Skip to content

Queen revenge Chapter 9

Chapter 9

เปิดร้านอาหาร

“แม้ไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แต่ข้าก็แข็งแรงขึ้นมากว่าแต่ก่อน” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ ยังคงรักษาสถานะคุณหนูอ่อนแอขี้โรคเอาไว้ก่อน เพราะชาติที่แล้วนางแข็งแกร่งเกินไปจึงเป็นเป้าโจมตีให้ต้องแตกดับ หากจะรักษาตัวให้อยู่รอดก็ต้องแสร้งอ่อนแอเข้าไว้ก่อน ทำตัวเป็นดาบคมในฝักเข้าไว้ อย่าให้ใครเห็นความสามารถที่แท้จริงเด็ดขาด

ฮูหยินปล่อยลูกสาวแล้วก็หันไปทางสามี

“เจ้าแข็งแรงขึ้นก็ดีแล้ว” ไป๋จื่อฮัวยิ้มให้ตบบ่าลูกสาว อยากจะกอดลูกบ้างแต่กระแสบางอย่างจากร่างบางทำให้รู้สึกว่า อย่าได้บังอาจแตะต้องให้เสื่อมเสียแม้แต่น้อย

ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มตอบ “ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”

“ไปเถอะ” ไป๋จื่อฮัวโบกมือ

ไป๋เฟิ่งหวงเดินกลับไปที่เรือนตัวเอง

เซี่ยวซินพอเห็นเจ้านายก็ดีใจ “คุณหนู”

ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มให้แล้วก็เดินเข้าห้องไป นางอยากนอนพักสักหน่อย

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเร็วๆเข้ามา “เฟิ่งหวง เจ้ากลับมาแล้ว”

ไป๋จงถลันเข้าไปกอดน้องสาวอย่างคิดถึง

ไป๋เฟิ่งหวง “…”

ไป๋จงดันน้องออกแล้วก็กวาดตามองไปทั่วร่างบาง “ไม่เจอกันตั้งครึ่งปี เจ้าสูงขึ้น ตัวโตขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญสวยขึ้นด้วย”

เขายังคงพูดต่อว่า “อย่างนี้ อีกหน่อยคงมีเทียบเชิญจากแม่สื่อมาถึงเจ้ามากมายเชียวล่ะ”

ไป๋เฟิ่งหวง “…”

“เป็นอะไรไปเฟิ่งหวง? ไม่พูดไม่จากับพี่เลย” ไป๋จงมองน้องอย่างเป็นห่วง

“ข้าแค่เหนื่อยน่ะ วันนี้เดินทางมาทั้งวัน อยากนอนพักสักหน่อยน่ะ” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ

“อ่อ ถ้างั้นเจ้าก็นอนพักเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว” ไป๋จงลูบหัวน้องแล้วก็ออกจากห้องไป

ไป๋เฟิ่งหวงถอนหายใจแล้วก็เดินไปเอนตัวลงนอนบนเตียง

เซี่ยวซินเห็นคุณหนูนอนก็ปิดประตูให้แล้วก็ออกไปเช็ดๆถูๆอยู่หน้าเรือน

ชายชุดดำซึ่งมาคอยเฝ้าที่บ้านตระกูลไป๋ตามคำสั่งเจ้านาย พอเห็นคุณหนูตระกูลไป๋กลับมาแล้วก็รีบส่งสารกลับไปรายงานเจ้านาย

เช้าตรู่ ระหว่างที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ไป๋เฟิ่งหวงก็พูดกับพ่อว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากเปิดร้านอาหาร”

“หือ?” สายตาสามคู่หันไปมองสาวน้อยเป็นตาเดียว

“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะเปิดร้านอาหาร คิดอะไรเกินตัวไปหรือเปล่าเฟิ่งหวง?” ไป๋จงหัวเราะขำ

“อย่าดูถูกความสามารถของข้าซิ” ไป๋เฟิ่งหวงดุคนเป็นพี่

ไป๋จื่อฮัวครุ่นคิด นางอ่อนแอขี้โรคแบบนี้คงยากที่จะหาคู่ครองที่ดีได้ อีกหน่อยจงเอ๋อร์ก็คงจะแต่งงานไป หากจะให้จงเอ๋อร์เลี้ยงดูน้องไปตลอดชีวิต คงไม่เป็นผลดีกับทั้งจงเอ๋อร์และเฟิ่งหวง หากนางมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้คงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

“ตกลง พ่อจะลงทุนเปิดร้านให้เจ้าเองเฟิ่งหวง”

ไป๋เฟิ่งหวงวางตะเกียบลงคารวะ “ขอบคุณท่านพ่อ”

“จะดีเหรอท่านพี่?” ฮูหยินท้วงอย่างเป็นห่วง

“ดีซิ ดีทั้งกับจงเอ๋อร์แล้วก็เฟิ่งหวง” ไป๋จื่อฮัวบอก “เฟิ่งหวงร่างกายอ่อนแอขี้โรค คงหาคู่ครองดีได้ยาก ใครจะอยากได้หญิงขี้โรคแต่งเข้าตระกูลล่ะ จริงไหม? อีกทั้งวันหน้าจงเอ๋อร์แต่งงานไป หากต้องเลี้ยงดูน้องสาวด้วย สะใภ้อาจไม่พอใจเข้าสักวัน ก็คงมีเรื่องระหองระแหงกันแน่ สู้ให้เฟิ่งหวงมีกิจการเป็นของตัวเอง หาเลี้ยงตัวเองได้นางก็ไม่ต้องพึ่งพาใคร ในเมื่อข้าออกเงินเปิดร้านให้จงเอ๋อร์ได้ ข้าก็ควรจะออกเงินเปิดร้านให้เฟิ่งหวงเช่นกัน”

“ถ้าท่านพี่คิดดีแล้วก็ตามใจท่านพี่เจ้าค่ะ” ฮูหยินเห็นด้วยกับสามี แล้วก็หันไปพูดกับลูกว่า “แล้วเจ้าจะทำไหวเหรอเฟิ่งหวง?”

“ไหวซิท่านแม่ ข้าไม่ได้เข้าครัวทำเองเสียหน่อย มีเสี่ยวเอ้อคอยดูแลแขก ข้าทำหน้าที่แค่เป็นเถ้าแก่เนี้ยคอยเก็บเงินอย่างเดียว” ไป๋เฟิ่งหวงบอกแล้วก็หยิบตะเกียบคีบกับข้าวเข้าปาก

พอท่านพ่ออนุญาตแล้ว คุณหนูตระกูลไป๋ก็เริ่มลงมือ นางเล็งสถานที่ไว้แล้ว รวมทั้งวางผังการตกแต่งร้านไว้แล้วด้วย ทำเลที่ดีที่สุดแพงที่สุดของเมือง

ไม่กี่วันต่อมาไป๋เฟิ่งหวงก็ตกลงเช่าร้านจากคหบดีคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารในย่านการค้าที่แพงที่สุดของเมือง

ไป๋จื่อฮัวรู้ข่าวก็ได้แต่ครุ่นคิด เฟิ่งหวงเอาเงินที่ไหนไปเช่ากันนะ? ต่อให้เป็นเงินเก็บของนางตั้งแต่เด็ก รวมถึงขายของแต่งตัวทั้งหมดของนางก็ยังไม่พอจะเช่าที่ตรงนั้นเลย นางยังไม่ได้มาขอเงินจากเขาสักแดงเลย หรือว่ามีใครร่วมลงทุนกับนางกระมัง หุ้นส่วนคงออกเงินแล้วให้นางคุมร้านแน่ๆ ไม่งั้นเด็กอย่างนางจะกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร

ช่วงนี้ไป๋เฟิ่งหวงออกจากบ้านทุกวัน เซี่ยวซินก็ตามไปคอยดูแลรับใช้ใกล้ชิด ฮูหยินกลัวหนุ่มที่ไหนจะมาเกาะแกะลูกสาวก็สั่งให้บ่าวชายตามไปดูแลด้วยอีกสองคน

ครึ่งเดือนต่อมา ร้านอาหารไป๋เฟิ่งหวงก็เปิดร้าน วันเปิดร้านก็แค่มีเชิดสิงโตกับจุดประทัดเท่านั้น ไป๋เฟิ่งหวงไม่ได้ออกไปต้อนรับแขกสักนิด มีเสี่ยวเอ้อทำหน้าที่อยู่แล้ว คนเก็บเงินก็มี คนครัวก็พร้อม

ลูกค้าได้ยินว่ามีร้านเปิดใหม่ก็อยากจะลองชิมรสชาติอาหารว่าจะอร่อยขนาดไหน แต่พอเห็นราคาอาหารก็ถอยกรูกันไปเพราะราคาแพงกว่าร้านอาหารหรูๆทั่วไปถึงสามเท่าตัว เพราะเป็นสุรารสเลิศ อาหารชั้นดีที่ใครได้กินก็ต้องยอมจ่าย ลูกค้าที่จะมากินอาหารที่ร้านไป๋เฟิ่งหวงจึงมีแต่คนร่ำรวยเท่านั้น แต่เมื่อได้ลิ้มรสชาติอาหารระดับชาววังลูกค้าก็แวะเวียนมาอีกครั้ง

ชั้นล่างเป็นห้องรวม จัดวางโต๊ะเก้าอี้ห่างๆกัน ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนตัว ชั้นสองเป็นห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสุดๆ

ด้านหลังมีเรือนแยกเป็นที่พักเจ้าของร้าน มีเวรยามหนาแน่น

เปิดร้านมาได้ 5 วัน ลูกค้าเต็มทุกโต๊ะจนต้องต่อแถว ทั้งขุนนางทั้งคหบดีผู้มีอันจะกินทั้งหลายต่างก็มารวมตัวดื่มกินกันที่ร้านไป๋เฟิ่งหวง หน้าร้านจะมีเสี่ยวเอ้อร่างสูงใหญ่หลายคนคอยดูแลไม่ให้มีใครกร่างกล้าไม่ต่อแถว

ไป๋จงได้อภิสิทธิ์มีห้องส่วนตัวไว้พาเพื่อนฝูงมาสังสรรค์ ตอนแรกที่น้องสาวคิดเปิดร้านก็ไม่สนับสนุน แต่เมื่อกิจการของน้องเจริญก้าวหน้าเขาก็พลอยได้ยืดอกตาม

ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ในห้อง ตรงหน้ามีอาหารเลิศรสและสุราชั้นดี ทั้งสองคีบอาหารเข้าปาก สายตาก็มองผ่านหน้าต่างลงไปยังชั้นล่างซึ่งมีลูกค้านั่งอยู่เต็มทุกโต๊ะ

“เจ้าคิดว่าไงหวังโหย่ว?” ชายหนุ่มหน้าคมถาม

“อาหารอร่อย สุราดี บริการดี” หวังโหย่วตอบแล้วก็คีบอาหารเข้าปาก พอกลืนเสร็จเขาก็พูดว่า “พ่อครัวร้านนี้ฝีมือไม่ธรรมดา นี่มันอาหารระดับชาววังชัดๆ”

“แล้วไงอีก?”

หวังโหย่ว “…”

“ข้าคิดว่าเจ้าของร้านนี้เป็นคนฉลาดมาก”

“ก็เคยเป็นขุนนางมาก่อนนี่น่าก็ต้องฉลาดเป็นธรรดาอยู่แล้ว จริงไหมจื่อหาน?” หวังโหย่วคีบอาหารเข้าปาก

อวี้จื่อหานคีบอาหารเข้าปากอย่างครุ่นคิด “ว่าแต่เรื่องคุณหนูคนนั้นเจ้าไปสืบได้อะไรมาบ้างล่ะ?”

“นางเป็นลูกสาวตระกูลไป๋ ชื่อไป๋เฟิ่งหวง ร้านนี้ไป๋จื่อฮัวจึงตั้งชื่อตามชื่อนาง อ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่กำเนิด ตระกูลไป๋จึงประคบประหงมนางดั่งไข่ในหิน และเพราะนางขี้โรคจึงยังไม่มีใครส่งเทียบเชิญดูตัว ที่นางหายไปครึ่งปีก็เพราะไปรักษาตัวกับหมอคนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่หายขาด เมื่อวานนางก็มีอาการกำเริบนิดหน่อย” หวังโหย่วรายงานแล้วก็จ้องหน้าคนตรงข้าม “ทำไมเจ้าจึงสนอกสนใจคุณหนูขี้โรคแบบนี้ด้วยล่ะ?”

“ข้าคิดว่านางน่าสนใจดี” อวี้จื่อหานบอกแล้วก็คีบอาหารเข้าปาก

ร้านอาหารไป๋เฟิ่งหวงเปิดยังไม่ทันไร ร้านค้าฝั่งตรงข้ามก็เปลี่ยนมือได้ข่าวว่ากำลังตกแต่งใหม่จะเปิดเป็นบ่อนพนันชั้นสูง เจ้าของใหม่ชื่อหวงเป่ย เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ได้

บ่อนเปิดได้ไม่นาน ร้านข้างๆบ่อนก็มีอันเปลี่ยนเจ้าของไป เจ้าของใหม่ชื่อเซียงต้าเหนียง มาซื้อที่ทางเปิดหอคณิกาชื่อหอหวงหลัน ประวัติเซียงต้าเหนียงลือกันว่านางเคยเป็นอนุภรรยาของขุนนางคนหนึ่งจากเมืองหังโจว พอสามีตายก็ถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ นางจึงระหกระเหินมาตั้งรกรากใหม่ที่เมืองนี้

ส่วนร้านติดกับร้านไป๋เฟิ่งหวงก็เปลี่ยนเจ้าของใหม่ เจ้าของใหม่ชื่อ กั๋วตง ไม่มีใครรู้ประวัติกั๋วตงซึ่งมาเปิดโรงรับจำนำสักคน

พอมีร้านใหม่เปิดขึ้น การค้าก็คึกคักขึ้น โดยเฉพาะร้านไป๋เฟิ่งหวงที่ขายดีขึ้นเพราะหอหวงหลันกับบ่อนหวงเป่ยมาสั่งอาหารไปบริการลูกค้าในร้านตัวเอง

ผ่านไปอีกเดือน ร้านข้างๆร้านไป๋เฟิ่งหวงก็มีคนมาเปิดโรงหมอชื่อซันหลิว หมอซันหลิวเป็นชายตัวเล็ก ใบหน้ามีบาดแผลยาวน่าเกลียดจึงสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไปครึ่งหน้า เห็นแค่ริมฝีปากสีคล้ำเท่านั้น แต่มีฝีมือการรักษาโรคไม่ด้อยกว่าผู้ใด หมอซันหลิวจะเปิดรักษาเฉพาะช่วงบ่ายแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น หากเป็นคนยากจนจะไม่เก็บเงินสักแดง รักษาให้ฟรีๆ ทำให้ทุกวันมีคนมาเข้าแถวรอให้หมอรักษาให้จนแถวยาวเหยียด

นับตั้งแต่กิจการรุ่งเรือง ไป๋เฟิ่งหวงก็แทบจะไม่ได้กลับบ้านตระกูลไป๋ กินนอนอยู่ที่ร้าน เวลาฮูหยินไป๋อยากเจอลูกสาวก็ต้องออกไปหาที่ร้านแทน

“เฟิ่งหวง เหนื่อยไหมลูก?” ฮูหยินไป๋มองลูกสาวด้วยความรัก

ไป๋เฟิ่งหวงมองแม่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ด้วยผ้าที่นางเพิ่งส่งไปให้ก็พอใจ “ท่านใส่ชุดนี้ดูสาวขึ้นไปอีกสิบปี”

“เสื้อผ้าข้าวของอะไรก็ไม่ต้องซื้อเพิ่มให้แม่หรอกเฟิ่งหวง ที่เจ้าซื้อให้คราวก่อนๆก็ยังอยู่เต็มไปหมด แม่อยากให้เจ้ากลับบ้านบ่อยๆมากกว่า” ฮูหยินบอกอย่างไม่คิดอยากมีอยากได้

“งานข้ารัดตัวนัก” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเลี่ยงไปเลี่ยงมา

ฮูหยินมองไปรอบๆ “แม่ดีใจที่เห็นกิจการเจ้าก้าวหน้าใหญ่โต ทีแรกก็ยังกังวลว่าเจ้าจะทำไหวหรือเปล่า? แต่ได้เห็นแบบนี้แล้วแม่ก็โล่งใจ”

ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มรับ ยกชาขึ้นจิบ

“เอาล่ะ แม่คงต้องกลับแล้ว หากว่างก็กลับบ้านไปให้พ่อเจ้าเห็นหน้าบ้างล่ะ” ฮูหยินบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน พลัน นางก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย ยืนเซจนปัดถ้วยชาล้ม เคร้ง!

“ท่านแม่!” ไป๋เฟิ่งหวงตกใจรีบลุกไปประคอง “ท่านเป็นอะไร?”

ฮูหยินรีบบอก “ไม่เป็นอะไร แค่หน้ามืดเท่านั้น”

ไป๋เฟิ่งหวงประคองแม่นั่งลงแล้วก็จับชีพจรตรวจดู แล้วก็ถอนหายใจ “เลือดลมเดินไม่สะดวกเท่านั้น”

ฮูหยินมองลูกอย่างสงสัย “เจ้ารู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ?”

“พอรู้มาบ้าง ท่านหมอหลวงสอนข้า” ไป๋เฟิ่งหวงตอบตามจริงเพียงครึ่งเดียว จริงๆแล้วต้องบอกว่านางเรียนมาพร้อมกับหมอหลวงต่างหาก

“งั้นรึ” ฮูหยินไม่ติดใจอะไรอีก พอรู้สึกว่าดีขึ้นแล้วนางก็ลุกขึ้น

ไป๋เฟิ่งหวงประคองแม่เดินไปส่งขึ้นรถม้า

ฮูหยินก้าวขึ้นรถม้า สายตาก็มองลูกสาวด้วยความรัก

จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไป

ไป๋เฟิ่งหวงเดินกลับเข้าไปในร้าน

ที่ชั้นสองของบ่อนหวงเป่ย อวี้จื่อหานยืนมองคุณหนูตระกูลไป๋จนนางเดินกลับเข้าไปในร้าน เขาจึงหันไปสะกิดหวังโหย่ว

หวังโหย่วทิ้งไพ่ที่อยู่ในมือแล้วก็บอกว่า “แพ้อีกแล้ว เลิกๆๆๆ กลับดีกว่า” เขาลุกขึ้นแล้วก็เดินเคียงคู่กับสหายออกจากบ่อน

ทั้งสองตรงไปยังร้านไป๋เฟิ่งหวง พอเสี่ยวเอ้อเห็นหน้าก็รีบเชิญเข้าร้าน เพราะทั้งสองเป็นแขกประจำของร้านที่จองห้องส่วนตัวตลอดทั้งเดือน

ว่านซิน พอเห็นแขกเข้าร้านก็รีบเดินไปต้อนรับ “เชิญคุณชายทั้งสองเจ้าค่ะ” นางยิ้มให้พวกเขาแล้วก็เดินนำไปที่ห้อง

หวังโหย่วยิ้มตอบด้วยท่าทางเจ้าสำราญ ส่วนอวี้จื่อหานหน้าเฉย เพียงปรายตามองเท่านั้น

พอแขกนั่งลงเรียบร้อยว่านซินก็แนะนำรายการอาหารว่า “วันนี้ทางร้านเราเพิ่งได้สุรารสเลิศสูตรหนานถิงมาเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองสนใจอยากจะลองชิมหรือไม่เจ้าคะ?”

“หือ? สุราจากหนานถิงงั้นรึ เอามาลองสักหน่อยก็เข้าท่านะจื่อหาน” ประโยคหลังหวังโหย่วหันไปถามสหาย

“อืม” อวี้จื่อหานพยักหน้า

“รอสักครู่เจ้าค่ะ” ว่านซินยิ้มรับแขกแล้วก็ถอยออกไปสั่งเสี่ยวเอ้อ

สักพักเสี่ยวเอ้อก็ถือถาดเข้าไป เสี่ยวเอ้อยกไหสุราใบน้อยวางลงบนโต๊ะตามด้วยจอกสุรา เสี่ยวเอ้ออีกคนก็วางโถมีฝาปิดลงบนโต๊ะ แล้วทั้งสองก็เดินออกไป

ว่านซินก้าวเข้าไปรินสุราให้ทั้งสอง นางรินให้หวังโหย่วก่อนเพราะอีกฝ่ายมีท่าทางเป็นมิตรมากกว่าอีกคน แล้วก็รินให้อีกคนหนึ่ง “เชิญเจ้าค่ะคุณชายทั้งสอง” แล้วนางก็เอื้อมมือไปเปิดฝาโถออก

ชายหนุ่มทั้งสองมองสิ่งที่อยู่ในโถแล้วก็ตะลึง

“ขนมหนวดมังกรเจ้าค่ะ” ว่านซินบอกแล้วก็คอยสังเกตท่าทีของคุณชายทั้งสอง

ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองเถ้าแก่เนี้ยเขม็ง

ว่านซินยิ้มแย้มอ่อนหวานแล้วก็ถามว่า “มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย? หรือว่าท่านไม่พอใจขนมเจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เด็กนำอย่างอื่นมาเปลี่ยนให้เจ้าค่ะ”

“ไม่ต้อง ข้าพอใจมาก ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่ใส่ใจ เอาล่ะข้าต้องการความเป็นส่วนตัว” อวี้จื่อหานพูดแล้วก็โบกมือ

ว่านซินคารวะแล้วก็เดินออกไป

หวังโหย่วมองตามเถ้าแก่เนี้ยแล้วก็หันไปจ้องขนมในโถเหมือนเป็นสิ่งอัศจรรย์พันลึก

อวี้จื่อหานมองขนมด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ขนมที่มีเฉพาะในวังหนานถิงมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

หวังโหย่วหยิบขนมกัดกิน พอเคี้ยวหมดเขาก็พูดว่า “รสชาติไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด” แล้วเขาก็ส่งขนมอีกครึ่งอันเข้าปาก

อวี้จื่อหานหยิบขนมมาชิม เพียงสัมผัสแรกที่กัดลงไป ไม่แตกต่างจากที่เคยกิน รสชาติก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปเลยสักนิดเดียว หากจะบอกว่าส่งมาจากวังหนานถิงก็เป็นไปไม่ได้เพราะขนมนี้ต้องทำสดใหม่เท่านั้น เก็บไว้ข้ามวันไม่ได้ แล้วเขาก็ยกสุราขึ้นจิบ ดวงตายาวรีคมเข้มก็ตะลึงอีกรอบ สุรานี่ก็มีเฉพาะในวังหนานถิงเท่านั้น

ร้านไป๋เฟิ่งหวงมีสุราและขนมจากวังหนานถิงได้อย่างไร? ในเมืองหนานถิงไม่มีขายอย่างแน่นอน

เขาสบตาหวังโหย่ว

หวังโหย่วเห็นท่าทางสหายหลังจิบสุราเข้าไปก็ยิ่งสงสัย เขายกสุราจิบบ้าง สมองมีคำถามเกิดขึ้นทันที สุรานี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? “จื่อหานนี่มัน?”

“อืม ไม่ผิด” อวี้จื่อหานพยักหน้า แล้วเขาก็หันไปเรียกเสี่ยวเอ้อ “เสี่ยวเอ้อ”

เสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าห้องก็รีบเปิดประตูเข้าไป “ขอรับคุณชาย”

“ตามเถ้าแก่เนี้ยมาที” อวี้จื่อหานสั่ง

“ขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้

หวังโหย่วหยิบขนมกินอีกชิ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version