจวนเสียที เผื่อวันหน้ามีเหตุเภทภัยใดๆนางจะได้อาศัยห้องลับหลบซ่อนจากศัตรูได้ แล้วนางก็เปลี่ยนห้องลับให้กลายเป็นห้องฝึกวรยุทธ์
ความทรงจำจากชาติที่แล้วฝังแน่นอยู่ในวิญญาณ นางจึงนำความทรงจำในการฝึกวรยุทธ์นั้นมาฝึกฝนกับร่างใหม่ จนตอนนี้ทั้งร่างกายและวรยุทธ์ที่มีรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว แต่นางก็ยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสังหาร คุณหนูผู้อ่อนแอย่อมจะตายช้ากว่าคนแข็งแกร่ง เพราะศัตรูมักจะพุ่งเป้าไปยังคนที่แข็งแกร่งก่อนเสมอแล้วเลือกที่จะสังหารคนอ่อนแอทีหลัง
นางเดินไปหยิบมีดสั้นขึ้นมาจากชั้นวางของแล้วก็หมุนกลับไป ปาใส่เป้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เฟี๊ยวๆๆๆๆ
ฉึก!ๆๆๆๆ มีดปักเข้าเป้าทั้งหมดอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มอย่างพอใจ สายตาลุกวาวด้วยเพลิงแค้นที่สุมในอก นางหันไปลูบเสื้อผ้าชุดดำที่วางอยู่บนชั้น แล้วก็หันไปมองนาฬิกาทรายที่วางอยู่ใกล้ๆกัน ใกล้จะได้เวลาที่เซี่ยวซินจะเข้ามาในห้องแล้วซินะ
นางเดินไปมองช่องลับ เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องจึงเปิดประตูออกไป นางก้าวไปในความมืดมิดเหมือนมองเห็นสิ่งต่างๆแจ่มชัด แต่ไม่ใช่หรอกเป็นเพราะนางคุ้นเคยกับตำแหน่งสิ่งของที่อยู่ในห้องแล้วต่างหาก ข้าวของในห้องนางจะถูกวางไว้ตำแหน่งเดิมทุกครั้ง หากมีการเปลี่ยนตำแหน่งแม้เพียงคืบบ่าวที่เข้ามาทำความสะอาดจะถูกลงโทษทั้งหมด จนใครๆต่างก็ขยาดที่จะเข้ามาทำความสะอาดในเรือนคุณหนูกันทั้งนั้น เซี่ยวซินจึงจำต้องรับภาระปัดกวาดเช็ดถูเรือนเพียงลำพัง
วันที่แสนจะธรรมดาผ่านไปอีกวัน เป็นวันที่คุณหนูหลับแทบจะทั้งวัน ตื่นอีกครั้งก็เกือบเย็น เซี่ยวซินมองคุณหนูปิดปากหาวอย่างเอ็นดู เห็นคุณหนูแข็งแรงขึ้นมากก็ดีใจ ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมาคุณหนูของนางนอนหลับแทบจะตลอดทั้งวัน ซึ่งท่านหมอหลวงแวะมาตรวจอาการนายท่านและคุณหนูได้บอกกับฮูหยินว่าไม่ต้องเป็นกังวลไป ร่างกายคุณหนูอ่อนแอจึงต้องการนอนหลับพักผ่อนมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ท่านหมอหลวงก็ได้จัดยาบำรุงไว้ให้แล้วก็ลากลับไป
พอคุณหนูลุกขึ้นนั่ง นางก็รีบไปเทน้ำอุ่นใส่อ่างให้คุณหนูล้างหน้า แล้วก็รีบไปเตรียมน้ำอาบให้คุณหนู หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วคุณหนูก็เดินไปกินข้าวที่เรือนใหญ่กับนายท่านและฮูหยิน นางดีใจที่คุณหนูแข็งแรงขึ้นมาก เมื่อก่อนคุณหนูของนางแค่เดินไปนั่งชมนกชมไม้หน้าเรือนก็เหนื่อยแล้ว วันๆได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ในเรือนตัวเอง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็เดินไปเรือนพี่ชาย หยิบบัญชีร้านมาตรวจดู การค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ค้าขายได้เรื่อยๆ ไม่โดดเด่นอะไรมาก จนตอนนี้ร้านค้าตระกูลไป๋ก็มีสถานะใกล้เคียงกับโรงรับจำนำ เพียงแต่ว่าเป็นการซื้อขายขาด ขายแล้วขายเลย ซื้อแล้วซื้อเลย ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็ชอบมาซื้อสินค้าจากร้านไป๋จง เพราะได้ของดีราคาไม่แพง ไป๋จงก็คอยไปตีราคาของจากจวนขุนนางมาเติมเข้าร้านอยู่เรื่อยๆ แม้จะไม่ได้รับราชการแล้วแต่ก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับเหล่าขุนนางในฐานะคนค้าขาย เรียกได้ว่าเป็นเถ้าแก่ร่ำรวยกว่าตอนเป็นขุนนางเสียอีก แม่สื่อแม่ชักทั้งหลายต่างก็ส่งเทียบเชิญให้คุณชายตระกูลไป๋ไปเลือกคู่จนธรณีประตูเรือนสึกไปโข
ขุนนางที่เคยตีตัวออกห่างต่างก็เริ่มกลับมาสานสัมพันธ์กับคุณชายตระกูลไป๋มากขึ้น เพราะคบหาสหายรวยย่อมดีกว่าคบสหายยาจก ไปกินข้าวกินสุราร้านไหน เถ้าแก่ร้านก็ให้การต้อนรับขับสู้ดีเสียยิ่งกว่าตอนเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆเสียอีก แต่คุณชายไป๋ก็ฉลาดในการเลือกคบคนแล้ว เขาจำได้แม่นยำวันที่ตกต่ำลาออกจากราชการ เพื่อนฝูงตีตัวออกห่าง เหลือมิตรแท้อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น มาวันนี้เขาร่ำรวยขึ้นกว่าตอนเป็นขุนนาง คนที่เคยตีตัวออกห่างกลับทำสนิทอยากคบหาเหมือนดังแต่ก่อน เมินซะเถอะพวกสหายจอมปลอม! เขาจะไม่โง่อีกแล้ว
ไป๋จื่อฮัวนั่งคุยกับฮูหยิน
“หมู่นี้ท่านหมอหลวงมาบ้านเราถี่เหลือเกิน” ฮูหยินเอ่ยขึ้น
“ก็คงจะมาจับผิดข้าน่ะซิว่าป่วยจริงหรือไม่” ไป๋จื่อฮัวยกชาขึ้นจิบ
“จับผิดท่านพี่ข้าก็พอจะดูออก แต่ดูเหมือนเขาจะใส่ใจเฟิ่งหวงเป็นพิเศษ”
“ข้ารู้แล้ว” ไป๋จื่อฮัวพยักหน้า “คงต้องจับตาดูต่อไปว่าจุดประสงค์ที่เขาใส่ใจลูกสาวเราเป็นเพราะเหตุใด”
ฮูหยินพยักหน้าอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก กังวลว่าหมอหลวงจะรู้เรื่องอาการป่วยจอมปลอมของสามีแล้วนำไปกราบทูลฮ่องเต้ โทษหลอกลวงเบื้องสูง ตายสถานเดียว!
ไป๋เฟิ่งหวงวางบัญชีลงแล้วก็เก็บลูกคิด “ข้าไปล่ะท่านพี่”
“อืม พักผ่อนให้มากๆล่ะ” ไป๋จงพยักหน้าแล้วก็ลูบหัวน้อง ยิ้มอ่อนๆ นี่ถ้าไม่ใช่ความคิดของเฟิ่งหวงไม่รู้ว่าป่านนี้ตระกูลไป๋จะเป็นอย่างไรบ้าง น้องเขาเป็นเด็กฉลาดยิ่งนัก เสียแต่ยังอ่อนแอมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่กำเนิดนี่แหละที่จะเป็นตัวขัดขวางทำให้นางเสียโอกาสในการเลือกคู่ครองที่ดีๆ ก็ใครจะอยากได้หญิงสาวอ่อนแอขี้โรคแต่งเข้าตระกูลด้วยล่ะ แต่ไม่เป็นไรนะเฟิ่งหวง ถ้าไม่มีใครแต่งด้วยพี่ก็พร้อมจะเลี้ยงดูเจ้าไปจนวันตาย
ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มตอบแล้วก็ลุกกลับเรือนตัวเอง
เมื่อราตรีกาลครอบคลุมท้องฟ้าจนทุกแห่งหนมืดสนิท ร่างหนึ่งในชุดสีดำสนิทสวมผ้าโพกหัวปิดบังใบหน้าก็พลิ้วไหวกลืนหายไปกับความมืด
ณ วังหลวง ซึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟจุดเป็นระยะๆ ภายในตำหนักที่ประทับองค์ฮ่องเต้ นางระบำกำลังฟ้อนรำไปตามจังหวะเสียงดนตรีบรรเลง ข้างกายฮ่องเต้พระสนมเย่เฟยคอยรินสุราถวาย ครั้นสำเริงสำราญจนพอพระทัยแล้วก็กลับห้องบรรทมพร้อมพระสนม
“ฝ่าบาทจะทรงจัดการ กับพวกขุนนางที่ยังแข็งข้อต่อไปอย่างไรหรือเพคะ?” พระสนมถามน้ำเสียงหวานออดอ้อน
“กำจัดตระกูลหลิวไปได้ เจ้ามีความชอบไม่น้อย ข้าไม่ลืมสัญญาที่จะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาหรอก เพียงแต่ต้องรอเวลาสักหน่อย เจ้าก็อดทนสักนิดนะเย่เฟย” ฮ่องเต้ตรัสลูบหัวพระสนม
ในห้องลับซึ่งเป็นเส้นทางสำหรับหลบหนีภัย คนชุดดำยืนฟังถ้อยคำนั้นอย่างเงียบกริบ นี่ซินะตัวตนของเจ้า หลงถัง! ข้าคิดอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงได้เชื่อข้อหาโง่เง่านั้น ที่แท้มันก็เป็นแผนการที่เจ้าวางไว้แต่แรกแล้ว สองมือกำแน่นอย่างแค้นใจ
“ขอเพียงฝ่าบาทเมตตาหม่อมฉันกับลูกก็พอแล้วเพคะ จะให้หม่อมฉันบุกน้ำลุยไฟที่ไหนหม่อมฉันก็พร้อมจะทำเพื่อฝ่าบาทเพคะ” พระสนมพูดแล้วก็เลื่อนมือไปลูบกึ่งกลางวรกายพระสวามี
“อืม…” ฮ่องเต้คราง ความรู้สึกตรงส่วนนั้นร้อนผ่าว “เย่เฟย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเจ้าก็ทำให้ข้ายังต้องการเจ้าได้เสมอ มาซิเย่เฟยของข้า ทำให้ข้ามีความสุขที”
“เพคะ” พระสนมแหวกผ้าออกจับมังกรออกมาอมรูดดูดเลีย
“อืม…เย่เฟย” ฮ่องเต้คราง
พระสนมสนองความต้องการของพระสวามีอย่างถึงพริกถึงขิง
หากเทียบกับฮองเฮาแล้ว ฮ่องเต้ชอบลีลาของพระสนมมากกว่า นางทำให้พระองค์ร้อนรุ่มได้ตลอดเวลา
“ชอบไหมเพคะ? หากเทียบกับฮองเฮาฝ่าบาททรงรักใครมากกว่ากันเพคะ” พระสนมถาม นางชอบให้พระสวามีพูดชื่นชมนาง
“ข้าก็ต้องรักเจ้ามากกว่าฮองเฮาซิ อันที่จริงข้าก็ไม่เคยรักนางเลย ที่ข้าแต่งกับนางก็เพราะนางเป็นลูกสาวแม่ทัพหลิว ข้าก็แค่ต้องการกองทหารในอำนาจของตระกูลนาง หากไม่มีสิ่งนั้นเจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมแต่งกับนาง แต่กับเจ้า ข้ารักเจ้านะเย่เฟย เราอย่าได้พูดถึงคนที่ตายไปแล้วเลยดีกว่าน่า ตอนนี้เจ้าก็เป็นหนึ่งแล้ว” ฮ่องเต้ประคองใบหน้างดงามไว้ในอุ้งหัตถ์ รู้ว่านางชอบให้ยกยอก็ตรัสเอาอกเอาใจนางเสียหน่อย นางและตระกูลนางยังมีประโยชน์กับพระองค์อยู่
มือภายใต้ถุงมือหนังกำแน่นอย่างเจ็บใจตัวเองที่ถูกคำลวงนั้นลวงหลอกจนตาย คนในตระกูลต้องมาตายไปเพราะนางด้วยเพียงเพราะคำว่าอำนาจตัวเดียวเท่านั้น
ดี! วันนี้ข้าได้รับรู้ความในใจเจ้าแล้วหลงถัง ต่อไปนี้เยื่อใยที่เคยมีให้เจ้าได้ขาดสะบั้นหมดแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คอยดูต่อไปเถอะว่านังคนโง่งมคนนั้นจะสนองคืนให้เจ้าอย่างไรบ้าง หึๆๆๆๆ เดิมทีข้าคิดว่ามีเพียงเย่เฟยกับเฉินกงกงเท่านั้นที่เป็นศัตรูกับข้า แต่ตอนนี้ข้าได้รู้แล้วว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งของข้าก็คือเจ้า หลงถัง! ข้าขอสาบานว่า ข้าจะกระชากเจ้าลงจากบัลลังก์ทองมากระทืบให้จมดินให้ได้!
พระสนมค่อยๆเปลื้องผ้าออกทีละชิ้นอย่างช้าๆ อวดทรวดทรงองค์เอวให้พระสวามีได้ชื่นชม “แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ แล้วเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทล่ะเพคะ?” นางถามมือก็เลื่อนไปกำรูดมังกร
“ข้าก็ต้องแต่งตั้งหลงเทียนอยู่แล้วล่ะ เจ้าอย่ามัวแต่เล่นอยู่เลยน่า” ฮองเต้ตรัสแล้วก็จับสะโพกอวบอัดขึ้นคล่อมพระองค์เอง
พระสนมหย่อนสะโพกลงไปกลืนกินมังกรเข้าไปในร่าง
“อืม…เย่เฟย เจ้าทำให้ข้ามีความสุขเสียจริง” ฮ่องเต้ครางอย่างสุขล้น
พระสนมขยับโยกอย่างช้าๆแล้วก็ค่อยๆเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“โอ้…เย่เฟย” ฮ่องเต้ครางยาวได้ปลดปล่อยความสุขจนหลั่งล้นออกไป แล้วก็นอนแผ่เหยียดยาวผล๊อยหลับไปอย่างง่ายดาย
พระสนมมองอย่างหงุดหงิด นกกระจอกยังไม่ทันจะกินน้ำเลยสักนิด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ นางคงถีบตกเตียงไปแล้ว นางลุกออกจากตัวพระสวามีแล้วก็จับผ้าห่มคลี่คลุมพระสวามี รอให้แต่งตั้งหลงเทียนเป็นรัชทายาทก่อนเถอะ ข้าไม่เก็บเจ้าไว้แน่หลงถัง
แล้วนางหยิบเสื้อผ้ามาสวม จากนั้นก็เดินออกไปเรียกขันทีคนสนิท “เกากงกง”
“พะย่ะค่ะ” เกากงกงรีบเดินไปค้อมตัวรอรับคำสั่ง
“มานวดให้ข้าที” พระสนมสั่งแล้วก็เดินเข้าห้องไป
เกากงกงรีบก้าวตามเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง
พระสนมเดินไปนอนตะแคงบนตั่งยาว
เกากงกงรีบดึงม่านมาปิด แล้วก็จัดแจงนวดให้พระสนม เขาเดินเข้าไปนั่งด้านหลังพระสนม มือหนึ่งนวดต้นขา อีกมือก็ล้วงแหวกผ้าเข้าไปส่งนิ้วกระแทกกระทุ้งในร่องนุ่มที่มีน้ำเยิ้มฉ่ำ
พระสนมเม้มปาก สองมือกำหมอนที่นอนอิงตะแคง หน้าแดงระเรื่อด้วยอารมณ์ปรารถนา
เสียงกรนของฮ่องเต้ดังเป็นระยะๆ เมื่อก่อนก็ไม่กรนดังขนาดนี้ แต่ยิ่งพระชนม์มายุมากขึ้นเสียงกรนก็ยิ่งดังตามอายุ
พระสนมเลื่อนมือไปคลำลูบกลางตัวเกากงกงที่นูนดันผ้าที่รัดพันเอาไว้ “ข้าต้องการมัน” นางกระซิบบอก
“แต่ว่า…” เกากงกงแย้งกลัวใครจะเข้ามาเห็น
“เร็วซิ ข้าต้องการมันเดี๋ยวนี้” พระสนมกระซิบดุ
เกากงกงดึงมือออกจากร่องนุ่มแล้วก็ใช้สองมือแกะผ้าที่พันรัดแก่นกายออก มันดีดผึ่งออกมาทันที ทั้งใหญ่ทั้งยาวขนาดเท่าข้อมือพระสนม
พระสนมรีบลุกขึ้นยันตัวโก้งก้นให้เหมือนม้าตัวเมียรอผสมพันธุ์
เกากงกงรีบแหวกผ้าขยับตัวสอดใส่ แล้วก็โยกตัวเข้าใส่อย่างถึงพริกถึงขิง
พระสนมโก้งก้นรับการกระแทก เม้มปากกลั้นเสียงคราง
เกากงกงกระแทกกระทั้นจนร่างบางสั่นระริกเสร็จสม เขายังกระแทกต่อไปจนตัวเองก็เสร็จสมเช่นกัน
พอเสร็จแล้วก็รีบถอนแก่นกายออกมาเก็บให้มิดชิด
พระสนมนอนให้เกากงกงนวดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนชุดดำเห็นพฤติกรรมทั้งหมดเพราะทั้งสองคนมาร่วมรักกันอยู่ตรงหน้าประตูห้องลับพอดี เสียงหัวเราะในใจดังขึ้นจนต้องขบริมฝีปากแน่น โถๆๆๆๆ หลงถัง นี่ถ้าเจ้าได้เห็นแบบข้าเจ้าจะยังรักนางอยู่หรือเปล่า? หรือว่าจะเจ็บแค้นเจียนตายกันแน่? ฮ่าๆๆๆๆ
พอนวดเสร็จพระสนมก็ลุกกลับไปที่เตียง
เกากงกงก็รีบออกไปยืนเฝ้าหน้าห้องตามปกติ
คนชุดดำลอบออกจากห้องลับไปตามทางลับ เส้นทางที่มีคนรู้เพียงสองคนเท่านั้น นั่นก็คือฮ่องเต้และฮองเฮา
แล้วคนชุดดำก็ลอบไปที่สุสานหลวง บรรยากาศภายในสุสานเงียบสงัด คนชุดดำนั่งลงข้างป้ายสุสานองค์หญิงหลงหลิว มือเลื่อนไปลูบตามรอยแกะสลักชื่อบนป้ายหิน “หลงหลิวแม่จะต้องส่งคนที่ลอบสังหารเจ้าตามไปยมโลกให้ได้ แม่สัญญา”
แล้วคนชุดดำก็ลุกไปนั่งข้างป้ายสุสานอ๋องหลงซัน “หลงซันไม่ต้องกลัวจะว้าเหว่นานหรอกนะลูก แม่จะส่งพวกมันตามลูกไปให้หมดทุกคนรวมทั้งพ่อเจ้าด้วย”
หลังกลับจากวังหลวงแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็เริ่มวางแผนการโค่นอำนาจฮ่องเต้อย่างเงียบๆ
เมื่อหมอหลวงมาตรวจคุณหนูไป๋
ไป๋เฟิ่งหวงก็บอกเขาว่า “เจ้าต้องบอกพ่อแม่ข้าว่า เจ้ามีทางที่อาจจะรักษาข้าให้หาย แต่ต้องให้ข้าไปหาอาจารย์ที่เร้นกายอยู่ในหุบเขา”