Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1115

Cover Renegade Immortal 1

1115. หวังหลิน เจ้า…

เมื่อคนของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดจากไปแล้ว หวังหลินยังคงยืนอยู่เงียบๆบนแท่น การพังทลายของแดนสวรรค์พิรุณดังสะท้อนในหู แต่เมื่อเทียบกับอารมณ์ความรู้สึกในใจเขาแล้ว เสียงพวกนั้นเบามาก

การช่วยจักรพรรดิมังกรฟ้าคือวิธีทางในการชดใช้หนี้ที่มีต่อจักรพรรดิวิหคเพลิง ทำให้สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ได้เซียนที่แข็งแกร่งกลับมา

นอกจากผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คน ไม่มีใครในสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพเขาเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พวกเขาเห็นว่าเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น บางทีเด็กน้อยในสำนักยังเคารพมากกว่าอีก

หากหวังหลินมีเวลาเพียงพอ เขาสามารถเปลี่ยนปรากฏการณ์นี้อย่างช้าๆได้ แต่เนื่องจากหวังหลินรู้สึกไม่สบายใจจากต้าเสิน เขาจึงไม่มีเวลามากนัก หากชักช้ามากเกินไปคงทำให้สำนักวิหคเพลิงย่ำแย่และล้มเหลวต่อจักรพรรดิวิหคเพลิงคนเก่า

ด้วยการปลดปล่อยจักรพรรดิมังกรฟ้า เบื้องหน้าจักรพรรดิมังกรฟ้าที่ดูพยายามจะสังหารเทียนหยุน แต่หวังหลินรู้แล้วว่าจักรพรรดิมังกรฟ้านั้นเล่ห์เหลี่ยมและเจ้าแผนการมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินสามารถมองออกได้อย่างหมดจด!

หลังได้ยินเรื่องเต๋าสวรรค์ หวังหลินจึงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามไม่มีเรื่องใดเทียบได้กับคำพูดสุดท้ายที่จักรพรรดิมังกรฟ้าทิ้งเอาไว้! สิ่งที่เขาพูดขึ้นมาหมายความว่าเขามองความคิดหวังหลินออก เขาไม่สนใจตัวตนหวังหลินว่าจะเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงเลย หากสนใจอะไรก็คงเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์!

สมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้เก็บไว้ในมือเขาเพียงชั่วคราว แต่เมื่อออกไปจากแดนสวรรค์พิรุณแล้ว จะต้องคืนสู่สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!

‘กลัวว่าหากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสมากเกินไปและเขาพึ่งหนีรอดออกมา คงไม่รอให้ข้ากลับไปและชิงมันมาที่นี่เองเสียแล้ว!’ หวังหลินเผยสีหน้าขมขื่น ความจริงแล้วคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร และนี่เป็นหนทางที่มันควรจะเป็น เมื่อหวังหลินไม่มีแผนการในการกลายเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิง ก็คงไม่จำเป็นต้องเก็บสมบัติศักดิ์สิทธิ์เอาไว้

ความจริงแล้วหวังหลินไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิมังกรฟ้าจะไม่ถามเรื่องจักรพรรดิอีกสามคน ไม่เพียงแค่นั้นเขายังพูดเรื่องการตายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สามคนเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา

หวังหลินรู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก!

(คนอ่านก็เช่นกัน!)

ไม่สนเรื่องความทุกข์ทรมานของจักรพรรดิวิหคเพลิงตลอดการรักษาสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่รอดมานาน ส่วนจักรพรรดิพยัคฆ์ขาวตายไปกับศัตรู ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าร่างกายอยู่ที่ไหน สำหรับจักรพรรดิมังกรฟ้าแล้ว ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ…ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ

ซือถูหนานถอนหายใจพลางก้าวเดินออกมาตบไหล่หวังหลิน “สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์บัดซบอะไรกันวะ? พอฉิงหลินตื่นขึ้น เราสี่คนจะปกครองดวงดาวและร่วมสนุกสนานไปด้วยกัน!”

หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า

หวังเว่ยถอนหายใจ “ครั้งนึงอาจารย์บอกว่าโลหิตเต๋าสวรรค์เป็นลางร้าย หากคนที่กลืนกินเข้าไปไม่ตาย นิสัยจะเปลี่ยนไปมากมายแน่นอน! ข้าเคยเจอจักรพรรดิมังกรฟ้าเมื่อก่อนและเขาเป็นคนตรงไปตรงมา พอดูวันนี้แล้วข้าคิดว่าการกลืนกินโลหิตนั่นทำให้อารมณ์เขามืดมนขึ้น”

แม้จะร้อนใจและกังวลเรื่องการล่มสลายของแดนสวรรค์พิรุณ พวกเขาไม่สามารถค้นหาอารามได้และไม่ได้เร่งหวังหลิน

หวังหลินถอนหายใจยาว รู้ได้ด้วยคำพูดของจักรพรรดิมังกรฟ้า หวังหลินไม่ได้ติดต่อกับสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์มากนัก หากจะมีก็เป็นความกตัญญูที่มีต่อจักรพรรดิวิหคเพลิงคนเก่า

หวังหลินเงยศีรษะมองออกไปไกล คุกเข่าลงบนพื้น โขกคำนับสามครั้งให้แก่ประตูแดนสวรรค์พิรุณ

‘ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ผู้น้อยจะจดจำความเมตตาของท่านเอาไว้และไม่กล้าลืมเลือน หากสำนักวิหคเพลิงตกอยู่ในความลำบากในอนาคต หากข้าไม่ตาย ข้าจะยื่นมือเข้าช่วย!’ หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมา ภาพจักรพรรดิคนเก่าปรากฏขึ้น ความเมตตาและท่าทางเหน็ดเหนื่อยถูกแกะสลักไว้ในจิตใจหวังหลิน

‘หากแรงกดดันมีมากเกินไป หากสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหวังกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต หากสวรรค์ต้องการทำลายสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ของข้าจริงๆ…เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง’ คำพูดจักรพรรดิคนเก่าดังสะท้อนในหูหวังหลิน

หวังหลินยืนขึ้นและสูดหายใจลึก จากนั้นมองหวังเว่ยและฮู่จวน พลางเอ่ยสงบนิ่ง “ผู้อาวุโส เราไปหาอารามกันเถอะ”

นอกจากหวังเว่ย ฮู่จวนและซือถูหนาน ยังมีร่างศพสตรีอีกคน นางยืนอยู่ด้านข้างหวังหลินและติดตามไปอย่างเงียบๆ

“หวังหลิน เจ้า…” ฮู่จวนเป้นสตรี นางจึงรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นและรู้ว่าตอนนี้หวังหลินต้องรู้สึกซับซ้อนยิ่งนัก

“ไม่มีปัญหา” หวังหลินยิ้มหลบซ่อนความโศกเศร้าในใจเอาไว้

หวังเว่ยพยักหน้าและเหาะเหินออกไปจากแท่น ฮู่จวนมองหวังหลินก่อนจะติดตามหวังเว่ยไป ซือถูหนานเดินเข้าไปใกล้หวังหลินและตบบ่า ทั้งสองเหาะเหินออกไปด้วยกัน ส่วนร่างศพเงินนางก็ติดตามหวังหลินต่อไป

การล่มสลายของแดนสวรรค์ดำเนินต่อไป ระหว่างทางพวกเขาเห็นชิ้นส่วนกำลังพังทลาย บางส่วนแตกสลายไปหมดแล้วและก่อเกิดวังวนดึงเศษหินเข้าไป

เสียงดังคะนองกึกก้องแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็ว ในเมื่อแดนสวรรค์พิรุณกำลังแตกสลายไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรั้งฝีมือเอาไว้ พวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดเหมือนสายฟ้าเคลื่อนผ่าน

ขณะที่หวังเว่ยเหาะเหินไป ดวงตาส่องสว่างมองไปยังสถานที่ในความทรงจำของตนเอง เขาเหาะเหินระหว่างชิ้นส่วนที่กำลังแตกสลาย ผ่านไปสิบห้านาที ดวงตาหรี่แคบลง

“น่าจะเป็นที่นี่!” หวังเว่ยชี้ลงไป

หวังหลินมองดูแต่พลันประหลาดใจ แม้ที่นี่กำลังแตกสลายเขาก็ยังพอเห็นทวีปอยู่ด้านล่าง!

หากเป็นแค่นั้นคงไม่ทำให้หวังหลินตกใจ แต่ตรงจุดนี้คือตำแหน่งที่โจวยี่เผาวิญญาณของตัวเองต่อสู้กับซุนไท่

“แดนสวรรค์พิรุณพังทลายกลายเป็นชิ้นส่วนมากมายและบางส่วนก็ทับซ้อนกัน อารามน่าจะอยู่ในชิ้นส่วนที่ทับซ้อน!” หวังเว่ยอธิบายพลางใช้แขนขวากดลงไป!

หมอกสีเขียวพลันพุ่งลงไป กวาดผ่านเศษดินเศษหินด้านล่างจนเกิดการสะเทือนเล็กๆ

ชิ้นส่วนทับซ้อนด้านล่างเผยตัวตนขึ้นมา

พวกเขาร่อนลงไปโดยไม่หยุดชะงัก รู้สึกถึงได้การสั่นสะเทือน หากแพร่สัมผัสวิญญาณออกไปคงเห็นปลายขอบกำลังหลุดร่วง รอยแตกบนพื้นเพิ่มขึ้นและลึกลงไปอย่างต่อเนื่อง

“มีเวลาเหลือไม่มาก หากแดนสวรรค์ล่มสลายไปหมดจะก่อเกิดวังวนยักษ์ดูดทุกอย่างเข้าไป” หวังเว่ยกระทืบเท้า พื้นดินรอบตัวเขาทั้งหมดแตกสลาย หินจำนวนมากแตกสลายออกไปทุกทิศทาง

ทุกคนเริ่มทะลวงผ่านชิ้นส่วนแดนสวรรค์ลงไป สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าก็คือชิ้นส่วนอีกชิ้นที่ทับซ้อนกันกับก่อนหน้านี้

ที่นี่ไม่ใหญ่มากและการพังทลายยังไม่ส่งผลกระทบ ดังนั้นมันจึงเกิดการสะเทือนเล็กน้อย แต่หลังจากสำรวจด้วยสัมผัสวิญญาณ หวังเว่ยกลับไม่เจออาราม

“มีอีกชิ้นส่วนด้านล่าง!” เขากระทืบเท้าอีกครั้ง ชิ้นส่วนสั่นเทาและเริ่มแตกสลายเหมือนก่อนหน้า ทว่าวินาทีนี้สีหน้าหวังเว่ยเปลี่ยนไปมหาศาลและโบกแขนเสื้อนำทุกคนกลับมา

ชั่วจังหวะล่าถอย พื้นดินรอบหวังเว่ยกระทืบเท้าแตกร้าวแต่ไม่กระจาย ไม่นานนักรอยร้าวยุบตัวปรากฏวังวนยักษ์ด้านล่าง

วังวนสีดำสนิทแต่ทุกคนสามารถมองผ่านวังวนเข้าไปและเห็นชิ้นส่วนอีกชิ้นด้านล่างได้ทันที อย่างไรก็ตามมีอารามสีเขียวสนิทซึ่งไม่ได้รับความเสียหายและกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงนั้น

อารามสีเขียวเป็นที่จับตามองอย่างมากในมิติ

“อารามแดนสวรรค์พิรุณ!” หวังเว่ยหรี่ตาและเหาะเหินเข้าหาวังวนทันที ทุกคนติดตามไป หวังหลินจ้องมองอารามสีเขียวในวังวนอย่างตั้งมั่น

พวกเขาพุ่งเข้าไปในวังวนเพียงเสี้ยววินาที หวังหลินรู้สึกถึงพลังฉีกกระชากผุดออกมา หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่และคงต้องให้หวังเว่ยช่วยเหลือ ทว่าตอนนี้ตาซ้ายปรากฏเปลวเพลิงและห่อหุ้มรอบตัวเอาไว้ ทำให้เขาเป็นอิสระจากวังวนและลอยไปหาอารามสีเขียวได้

คนที่เหลือทั้งหมดพุ่งออกไปจากวังวนและมุ่งหน้าสู่อารามสีเขียว ในแววตาหวังเว่ยเกิดความตื่นเต้น เขารอคอยวันนี้มานานแล้ว

อารามสีเขียวลอยตัวโดยธรรมชาติจึงเทียบไม่ได้กับความเร็วของแต่ละคนอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงตามมาได้ทันในเวลาไม่นาน หวังหลินลอยอยู่ข้างๆอาราม อดไม่ได้ที่จะมีความคิดสั่นเทา

แม้อารามแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่ แสงสีเขียวที่ส่งออกมาทรงพลังมาก คำว่า “ฉิง” ปรากฏขึ้นมาเหนือประตูส่งกลิ่นอายน่าเกรงขาม

หวังเว่ยก้าวเท้าและมาถึงเบื้องหน้าอาราม เขาผลักประตูให้เปิดขึ้นอย่างช้าๆ แสงสีเขียวผุดออกมาจากประตูและส่องสว่างไปทั่ว มิติแห่งนี้จึงย้อมด้วยแสงสีเขียว

ยามที่ประตูเปิดขึ้น หวังหลินเดินเข้าไปข้างในทันที

ในอารามว่างเปล่ายกเว้นค่ายกลบนพื้นที่กำลังส่องแสงกระพริบสีเขียว

หวังเว่ยใบหน้าตื่นเต้นพลางมองรอบๆก่อนจะมองค่ายกลบนพื้น ขณะนั้นฮู่จวนพลันเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างค่ายกลและเริ่มศึกษา สักพักนางพลันสีหน้าเปลี่ยนไป

“ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลเช่นนี้มาก่อน มันส่งผลกระทบให้หวนคืนดวงวิญญาณและทำให้วิญญาณออกจากร่าง!”

หวังหลินมองค่ายกลและเอ่ยขึ้นมา “นำร่างจักรพรรดิเทพฉิงหลินออกมา!”

หวังเว่ยยื่นแขนเข้าไปในความว่างเปล่า ปรากฏรอยร้าวเบื้องหน้าและร่างฉิงหลินลอยออกมา!

ตัวเขายังปกคลุมอยู่ในเกราะสีดำแต่มีจุดโลหิตสีแดงอยู่ตรงกลางคิ้ว ฉิงหลินหลับตาสนิทและไม่ได้ส่งเสียงอันใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version