Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1094

Cover Renegade Immortal 1

1094. เข้าใจผิด

จิตใจของลี่หยุนจื่อยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเล็กน้อยจากจักรพรรดิคนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาสังเกตเห็นว่าสายตาของผู้อาวุโสสี่คนที่มองเขาได้เปลี่ยนไป

ชายชุดเกราะมองลี่หยุนจื่อและเริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะยิ่งดังมากขึ้น พลังดั้งเดิมภายในห้องโถงเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว

ทั้งห้องโถงได้รับผลกระทบไปด้วย ลำแสงเส้นโค้งเคลื่อนไปพร้อมกับพลังดั้งเดิมจนสร้างเป็นเสียงปะทุ

ลี่หยุนจื่อความคิดสั่นไหว เขายืนขึ้นและก้าวถอย จ้องมองชายสวมเกราะและเอ่ยออกมา “ท่านจักรพรรดิหมายความว่าอะไร? ถ้าหากหวังหลิน…”

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ พลันถูกขัดจังหวะ

ชายชุดเกราะค่อยๆเอ่ยออกมา “ข้าได้ยินว่าหวังหลินนั้นเป็นเทพสายฟ้าของฝ่ายทุกชั้นฟ้า เป็นเจ้าที่ต้องการเขา หรือว่าอารามเทพอัสนีที่ต้องการเขา?”

ลี่หยุนจื่อขมวดคิ้ว “แม้เขาจะเป็นเทพสายฟ้าของฝ่ายทุกชั้นฟ้า ตำแหน่งเขาได้ถูกถอนออกไปแล้ว…” ลี่หยุนจื่อมองชายสวมเกราะ “แม้ข้าจะมาที่นี่เพื่อถามหาเขา มันก็เป็นความต้องการของอารามเทพอัสนีด้วยเช่นกัน”

ชายชุดเกราะมองลี่หยุนจื่อและเอ่ยขึ้นมา “งั้นหรือ? ข้าสงสัยว่าหวังหลินคนนี้มีปัญหาอะไรกับเจ้าและฝ่ายทุกชั้นฟ้า”

ภายในจิตใจลี่หยุนจื่อยิ่งไม่สบายหนักเข้าไปใหญ่ หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นมา “เขามีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับอารามเทพอัสนี แต่ไม่สะดวกที่จะเอ่ยออกมาทีละข้อ สำหรับข้าแล้วเขาได้นำสมบัติสำคัญของตระกูลข้าไป ข้าจึงต้องฟื้นฟูมันกลับมา”

“เช่นนั้นเหตุผลที่เจ้าต้องการหวังหลินก็พอเข้าใจได้” ชายชุดเกราะพยักหน้า แต่สี่ผู้อาวุโสรอบตัวเผยท่าทีประหลาดแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

“ข้าหวังว่าท่านจักรพรรดิศักดิ์จะยอมรับคำขอของข้า นอกจากนั้นฝ่ายทุกชั้นฟ้าและสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ก็มีศัตรูร่วมกันคือฝ่ายพันธมิตรเซียน!” ลี่หยุนจื่อผ่อนคลายเล็กน้อย แม้เขาจะโอหังแต่ไม่กล้าไปขัดใจสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ แม้สำนักนี้จะเคยตกต่ำแต่พื้นหลังหยั่งรากลึก กระทั่งฝ่ายทุกชั้นฟ้ายังหวาดกลัว

“เจ้าพูดว่าหวังหลินนำสมบัติสำคัญของตระกูลจางไป ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” ทันใดนั้นคำถามของชายสวมเกราะได้ทำให้ลี่หยุนจื่อตกตะลึง

ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง ชายสวมเกราะยืนขึ้น วางแขนเหนือหมวกเกราะ น้ำเสียงมืดมนดังออกมาจากข้างใน

“เจ้าต้องการหวังหลิน…ลี่หยุนจื่อ ดูสิว่าข้าเป็นใคร!” วินาทีนั้นหมวกเกราะที่ปกคลุมใบหน้าพลันหายไปเป็นระลอกคลื่น เผยออกมาเป็นหวังหลิน!

“เจ้า!! หวังหลิน!!!” แม้ลี่หยุนจื่อจะมีจิตใจแข็งแกร่งแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ตกตะลึงและไม่เชื่อสายตาตนเอง ทั้งยังก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงได้อย่างไร!? เป็นไปไม่ได้!” ลี่หยุนจื่อตกตะลึงจนลืมหายใจ รูม่านตาแคบลง เขาไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ในความคิดเขาหวังหลินเป็นแค่มดแมลงที่สามารถบดขยี้ได้ทุกเมื่อ

ความแตกต่างใหญ่หลวงนี้เกินกว่าความเชื่อของลี่หยุนจื่อ เขาจ้องมองหวังหลินแต่ก็ตกตะลึงและหวาดกลังยิ่งกว่าเดิม

หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสด้านข้างหวังหลินก้าวเดินออกมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมืดมน “เจ้ากล้าดีอย่างไร! แม้เจ้าจะเป็นตัวแทนของอารามเทพอัสนีแห่งฝ่ายทุกชั้นฟ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินจักรพรรดิวิหคเพลิง!”

ด้วยก้าวนั้น แรงกดดันของเซียนขั้นทลายสวรรค์แพร่กระจายออกมาพุ่งใส่ลี่หยุนจื่อ!

ลี่หยุนจื่อตกตะลึงไปแล้วและเมื่อแรงกดดันบดขยี้ลงใส่ เขากระอักโลหิต ถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าซีดเผือดและถูกบังคับให้ยอมรับความจริงตรงหน้า

“เจ้า…”

“ลี่หยุนจื่อ เจ้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่ายทุกชั้นเข้าร่วมยินดีกับข้าในการเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือมาที่นี่เพื่อร้องขอต่อจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าอับอาย? นี่มันไร้สาระ!” หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เรื่องนี้ข้าจะส่งคนไปที่อารามเทพอัสนีเพื่อถามปรมาจารย์จงเฉิน ลี่หยุนจื่อวันนี้เจ้าไม่สามารถออกไปจากสำนักวิหคเพลิงได้เว้นแต่จะอธิบายให้ข้าพอใจ พรุ่งนี้ฝ่ายทุกชั้นฟ้าของเจ้าจะต้องชำระ!”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าที่ทำให้มันยุ่งยาก สหายเซียนโม่จื่อจากแคว้นฉิงหยุนสามารถเป็นพยานได้!” หวังหลินไม่แม้แต่จะให้โอกาสลี่หยุนจื่อ เขาจัดการรวดเร็วเหมือนสายฟ้า!

ความคิดลี่หยุนจื่อยังอยู่ในอาการตกใจ และคำพูดพวกนั้นทำให้เขาถึงกระอักโลหิต ใบหน้าซีดเซียวและกำลังจะพูดขึ้นแต่โม่จื่อชิงพูดก่อน

“ข้าเป็นพยานได้ว่าลี่หยุนจื่อไร้เหตุผลก่อนและร้องขอต่อท่านจักรพรรดิวิหคเพลิง! คำพูดข้านับเป็นตัวแทนของแคว้นฉิงหยุน!”

ดวงตาของสตรีคนสวยจากสำนักซากศพพลันส่องสว่างขึ้นและเผยรอยยิ้ม “เมื่อผู้น้อยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ข้าเป็นผยานได้ว่าคำขอของผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อช่างน่าบัดซบจริงๆ”

ลี่หยุนจื่อไม่สามารถหายใจได้ทันก่อนจะได้ยินคำพูดโม่จื่อและหญิงสาวจากสำนักซากศพ เขากระอักโลหิตอีก จากนั้นหันศีรษะขึ้นไปจ้องมองหวังหลิน

หวังหลินเยาะเย้ยและนั่งลงอีกครั้ง ยกแขนขวาขึ้นมาราวกับกำลังสำรวจเล็บตนเอง ไม่ให้ความสนใจลี่หยุนจื่เลย ที่นี่คือสำนักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นลี่หยุนจื่อไม่สามาหนีรอดจากกำมือเขาไปได้

หากคนตรงหน้าไม่มีคำขอโง่เง่าเช่นนี้ หวังหลินคงไม่ทำลงไป แต่ตอนนี้เขาต้องสั่งสอนบทเรียนแก่หลี่หยุนจื่อ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นแม้กระทั่งสี่ผู้อาวุโสด้านหลังยังจ้องหลี่หยุนจื่อด้วยแววตาเย็นเยียบ

รอบด้านเงียบสนิท โม่จื่อมองหวังหลินและรู้สึกทุกข์ใจ ไม่คาดคิดว่าสหายเก่าที่อาจารย์พูดถึงจะเป็นหวังหลิน

เมื่อคิดกลับไปตอนที่เจอกันครั้งแรกบนดาวซูซาคุ มันเป็นคืนฝนพรำในอารามแห่งหนึ่ง ณ เวลานั้นคนผู้นี้พึ่งจะได้รับเขตแดนและพึ่งบรรลุขั้นตัดวิญญาณ แต่ค่ำคืนแห่งการค้นหาเต๋าได้ทำให้โม่จื่อจดจำหวังหลินได้

สตรีคนสวยจากสำนักซากศพไม่พูดอะไรเช่นกัน นางมองลี่หยุนจื่อด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มแต่ราวกับนางกำลังชมการแสดง

เหงื่อเม็ดโป้งผุดออกมาจากหน้าผากลี่หยุนจื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจหนีออกไปจากสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ด้วยระดับบ่มเพาะของตนเองได้ หวังหลินนำอารามเทพอัสนีเข้ามาเกี่ยวด้วยเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไป นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเขาอีกแล้วแต่เป็นทั้งอารามเทพอัสนีกำลังสบประมาทจักรพรรดิวิหคเพลิง!

นี่เป็นขั้วตรงข้ามกับเจตนาดั้งเดิมของฝ่ายทุกชั้นฟ้าอย่างชัดเจน

“ข้าวู่วามเกินไปแต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่ายทุกชั้นฟ้า!” หลังผ่านไปสักพัก ลี่หยุนจื่อเผยสีหน้าขมขื่น แม้เขาจะไม่ยินยอมแต่ก็ยังต้องคำนับมือแก่หวังหลินและอธิบาย

ความโกรธในใจเขามากพอจะเผาทั้งโลกได้ ความอับอายขายขี้หน้ามีมากพอจะกลืนกินทั้งจิตใจ ตอนนั้นหวังหลินต้องเคารพเขาและต้องเฝ้าดูอารมณ์เขา ไม่เช่นนั้นเขาสามารถฆ่าหวังหลินได้ง่ายๆ

แม้แต่ครั้งล่าสุดที่เจอกัน หวังหลินยังต้องระมัดระวังและต้องสังเกตม้วนคัมภีร์รบทันทีที่ถูกเรียกออกมา

หวังหลินไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามา ลี่หยุนจื่อรู้เรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด เขากำลังวางแผนกดดันให้สำรวจม้วนคัมภีร์รบอย่างต่อเนื่อง

ถ้าไม่ใช่เพราะฉิงชุ่ย หวังหลินคงกลายเป็นหุ่นเชิดเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องทนทุกข์กับความอับอายขายขี้หน้าในการโค้งตัวต่อหวังหลิน ความอับอายต่อการอธิบายิ่งที่เขาพูดไป แล้วเขาจะทนมันได้อย่างไร?

แต่หากไม่อดทน เขาคงตายในสำนักวิหคเพลิงโดยไม่ต้องสงสัย!

สบประมาทจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์…แค่คำพูดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่สามารถออกไปจากสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว…

หวังหลินแกล้งไม่ได้ยินคำพูดของลี่หยุนจื่อและสังเกตแขนขวาต่อไป

ลี่หยุนจื่อระงับความโกรธในใจจนเส้นเลือดปูดโปน เมื่อมองผู้อาวุโสขั้นทลายสวรรค์สี่คนรอบตัวหวังหลิน ความคิดสั่นเทา และบีบคั้นความเคารพนับถือพลางเอ่ยออกมา “ข้าหวังว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะไม่ใส่ใจกับความเข้าใจผิดของข้า ข้าวู่วามไปจริงๆแต่ข้าไม่ได้หมายถึงการลบหลู่…”

หวังหลินมองแขนขวาและเอ่ยขึ้นมา “วู่วามงั้นรึ! ข้าถามเจ้าก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเจ้าเองหรือของฝ่ายทุกชั้นฟ้า! ข้ายังจำคำตอบของเจ้าได้ชัดเจน สงสัยเหลือเกินว่าข้าไปเก็บอะไรของอารามเทพอัสนีเอาไว้”

“เจ้า!” ลี่หยุนจื่อเงยศีรษะขึ้นระงับความโกรธที่กำลังระเบิด นาทีนั้นเขาไม่กล้าจะโกรธแล้ว…หากสตรีจากสำนักซากศพและโม่จื่อไม่อยู่ที่นี่ เขาคงออกไปแล้ว แม้คิดว่าคงจะตาย แต่ฝ่ายทุกชั้นฟ้าคงแก้แค้นให้เขา

แต่มีพยานอยู่ที่นี่ กระทั่งฝ่ายทุกชั้นฟ้าเองก็คงไม่ยอมเริ่มสงครามกับฝ่ายพันธมิตรเซียนและสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ด้วยคำขอบัดซบนี้แน่

สายตาหวังหลินหันมามองเขาด้วยสีหน้ามืดมนยิ่ง ลี่หยุนจื่อรู้ว่าถ้าเขาไม่ระงับความโกรธของตนเองเอาไว้ เขาคงถูกสังหารทันที

“ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้…เรื่องนี้ข้าผิดไปแล้ว!” ลี่หยุนจื่อกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทา ตั้งแต่เริ่มฝึกเซียนมา เขาไม่เคยอับอายขายขี้หน้าแบบนี้มาก่อน!

หวังหลินลดแขนลงจ้องมองลี่หยุนจื่อ เอ่ยขึ้นมาทีละคำ “ข้าต้องการม้วนคัมภีร์รบทั้งหมดของตระกูลจางของเจ้า! ส่งมันมาให้ข้าและข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไป! ข้าให้เวลาเจ้าคิดสิบห้านาที”

หลังเอ่ยจบ เขาโบกแขนขวาออกมา พลังอัคคีดั้งเดิมรวมกันตรงหน้าก่อเกิดเป็นก้านธูปลอยอยู่ในอากาศ

ธูปเผาไหม้ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

จิตใจของลี่หยุนจื่อกำลังดิ้นรน เมื่อเห็นว่าธูปใกล้จะไหม้จนหมด เขารู้เลยว่าเวลาของตนเองใกล้จะหมดสิ้นแล้ว แรงกดดันที่มองไม่เห็นล้อมรอบร่างกาย ใบหน้าดูขมขื่นมากขึ้นพลางพยักหน้า

เขายื่นแขนขวาออกไปปรากฏรอยร้าว ม้วนคัมภีร์สามเล่มลอยออกมาจากรอยร้าว เจตนาต่อสู้อันเข้มข้นโผล่ออกมาจากคัมภีร์และล้อมรอบบริเวณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version