1185. ค่ายกลผนึกสวรรค์เก้าขั้น
ในหินหยกมีเพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น หวังลินขบคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายได้ชัดเจน จากรูปประโยคจึงตีความได้หลายอย่าง
สายตากวาดผ่านปรมาจารย์คังจงซื่อไป หวังหลินรู้ว่าปรมาจารย์คังจงซื่อมาที่นี่หลายครั้งและสำรวจถ้ำไปจำนวนมาก เขาต้องได้สมบัติหายาก วิธีการฝึกฝนหรือข้อมูลมาบ้างแล้ว
ไม่เช่นนั้นคงไม่คุ้นเคยขนาดนี้
พวกเขาเดินต่อไปบนเส้นทางแคบๆในภูเขาโดยมีปรมาจารย์คังจงซื่อเดินอยู่ข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขามีแผนที่คร่าวๆของพื้นที่ที่ผ่านมาถึงจุดนี้และไม่ได้ก้าวเดินบนเส้นทางนี้มาก่อนจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาใช้เส้นทางอื่นและได้รับหินหยกและแผนที่ที่บอกข้อมูลมาเส้นนี้
พวกเขาเดินบนถนนแคบๆอยู่หลายวัน หลังจากหลีกเลี่ยงอสูรหมอกไปหลายตัวจึงมาถึงส่วนลึกภายในเทือกเขา ด้านหน้ามีภูเขาอีกหนึ่งลูกและหลังจากผ่านที่นี่ไปก็จะเห็นว่าอะไรอยู่หลังภูเขา
หญิงชราชุดเขียวสงบนิ่งและไม่ได้มองด้านข้างราวกับเป็นนักบุญ หวังหลินมองนางอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจเห็นความคิดนางได้
หวังหลินรู้แค่ว่าหญิงชราชุดเขียวคนนี้ชื่อจ้าวและไม่รู้อะไรอื่น อย่างไรก็ตามเขาสังเกตระหว่างทางได้ว่านางกำลังติดตามปรมาจารย์คังจงซื่อ แต่ละก้าวของนางนั้นสลับซับซ้อน
ที่นี่มีเขตอาคมหลายอย่างแต่ส่วนใหญ่พังทลายไปแล้ว อย่างไรก็ตามนางก้าวไปบนจุดพื้นที่เปล่าและตรงที่ที่เขตอาคมอ่อนแออยู่เสมอ
มันเป็นความเคยชินและคงไม่เปลี่ยนเพียงเพราะเขตอาคมสูญเสียพลัง ซึ่งสังเกตได้ยากยิ่งเว้นแต่จะเป็นปรมาจารย์ทางด้านเขตอาคม
เซียนผางติดตามปรมาจารย์คังจงซื่ออย่างใกล้ชิดและไม่กล้าอยู่ใกล้หวังหลินเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวหวังหลินมาก
ตอนนี้เบื้องหน้าไม่มีถนนแล้ว ปรมาจารย์คังจงซื่อขมวดคิ้วแน่นและขบคิด
แสงเจ็ดสียังปกคลุมผืนฟ้า ดูไม่ออกว่ากลางวันหรือกลางคืน ความผันผวนของพลังดั้งเดิมโผล่ออกมาจากท้องฟ้าจับต้องความสนใจของทุกคน
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและมองออกไปไกล เขาเห็นสายหมอกกำลังปั่นป่วนในท้องฟ้าด้านหลังภูเขา มีพลังดั้งเดิมผันผวนออกมาตรงนั้นซึ่งทำให้รู้สึกถึงพลังอำนาจที่สามารถสั่นคลอนวิญญาณได้
ปรมาจารย์คังจงซื่อมองออกไปไกลและเอ่ยขึ้นเย็นเยียบ “มันเป็นวิชาของเฉินเทียนจุน”
หลังจากนั้นสักพักความผันผวนก็หายไป สายหมอกสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีความผันผวนโผล่ออกมาอีก
“ข้ากลัวว่าเฉินเทียนจุนจะตายแล้ว เขาไม่ฟังคำแนะนำของเราและรนหาที่ตายเสียเอง! ดินแดนเจ็ดสีแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่จะเดินเข้าไปสบายๆได้ ถนนหนทางเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง จะไม่สามารถเข้าหรือออกได้ตามอำเภอใจเว้นแต่จะรู้จักที่นี่เป็นอย่างดี” เซียนผางเยาะเย้ยและมีสายตาล้อเลียน
“ก็ดี ปล่อยเรื่องเฉินเทียนจุนไว้ก่อน สหายเซียนจ้าว ข้าตรวจสอบแล้วและดูเหมือนจะมีเขตอาคมอยู่บนเส้นทาง เรื่องจะทำลายมันอย่างไรนั้นข้าต้องการให้สหายเซียนจ้าวช่วยเหลือ” ปรมาจารย์คังจงซื่อก้าวถอยมาและคำนับฝ่ามือให้หญิงชราชุดเขียว
นางตรวจสอบเส้นทางข้างหน้าแล้ว ตอนนี้จึงพยักหน้าเงียบๆ
“น่าเสียดายที่สหายเซียนตวนมู่ถูกผู้หลงทางเอาตัวไป หากเขายังอยู่ที่นี่คงสามารถใช้เต๋าเพื่อหยุดการเปลี่ยนเขตอาคมได้ชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือสหายเซียนจ้าว” ปรมาจารย์คังจงซื่อส่ายศีรษะ
“เขตอาคมส่วนใหญ่ที่นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน ข้าไม่มั่นใจว่าจะทะลวงมันได้แค่ไหน” นางก้าวเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยขึ้นและมาถึงสุดเส้นทาง
ตรงนี้ไม่มีเส้นทางต่อ มีแต่ภูเขาเท่านั้น หากต้องการผ่านไปจะต้องปีนขึ้นบนภูเขาแต่ก็มีหมอกหนาแน่นด้านบนที่ปิดเส้นทางทั้งหมดอีก
หญิงชราสัมผัสก้อนหินภูเขา ดวงตาส่องสว่างขึ้นและขบคิด
หวังหลินถอนสายตาจากก้อนหิน นั่งลงและเริ่มบ่มเพาะ เขาเตรียมพร้อมตัวเองให้อยู่ระดับสูงสุดเพื่อรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หญิงชราชุดเขียวไม่เคลื่อนไหวแต่ในแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างดุเดือด ในที่สุดนางก็ขมวดคิ้ว
“ปรมาจารย์คังจงซื่อ เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่ามีเขตอาคมอยู่ที่นี่? ทำไมไม่ปีนขึ้นไป?” นางมองปรมาจารย์คังจงซื่อ
ปรมาจารย์คังจงซื่อขบคิดชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้น “บนยอดภูเขาไม่ได้มีอสูรแค่ตัวเดียว ตามที่ข้ารู้มามันมีถึงเจ็ดตัว! ทั้งหมดล้วนเป็นอสูรระดับสิบสอง เรามาถึงตรงนี้จากเส้นทางอื่นมาก่อนและลองพยายามปีนขึ้นไปแต่เจอการสูญเสียครั้งใหญ่ ท้ายที่สุดเราก็ไม่สามารถผ่านได้ จากนั้นข้าก็พบแผ่นที่ที่บอกว่ามีทางเดินทะลุผ่านภูเขาและทางเข้าอยู่ที่นี่!”
นางขบคิดก่อนจะถอยไปสองก้าว ฝ่ามือสร้างผนึกเกิดเป็นภาพลวงตาและทับซ้อนกันจนก่อเกิดเป็นอักขระอันซับซ้อน อักขระพลันร่อนลงบนก้อนหินภูเขา
หวังหลินความคิดสั่นเทา แกล้งทำเป็นมองอย่างไม่ใส่ใจ
จังหวะที่เขตอาคมหล่นลงภูเขา ผิวของก้อนหินดูเหมือนหลอมละลายและเกิดระลอกคลื่นเหมือนตอนที่โยนหินเข้าไปในทะเลสาบ
อย่างไรก็ตามเรื่องประหลาดก็คือระลอกคลื่นนั้นเหมือนเส้นด้ายที่มีวิชาเล็กๆหลายอย่าง กลิ่นอายเก่าแก่และทรุดโทรมโผล่ออกมาจากก้อนหินภูเขา
หญิงชราชุดเขียวถอยไปอีกหลายก้าว ฝ่ามือสร้างผนึกมากขึ้นและชี้ใส่หน้าอกตัวเอง ควันเจ็ดสายลอยออกมาจากทวาร แต่ละสายมีพลังชีวิตจำนวนมากล้อมรอบนาง นางสูดหายใจลึกและก้าวไปข้างหน้า
พอก้าวที่สาม นางจมเข้าไปในก้อนหินภูเขาอย่างไม่คาดคิด เกิดระลอกคลื่นหนาแน่นขึ้นและก้อนหินก็เริ่มโปร่งใสทำให้คนในกลุ่มเห็นอุโมงค์หินหนาแน่นข้างในได้ชัดเจน
ทว่านอกจากทางเข้าแล้ว ข้างในล้วนมืดสนิท แม้แต่สายตาก็ยังถูกความมืดกลืนกิน
ยามที่นางจมเข้าไปในก้อนหิน ใบหน้าพลันซีดขาว ร่างกายเริ่มบิดเบือนราวกับกำลังถูกบีบจากพลังที่มองไม่เห็น บนร่างกายเกิดเสียงปะทุเบาๆ
นางหลับตาบ่มเพาะชั่วครู่ จากนั้นลืมตาขึ้นมาและก้าวออกไป แต่ละก้าวทำให้ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรง ระลอกคลื่นบนก้อนหินทวีคูณ กลิ่นอายเก่าแก่กลายเป็นแรงกดดันรุนแรงล้อมรอบพื้นที่
หลังจากเดินมาได้สามก้าว ดวงตาแดงฉาน ฝ่ามือสร้างผนึกและประทับกลางหน้าผากอย่างรุนแรง ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
ริ้วรอยเหี่ยวย่นทั้งหมดหายไป แม้แต่ร่างกายก็ดูเหมือนจะอ่อนเยาว์ขึ้นกลายเป็นหญิงวัยกลางคนอายุราวๆสี่สิบ ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยงามนักแต่มีเค้าโครงความงามมาก่อน นางก้าวไปได้อีกสองครั้ง ขณะกำลังจะก้าวที่หกพลันกระอักโลหิต ไม่สามารถทนได้อีกและถอยออกมาจากก้อนหินภูเขา
นางถอยมาหยุดลงด้านข้างหวังหลิน ใบหน้าเปลี่ยนกลับเป็นหญิงชราเหมือนเดิม
พลันเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่น “ค่ายกลผนึกสวรรค์เก้าขั้น!”
“นี่มันค่ายกลโบราณ ข้าเคยเห็นในบันทึกแต่ไม่เคยเจอจริงๆ คนที่สามารถวางเขตอาคมนี้ได้ ความสามารถอยู่ในระดับสูงสุดอยู่แล้ว”
‘ค่ายกลผนึกสวรรค์เก้าขั้น…’ หวังหลินมองก้อนหินภูเขา หลังจากหญิงชราถอยมามันก็กลับคืนสู่ปกติและไม่สามารถหาสิ่งผิดปกติได้
“ค่ายกลนี้ได้รับความเสียหายจากกาลเวลาด้วย ดังนั้นจึงไม่มีความสามารถในการโจมตีแต่พลังผนึกของมันไม่ได้รับผลกระทบ ด้วยการฝึกฝนของข้า ข้าสามารถไปได้แค่ห้าก้าวเท่านั้น มากกว่านั้นร่างกายข้ารับไม่ไหว”
ปรมาจารย์คังจงซื่อขมวดคิ้วพลางมองดูค่ายกล “เราจะทำลายค่ายกลนี้ได้อย่างไร?”
หญิงชราชุดเขียวนำเม็ดยาออกมาและกินเข้าไป นางเริ่มบ่มเพาะและเอ่ยขึ้น “พอก้าวที่สิบ ท่านก็สามารถทำลายมันได้”
ปรมาจารย์คังจงซื่อขบคิดอยู่นาน กัดฟันแน่นและสะบัดแขนปรากฏชุดเกราะมารสีดำขึ้นรอบตัวเอง พลังมารเต็มไปทั่วบริเวณและทำให้ปรมาจารย์คังจงซื่อดูเหมือนเทพมาร
“ข้าอยากจะเห็นว่าข้าสามารถก้าวเดินไปได้กี่ก้าวด้วยระดับบ่มเพาะข้าและเกราะชุดนี้! สหายเซียนจ้าว เปิดทางให้ข้า!” ปรมาจารย์คังจงซื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขามาถึงขนาดนี้แล้วและไม่อยากยอมแพ้ ก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าไปในก้อนหินภูเขา
หญิงชราชุดเขียวสร้างผนึกและชี้ออกไป เขตอาคมร่อนลงบนก้อนหินภูเขาเบื้องหน้าปรมาจารย์คังจงซื่อ ปรากฏระลอกคลื่นขึ้นอีกครั้งและก้อนหินโปร่งใสอีก
ปรมาจารย์คังจงซื่อก้าวตรงเข้าไปในก้อนหินโดยไม่ลังเล ระดับบ่มเพาะขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางปะทุขึ้นมาและเมื่อเขาเข้าไปในก้อนหินจึงก้าวไปได้สี่ก้าว!
ทุกก้าวย่างดูเหมือนปลดปล่อยแรงระเบิดเสียงดังสนั่น ใบหน้าคังจงซื่อซีดเผือด ชุดเกราะปลดปล่อยพลังมารหนาแน่นออกมา หลังจากก้าวที่สี่เขาก็หยุดชะงัก ดวงตาส่องสว่างและก้าวไปได้อีกสามก้าวโดยไม่คาดคิด!
หลังจากก้าวไปสามก้าว คังจงซื่อซีดเผือดขึ้นไปอีก ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยทว่ากัดฟันแน่นและร้องคำรามก้าวไปอีกก้าว!
เป็นก้าวที่แปด!
จังหวะที่ก้าวเท้าลง เสียงปะทุดังออกมาจากร่างคังจงซื่อและโลหิตไหลจากมุมปาก ดวงตาแดงฉาน การเตรียมการมาหนึ่งพันปีจะถูกหยุดด้วยค่ายกลนี้ เขายอมไม่ได้!
ฮึ่ม!
ปรมาจารย์คังจงซื่อกัดฟันแน่นและก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้เซียนผางเกิดแววตาตื่นเต้น หญิงชราชุดเขียวดวงตาส่องสว่าง ไม่สามารถรู้ได้ว่านางคิดอะไรอยู่
เมื่อก้าวที่เก้าเหยียบลง ราวกับปรมาจารย์คังจงซื่อกระแทกใส่ผนัง พลังมหาศาลกระแทกใส่ร่างกายและกระอักโลหิต ร่างกายถูกดันออกมาจากหินและถอยไปหลายสิบก้าวก่อนจะหยุดลง
‘หากข้าเข้าไปไม่ได้ จะไม่มีใครออกไปจากดินแดนเจ็ดสีแห่งนี้ได้!’ ใบหน้าซีดเผือดจ้องมองก้อนหินภูเขา ในแววตามีความบ้าคลั่งและโหดเหี้ยม
หวังหลินยืนขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า มองดูชุดเกราะมารที่ย่อยยับบนร่างปรมาจารย์คังจงซื่อ พลันเอ่ยขึ้น “ให้ข้าลองดูหน่อย”