101. หยกวิญญาณ
หลังจากเสร็จเรื่องนั้นหวังหลินจ้องสัญลักษณ์บนฝักกระบี่อย่างเคร่งเครียดเขาสร้างผนึกทั้งสองฝ่ามือและปล่อยพลังปราณสีฟ้าออกมาขณะที่พลังปราณสีฟ้าสัมผัสกับฝักกระบี่ เปลวไฟสีฟ้าได้ล้อมรอบมันทันที
มันดูไม่เหมือนว่าเป็นเปลวไฟแม้ว่าจะมีรูปร่างเป็นเปลวไฟแต่มันก็ไม่มีความร้อนความจริงเปลวขณะที่เปลวไฟนี้ปรากฎขึ้นมา อุณหภูมิทั่วทั้งห้องได้ลดลง
หวังหลินไม่แม้แต่กระพริบตาขณะที่เขาควบคุมเปลวไฟเย็นให้ชำระฝักกระบี่เปลวไฟเย็นนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นเองขณะพยายามลอกเลียนเปลวไฟของแกนขั้นแตกหน่อเนื่องด้วยเขาไม่มีใครให้ปรึกษาจึงต้องทำมันระมัดระวังอย่างมาก
หลังจากคิดทฤษฎีอยู่นาน หวังหลินจึงเชื่อว่าเปลวไฟเย็นของเพียงพอให้ชำระฝักกระบี่ได้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามวันก็ผ่านไปเย่จื่อกลับมาถึงพื้นที่ด้านบนสำนักซากศพราวกับอุกาบาทขณะที่เท้าเหยียบบนพื้น ร่างกายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็มาถึงข้างในห้องตัวเองเรียบร้อย เขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับการตกลงกับสำนักมาอีกสามแห่ง
การทดสอบวัดคุณสมบัติในการเข้าร่วมสนามรบต่างแดนคราวก่อนเป็นสำนักมารที่ชนะแต่ตอนนี้มีพั่วหนานจื่อและสำนักซวนต้าวของเขา ดังนั้นผลลัพธ์จึงไม่แน่นอน
คิ้วขมวดแน่นหนาขณะพึมพำ “เจ้ามั่นใจแค่ไหนที่จะสังหารพั่วหนานจื่อ”
น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากร่างเย่จื่อ “แม้ว่าเจ้าเด็กนั่นจะเพียงขั้นผลิดอกระดับกลางมันก็ยังอยู่จุดสูงสุดระดับกลางหากโชคดีคงสามารถทะลวงระดับปลายได้ภายในร้อยปีและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญของแคว้นอันดับสามหากข้ากลืนกินเสร็จสิ้น เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากทำอะไรยุ่งยาก”
เย่จื่อคิดเงียบๆเป็นเวลานาน เขาหยิบเศษหยกออกมา มันเป็นสีเขียวที่แต้มด้วยเลือดกำลังกระพริบไม่หยุด
“ศิษย์ขั้นสร้างลำต้นจากถ้ำที่ 77 ถึง 99 มาที่ถ้ำ 36 โดยด่วน” หลังจากพูดจบเขาครุ่นคิดชั่วครู่และมองไปที่มุมหนึ่งที่เขาผนึกอาไตไว้จากนั้นเขาตัดสินใจได้ วางหยกชิ้นหนึ่งบนหน้าผากตัวเองและโยนมันออกไป
มู่หรงกำลังฝึกฝนอยู่ ขณะนั้นสายตาได้เปิดขึ้นหยกชิ้นหนึ่งในกระเป๋าได้ลอยออกมาด้วยตัวเองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและหยิบมันกลับไป หลังจากนั้นเขาถอนหายใจและพึมพำ “เรื่องดีที่ข้าทะลวงจากระดับแรกไประดับกลางขั้นสร้างลำต้นได้เมื่อสามปีก่อนกระโดดจากถ้ำ 82 ไป 72 ไม่เช่นนั้นชีวิตข้าคงอันตรายมากเวลานี้”
ทันใดนั้นควันสีเขียวปรากฎขึ้นด้านหน้าเขาสร้างเป็นทรูปทรงของเศษหยก
มู่หรงตกตะลึง หลังจากเขาตรวจสอบหยกก็เหยียดยิ้มขึ้น มุ่งหน้าไปถ้ำของหวังหลิน
ไม่นานนักเขาก็มาถึงถ้ำของหวังหลินเมื่อเห็นว่าถ้ำผนึกไว้อยู่เขาจึงกดมือตัวเองหน้าทางเข้าและใช้พลังปราณเพื่อเขย่าถ้ำจากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ท่านบรรพบุรุษบรรพชนรุ่นแรกกำลังรวบรวมเหล่าเซียนขั้นสร้างลำต้นในถ้ำที่ 36 ข้ามาที่นี่เพื่อนำทางท่าน”
หลังจากไม่มีอะไรตอบกลับมา เขาขมวดคิ้วขึ้นหวังหลินดูเหมือนจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเท่าไหร่ทั้งก่อนที่ท่านบรรพชนจะออกไปเย่จื่อได้สั่งให้มู่หรงและเซียนขั้นสร้างลำต้นคนอื่นๆเฝ้าหวังหลินไว้สรุปแล้วหวังหลินราวกับนักโทษ
แต่มู่หรงเป็นคนฉลาด เขาไม่ได้พูดอะไรเสียงดังขณะเดียวกันนั้นถ้ำที่ผนึกอยู่ได้มีเสียงแกร๊กดังขึ้นหวังหลินหน้าตาเหนื่อยอ่อนเดินออกมา
มู่หรงมองหวังหลินและยิ้มขึ้น “ท่านบรรพบุรุษเกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”
หวังหลินไม่ได้ตอบคำถามแต่หยิบหยกสีน้ำเงินเข้มออกมา “น้องมู่ โปรดนำทางเข้าไปถ้ำ 36 เถอะ”
มู่หรงไม่คิดมาก เขาพยักหน้าและเดินนำข้างหน้าหวังหลิน
แสงเยือกเย็นพาดผ่านสายตาหวังหลินขณะที่เขายิ้มขึ้นในใจแม้ว่าเขาจะไม่สามารถชำระล้างฝักกระบี่ได้สำเร็จในสามวันแต่สามารถนำกระบี่เหินเขาไปได้สี่ในห้าส่วนได้นี่ทำให้เพิ่มพลังกับกระบี่เหินของเขาได้อย่างมาก
ทั้งสองเดินผ่านถ้ำหนึ่งไปอีกถ้ำหนึ่งจนเข้ามาในถ้ำขนาดใหญ่ที่มีเสาหินสิบหกต้น บนยอดเสาหินแต่ละต้นมีบอลเปลวไฟสีฟ้าอยู่ด้วย
แสงเหมือนปิศาจจากเปลวไฟสีฟ้าทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าขนลุกมาก
ข้างในถ้ำมีคนยืนอย่างเป็นระเบียบจำนวนยี่สิบคนแต่ละคนมีโลงศพหนึ่งโลงอยู่ด้านหลังพวกเขา โลงศพพวกนั้นมีรูปทรงหลากหลายแต่ทั้งหมดนั้นกลับปลดปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งรุนแรง
หลังจากนำทางหวังหลินมาที่นี่ มู่หรงมองผู้คนตอนนี้ด้วยแววตาซับซ้อน เขาหันกลับและจากไปโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
หวังหลินขมวดคิ้ว เขารู้สึกบางสิ่งผิดปกติที่นี่หลังจากตรวจสอบผู้คนอย่างระมัดระวัง เขายิ่งรอบคอบมากขึ้นเกือบทุกคนที่นี่พึ่งได้ผ่านมาถึงขั้นสร้างลำต้นและทั้งหมดดูเหมือนคนโง่ที่ไม่มีสติปัญญามากนัก
ไม่มีขั้นสร้างลำต้นระดับกลางมากนักในตอนนี้ แต่มีระดับปลายอยู่บ้างมีอยู่สามคนเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกว่าคนอื่นอย่างมากความแตกต่างนั้นราวกับอยู่ระหว่างคนเป็นและคนตาย
รูม่านตาหวังหลินหดแคบลงเมื่อมีควันออกมาจากเปลวไฟทั้งสิบหกนั้นควันได้รวมตัวกันและก่อร่างเป็นเย่จื่อหวังหลินสังเกตได้ว่าหลังจากเขาปรากฎตัวสายตาของทุกคนในถ้ำเต็มไปด้วยความยกย่องสรรเสริญ
สายตาเย่จื่อกวาดผ่านไปทุกคน สายตาเขาหยุดลงที่หวังหลินไม่กี่วินาทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สนามรบต่างแดนที่จะเปิดขึ้นทุกหนึ่งร้อยปีตอนนี้กำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้ได้สิทธิ์การเข้าไปเราอาจจะต้องต่อสู้กับสำนักดั้งเดิมพวกนั้นกฎมีอยู่ว่าเซียนขั้นแตกหน่อและผลิดอกไม่อนุญาตให้เข้าไปได้อีกไม่นานพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องเคลื่อนย้ายไปที่หุบเขาจูหมิง ตู้เฉิน(杜塵 dù chén)จะรับผิดชอบพวกเจ้าที่น่น ตู้เฉินมานี่”
ชายวัยกลางคนสวมชุดสีดำเดินออกมาหวังหลินมองเขาและเห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในสามคนที่อยู่ขั้นสร้างลำต้นระดับปลายที่แทบจะเข้าถึงขั้นแตกหน่อได้แล้ว
“นี่เป็นสิทธิ์ในการเข้าสนามรบต่างแคว้น ถือมันไว้ให้ดีจำไว้ว่าเป้าหมายของการแข่งขันครั้งนี้ก็เพื่อขโมยสิทธิ์ของคนอื่นให้ระวังสำนักมารอีกสามแห่งไว้ใครก็ตามที่สังหารศัตรูได้วิญญาณจะเป็นอิสระ” จบคำเขายื่นป้ายสิทธิ์ออกมาจากนั้นหยิบเศษหยกอีกสามชิ้นออกมาขณะที่จ้องเขม็งไปบนหวังหลินอย่างเยือกเย็น
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะที่เขามองเย่จื่อเงียบๆ
นำเสียงเย่จื่อเป็นปกติขณะพูดอย่างใจเย็น “หยกพวกนี้มีเสี้ยววิญญาณของทุกคนนอกจากเจ้า”
หวังหลินกัดลิ้นตัวเองและหยดเลือดออกไปโดยไร้คำพูดเขาใช้มือขวาแตะหน้าผากตัวเองและแสงสีทองได้ส่องสว่างขึ้นทำให้หยดเลือดที่ออกมานั้นเป็นเลือดสีทอง
วิชาเซียนสำหรับแยกวิญญาณได้ถูกบันทึกในหยกที่เย่จื่อให้เขา
หวังหลินชี้ไปที่หยดเลือดทองมันพุ่งไปข้างหน้าและลงไปบนหนึ่งในหยกบนมือเย่จื่อเย่จื่อตกตะลึงขณะที่เขามองหวังหลินอยู่นั้น ไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะเต็มใจเดิมทีเขาเตรียมที่จะสังหารหวังหลินหากเขาต่อต้านเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่ใช้หวังหลินเป็นหุ่นเชิดหรือเป้าหมายกลืนกินอีกต่อไปนอกจากนั้น นอกจากวิธีฝึกตนอันแปลกประหลาดแล้วพรสวรรค์ของหวังหลินไม่ค่อยดีเท่าคนที่เขาเตรียมไว้แล้วหลายคนที่เขาเตรียมร่างไว้หรือหุ่นเชิดมีพรสวรรค์มากกว่าหวังหลินดังนั้นเขาจึงเลือกอาไตได้ในที่สุด
เมื่อเห็นว่าหวังหลินปฏิบัติตามคำสั่งเย่จื่อมองหวังหลินและโบกมือตัวเอง ถ้ำขนาดยักษ์ได้เปิดขึ้นข้างในนั้นมืดมิดและมีแรงดึงดูดออกมาเย่จื่อโยนหยกทั้งสามที่มีเสี้ยววิญญาณของทุกคนไปที่ตู้เฉินและอีกสองคนสายตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่สังเกตได้ว่าอีกสองคนที่เหลือเป็นเซียนขั้นสร้างลำต้นระดับปลาย
ความสงสัยในใจหวังหลินทวีความรุนแรงขึ้น แต่การแสดงออกของเขาเป็นปกติ หวังหลินจดจำเซียนที่ถือหยกที่มีเสี้ยววิญญาณเขาไว้อย่างละเอียด
เย่จื่อพูดเบาๆ “ไปได้ ข้าจะรอข่าวดี”
ตู้เฉินพยักหน้าอย่างเคารพ เขาเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในถ้ำยักษ์นั้นและหายตัวไป
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เขาไม่ลังเลขณะที่หายตัวไปจากสำนักซากศพ
หลังจากทุกคนจากไป น้ำเสียงแหบพร่าดังก้องในถ้ำขึ้น “เย่จื่อด้วยหุ่นเชิดยี่สิบตนและการสละชีวิตของเด็กพวกนั้นเมื่อหุ่นเชิดได้กลืนกินพวกเขาระดับการฝึกตนจะกระโดดไปที่ขั้นแตกหน่อแบบหลอกๆเวลานี้สำนักซากศพมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว”
เย่จื่อพูดอย่างใจเย็น “พลังงานหยินในหวังหลินนั้นบริสุทธิ์อย่างมากดังนั้นเขาต้องมีความลับบางอย่าง หากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนข้าคงจะใช้เวลาตรวจสอบเขาสักเล็กน้อยแต่ตอนนี้ข้ามีเวลาเหลือเพียงแค่สามเดือนวันที่สนามรบต่างแดนเปิดขึ้นเป็นวันที่ข้าจะตายดังนั้นจึงไม่ได้ทำอะไรมันอีก ตั้งแต่ที่ข้าไม่ได้ใช้ร่างเขาอาจจะนำร่างมันไปเป็นอาหารให้กับหุ่นเชิดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งดีกว่า”
“หลัวซา ข้าจะให้เจ้าเพิ่มระดับฝึกตนอาไตไปถึงขั้นแตกหน่อเมื่อสนามรบต่างแดนเปิดขึ้น หาหุ่นเชิดดีดีให้ข้าหน่อยเมื่อข้ากลับมาจะเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อช่วยท่านจื่อกลืนศิษย์น้องหวูอวี่ของข้าเอง”
น้ำเสียงแหบพร่าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและตกลง
หุบเขาจูหมิงตั้งอยู่ปลายแดนทางใต้แคว้นจ้าว หุบเขานี้มีขนาดใหญ่มากมันเต็มไปด้วยป่าไม้และแม่น้ำสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่แข่งขันเพื่อเข้าร่วมสนามรบต่างแดนพื้นที่นี้จึงปกคลุมไปด้วยหมอกตลอดทั้งปี
ขณะนี้ในพื้นที่ทางเหนือของหุบเขา มีประตูขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นพร้อมด้วยเซียนที่มีโลงศพด้านหลังลอยออกมาทีละคน
หลังจากคนสุดท้ายออกมา ประตูขนาดใหญ่กลายเป็นจุดแสงสีทองและค่อยๆหายไป
ขณะเดียวกัน เซียนขั้นสร้างลำต้นระดับปลายทั้งสามคนได้ทำลายหยกที่มีเสี้ยววิญญาณเป็นผุยผง!