Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1053

Cover Renegade Immortal 1

1053. เหงื่อเย็นของปรมาจารย์ชีกง

ยามที่เสียงหัวเราะดังขึ้นมา หวังหลินเห็นคนหัวโล้นเดินออกมาจากความว่างเปล่าและพุ่งมาที่นี่

‘เป้ยหลัว!’ หวังหลินดวงตาสว่างวาบ

“ศิษย์ของฉิงหลินเยี่ยมยอดจริงๆถึงกับกักขังปิศาจไว้ในกฏเกณฑ์!” เป้ยหลัวก้าวเข้ามาและสังเกตเห็นหวังหลิน เผยท่าทีประหลาดใจ

“เจ้าก็มาถึงนี่ได้ด้วย!”

ในแววตาหวังหลินกระพริบความหนาวเย็น พ่นลมหายใจและก้าวไปข้างหน้า ฝ่ามือขวาสร้างผนึกปรากฏม่านวารียิงใส่เป้ยหลัว

ฮู่จวนก้าวเข้าไปในกฏเกณฑ์ด้านข้างและกัดปลายนิ้ว นางวาดอักขระรูนประหลาดในอากาศ ปลดปล่อยคลื่นแสงชั่วร้าย

ชั่วขณะนั้นกฏเกณฑ์ทั้งหมดในชั้นที่หกของถ้ำคล้ายกับมีชีวิตและเรืองแสงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ราวกัยทั้งหมดถูกกระตุ้นในคราเดียว พวกมันพุ่งออกมาจากทุกทิศทางและตรงเข้าใส่ปิศาจโบราณเป้ยหลัว

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยกฏเกณฑ์ เมื่อฮู่จวนชี้ออกไป กฏเกณฑ์ทั้งหมดจึงรวบรวมเข้าหากัน

เป้ยหลัวกดฝ่ามือไปด้านข้าง กระตุ้นพลังปิศาจมหาศาลออกมาก่อตัวเป็นพายุพลังปิศาจ

“ข้าไม่ได้ต้องการสู้กับเจ้าสองคน พวกเจ้าอยากช่วยฉิงหลิน ส่วนข้าอยากฆ่าปิศาจโบราณต้าเจีย แม้เป้าหมายของเราจะต่างกัน เรายังพอร่วมงานกันได้ ข้ากลัวว่าแค่เจ้าสองคนคงไม่แข็งแกร่งพอจะเปิดผนึกที่ต้าเจียวางไว้หรอก มีข้าด้วยโอกาสในการทำลายมันจะสูงขึ้นกว่านี้!” เป้ยหลัวอยู่ในพายุ พลังปิศาจหมุนอยู่รอบตัว น้ำเสียงถูกพายุบิดเบือนและเมื่อมันถึงหูทุกคนจะทำให้สั่นสะท้าน

หวังหลินบาดเจ็บอยู่แล้วดังนั้นใบหน้าจึงซีดเผือดทันที หยิบเม็ดยาขึ้นมาหลายเม็ดและโยนเข้าไปในปาก โคจรพลังดั้งเดิมในร่างโดยไม่รอให้มันย่อย

“ข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร? หากเราต่อสู้กัน เจ้าก็ไม่สามารถช่วยจักรพรรดิเทพได้และข้าก็ไม่สามารถฆ่าต้าเจียได้ ท้ายที่สุดเราจะกลายเป็นฝ่ายให้มันมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!” น้ำเสียงเป้ยหลัวเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย เหตุผลที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะเกรงกลัวหวังเว่ยและฮู่จวนตอนที่ทั้งสองร่รวมมือกัน ฮู่จวนควบคุมกฏเกณฑ์ทั้งหมดที่นี่ ตอนที่เป้ยหลัวออกมาจากสระฝังเทพ เขาก็เจอทั้งสองที่ชั้นสี่ไปแล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสังการกันได้ แต่เพราะมีฮู่จวน เป้ยหลัวจึงถูกขังไว้หลายเดือน

เขามาที่นี่ไม่ได้เพื่อต่อสู้ แต่เพื่อร่วมมือกัน

ฮู่จวนดวงตาส่องสว่างและมองไปยังหวังเว่ยผู้เป็นที่รัก ส่วนหวังเว่ยจ้องเป้ยหลัว สายตาเย็นเยียบค่อยๆหายไป โบกสะบัดแขนทำให้ม่านวารีเลือนหาย “ตกลง!”

เป้ยหลัวผ่อนคลายในใจเล็กน้อยและร่อนลงสู่พื้นแต่ก็รักษาระยะห่างจากคู่รักสองคน สายตากวาดไปหาหวังหลินและหัวเราะ “น้องหวัง ระดับบ่มเพาะเจ้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ข้าไม่คาดคิดอีกแล้ว แต่หากเจ้าไม่รักษาอาการบาดเจ็บให้เร็ววันมันจะกระทบการบ่มเพาะเจ้าในอนาคต ช่างมันเถอะ ในเมื่อข้าสามารถมาที่นี่ได้เพราะเจ้า ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นปล่อยให้ข้ามาเข้ามาอีกแล้ว”

“แม้ข้ามีเม็ดยาช่วย แต่อาการบาดเจ็บเจ้าต้องถูกคนอื่นทำร้ายมา บอกชื่อมันมา ข้าจะไปสังหารมันเพื่อตอบแทนความกตัญญูของเจ้าเอง”

หวังหลินใบหน้าเย็นเยียบ ด้วยความฉลาดเฉลียวเขาจะไม่เห็นคำเชิญและคำพูดยั่วจากประโยคของเป้ยหลัวได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเป้ยหลัวประหลาดในที่หวังหลินมาที่นี่ได้และไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและคู่รักเซียนเทพเมฆา หวังหลินเผยรอยยิ้มบางและคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณมากท่านปิศาจโบราณ หากคนที่ทำให้ข้าบาดเจ็บปรากฏตัวขึ้น ข้าจะบอกท่าน โปรดอย่ากลับคำสัญญาเสียเล่า!”

เป้ยหลัวหัวเราะ เขาไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก

ตอนนี้หวังหลินจึงไม่สะดวกที่ะจะเอาร่างฉิงซวงออกมา หวังเว่ยหยิบเม็ดยาหนึ่งห่อด้วยขี้ผึ้งเขียว ยื่นส่งให้หวังหลินด้วยสายตารำลึก

“เม็ดยาสีเขียวนี้อาจารย์มอบให้ข้า ไม่ว่าเจ้าจะบ่มเพาะปราณสวรรค์หรือพลังดั้งเดิม ตราบใดที่มันเป็นพลังงานในโลกนี้ อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเจ้าก็จะหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากกินมัน ข้าไม่เหลือมากนัก เจ้าจะกินมันตอนนี้หรือเก็บไว้ทีหลังก็ได้” เมื่อหวังเว่ยเอ่ยขึ้น เขามอบเป้ยหลัวอย่างเย็นเยียบ เขาเหลืออยู่ทั้งหมดสามเม็ดเท่านั้น หนึ่งอยู่กับฮู่จวนและอยู่กับเขาสองเม็ด

ตอนที่เป้ยหลัวเห็นขี้ผึ้งเขียว ในแววตาเผยความโลภเนื่องจากคุ้นเคยกับมัน ตอนที่เขาและปิศาจโบราณต้าเจียลอบโจมตีฉิงหลิน แม้ฉิงหลินจะบาดเจ็บสาหัส เม็ดยาก็ยังมีผลลัพธ์อยู่หลายส่วน

ซึ่งมันทำให้ฉิงหลินต้านทานได้มากขึ้นและเป็นเหตุผลว่าทำไมปิศาจโบราณถึงได้ล้มเหลว

‘การมอบเม็ดยานี้ให้หมายความว่าพวกเขามีความใกล้ชิดกับหวังหลินเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีเหลืออยู่น้อยนิด…แม้ข้าจะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ หากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นจริงๆมันก็จะเป็นปัญหา’ เป้ยหลัวถอนสายตาออกจากเม็ดยา

หวังหลินถือเม็ดยาไว้ ไม่ได้กินมันทันทีแต่เก็บไว้ในกระเป๋า ทั้งหมดเคลื่อนเข้าหาหมอกมืดในใจกลางชั้นที่หกภายใต้การชี้นำของฮู่จวน

โ7วยี่ยังคงลอยอยู่ข้างหวังหลิน หวังหลินอ่อนแอมากและจำเป็นต้องมีคนอารักขา ดังนั้นโจวยี่จึงไม่จากไปไหนง่ายๆ

ในไม่นานหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทั้งกลุ่ม เป้ยหลัวมองหมอกสีดำด้วยสายตาเกลียดชัง หากไม่ใช่ว่าเขาล้มเหลว เช่นนั้นปิศาจโบราณต้าเจียคงไม่ยึดโอกาสนั้นไป

‘อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก ฉิงหลินจะจัดการง่ายๆได้อย่างไร? ต้าเจียต้องไม่สำเร็จ ไม่งั้นคงจากที่นี่ไปนานแล้ว’

หลังจากก้าวเข้าไปในปราสาท หวังหลินเห็นแผ่นจารึกเห็นบนพื้นทันที มันมีขนาดสูงยี่ยสิบฟุตและมีประทับฝ่ามืออยู่บนนั้นเพียงอย่างเดียว

หวังเว่ยมองเป้ยหลัว “สามชั้นสุดท้ายคือห้องลับของอาจารย์ ข้าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมากแค่ไหนเข้าสู่สถานที่พวกนั้น เราควรรอให้คนอื่นมาถึงเพื่อให้มีโอกาสสูงมากขึ้น! หวังหลินจงใช้เวลาฟื้นฟูที่มีค่านี้เพื่อให้มีพลังปกป้องตัวเอง”

ดวงตาหวังหลินหรี่แคบลง เขายังไม่สามารถมองทะลุคู่รักเซียนเทพเมฆาได้ ทั้งสองไม่ได้ร้อนใจจะเข้าไปและต้องการรอให้คนอื่นมาถึงจริงๆ

ส่วนปิศาจโบราณเป้ยหลัวไม่ได้ถามอะไรเลย ราวกับมีความคิดแบบเดียวกัน

“ไม่ต้องคิดอะไรมากและเพ่งสมาธิกับการฟื้นฟูเท่านั้น ข้ามองออกว่าสองคนนั้นประหลาดแต่ไม่ได้ทำอันตรายเรา” โจวยี่อยู่ข้างหวังหลินและส่งข้อความผ่านวิธีพิเศษที่มีแต่จิตวิญญาณกระบี่สามารถใช้ได้

หวังหลินก้มศีรษะลงและดวงตาส่องสว่าง เขานั่งลงแต่ไม่ได้นำเม็ดยาสีเขียวออกมา แต่กลับนำเม็ดยาอื่นออกมาแทนและกลืนกินไปทีละเม็ด จากนั้นหลับตาและเพ่งสมาธิไปกับการฟื้นฟู

แม้กำลังฟื้นฟูอยู่แต่ไม่ได้ผนึกสัมผัสวิญญาณ ถึงจะกระทบต่อการฟื้นฟู เขายังต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียวผ่านไปเจ็ดวัน ในช่วงระยะเวลานี้หวังเว่ยและฮู่จวนนั่งลงราวกับกำลังบ่มเพาะ ปิศาจโบราณเป้ยหลัวทำเช่นเดียวกัน

หวังหลินพ่นอากาศเหม็นออกจากปาก อาการบาดเจ็บฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อยแต่อันตรายที่ซ่อนเอาไว้ยังอยู่ที่เดิม โชคดีที่มีเม็ดยาฟื้นฟูเพียงพอให้กลับมาเต็มที่ หวังหลินจึงนำเม็ดยาออกมามากขึ้นและกลืนกินลงไป

อย่างไรสัมผัสวิญญาณก็ยังแพร่กระจายออกมาและจับจ้องออกไปทางเข้า เขายังรอคอย รอคอยการมาถึงของปรมาจารย์ชีกง เขาเชื่อว่ากลุ่มของปรมาจารย์ชีกงจะมาเป็นกลุ่มแรก

ในห้องโถงเวลาผ่านไปจนกาลนานจนลืมวันเวลาได้ง่ายๆ อาการหวังหลินค่อยๆฟื้นตัวขึ้นตามลำดับเนื่องจากเม็ดยาจำนวนมาก วันนี้เป็นวันที่ 27 แล้วตั้งแต่ที่เขาเริ่มรอคอยในห้องโถง

จนถึงเวลาเที่ยงวัน หวังเว่ยและฮู่จวนลืมตาขึ้นมองออกไปตรงประตู ปิศาจโบราณเป้ยหลัวก้าวเร็วกว่าหนึ่งก้าวมองออกไปก่อน

สัมผัสวิญญาณของหวังหลินมีความผันผวนผุดออกมา ยามที่ลืมตาขึ้นจึงพลันเห็นแสงลึกลับตรงประตู

คนผู้หนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาในห้องโถง เป็นสตรีนางหนึ่งล้อมรอบด้วยเกล็ดหิมะ มันเต้นระบำรอบตัวนางและดูสวยงามยิ่งนัก

‘นั่นนาง!’ หวังหลินถอนสายตา คนแรกที่มาถึงไม่ใช่กลุ่มสามคนของปรมาจารย์ชีกงแต่เป็นสตรีชุดชมพูที่คาดว่าเป็นเซียนสตรีฟ้ากระจ่าง

นางใบหน้าสงบนิ่ง แววตาสวยงามกวาดผ่านห้องโถงและมองไปยังหวังหลินเป็นการเฉพาะ นางไม่ได้เอ่ยออกมาแต่เจอมุมหนึ่งและนั่งลงไป

หลังจากนางนั่งลงไม่เกินเจ็ดนาที หวังหลินสัมผัสความผันผวนออกมาจากห้องโถงอีกครั้ง เขามองออกไปและเห็นสามคนเดินเข้ามาในห้องโถง!

ปรมาจารย์ชีกง สตรีคนสวยและชายชุดดำ

เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในห้องโถง ทั้งหมดจึงถูกจับสายตา ปรมาจารย์ชีกงสังเกตหวังหินได้ทันที จิตสังหารแล่นผ่านแววตาอย่างรุนแรง

เมื่อเขาเห็นหวังหลินก็เป็นตอนที่หวังหลินเห็นเขา หวังหลินสายตาเย็นเยียบและเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ท่านปิศาจโบราณ เขาคือคนที่ทำให้ข้าบาดเจ็บ!”

ขณะหวังหลินเอ่ยขึ้นมา หวังเว่ยและฮู่จวนหันสายตาไปจ้องปรมาจารย์ชีกง แม้แต่เป้ยหลัวก็มองไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม

โจวยี่กระพริบแววตาจิตสังหารพลางลอยเข้าไปข้างหน้าเพื่อประชิดปรมาจารย์ชีกง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันได้ทำให้ปรมาจารย์ชีกงต้องสูดลมหายใจเย็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบปกคลุมหน้าผาก หัวใจเต้นกระดอน ไม่รู้ว่าหวังหลินทำอะไรลงไปในช่วงเวลาไม่กี่เดือนถึงกับทำให้คนพวกนี้มาช่วยเขา!

คู่รักเซียนเทพเมฆาและชายหัวล้านได้ทำให้เขารู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัวอย่างที่สุด ทว่าตอนนี้เขาเองก็บาดเจ็บสาหัสและวิญญาณดั้งเดิมหายไปครึ่งส่วน ระดับบ่มเพาะตกลงจากขั้นทลายสวรรค์สูงสุดมาอยูที่ขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง

เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือล่าถอย ถูกทุกคนในห้องโถงจับจ้องราวกับการเคลื่อนไหวอันใดจะทำให้คนที่นี่โจมตีเขาทันที

“ข้าคือปรมาจารย์ชีกงแห่งกลุ่มผู้อาวุโสพันธมิตรเซียน เป็นน้องของหัวหน้าผู้อาวุโสจงซวน นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” ปรมาจารย์ชีกงบังคับตัวเองให้สงบลงและนำชื่อเสียงของพันธมิตรเซียนออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version