119. ปลุกวิญญาณ
รอยแยกอวกาศในสนามรบต่างแดนเกิดขึ้นเนื่องจากการต่อสู้มากมายที่นี่หากไม่ใช่ว่าสมาพันธ์เซียนเข้ามาทำให้ที่นี่เกิดความเสถียรขึ้นมันก็คงพังทะลายไปแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งของรอยแยกอวกาศคือทะเลดวงดาว เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานและสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด
ไม่มีใครที่เข้าไปในรอยแยกแล้วกลับออกมาได้ทว่าเหล่าเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณระดับปลายทั้งหลายได้เคลื่อนย้ายระยะไกลออกมาแทบจะทันทีที่พวกเขาเข้าไปซึ่งก่อนที่แรงดึงดูดจะถึงจุดสูงสุดเสียอีก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของรอยแยกอวกาศในสนามรบต่างแดนก็คือแรงดึงดูดแม้แต่เซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณยังเกิดปัญหาแรงดูดแข็งแกร่งจนสามารถดูดพลังวิญญาณออกจนหมดตัวได้ดังนั้นไม่ต้องคิดเรื่องการหลบหนีได้เลย
นั่นเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่มันอันตรายอีกเหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วรอยแยกอวกาศเชื่อมต่อกับที่ไหนอยู่ผู้คนต่างเพียงได้ยินจากเหล่าเซียนที่แข็งแกร่งว่าอวกาศนั้นมืดมิดและสัมผัสวิญญาณของพวกเจ้าจะถูกกักไว้ในร่างกายเมื่ออยู่ที่นั่น
แสงจุดหนึงปรากฎขึ้นภายในรอยแยกอวกาศและลอยคว้างอยู่ภายในนั้น หากมองดูใกล้ๆจะเห็นไฟวิญญาณส่องแสงสลัวๆ
วันเวลาได้ผ่านอย่างเชื่องช้า หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แสงจุดนั้นได้ลอยขึ้นในอวกาศ ไฟวิญญาณนั้นแสดงให้เห็นว่าใกล้จะมอดดับ
เวลายังคงผ่านไปและแสงจุดนั้นยังส่องสว่างจางๆ มีเพียงร่างคนสลัวที่หลงเหลือในไฟวิญญาณดวงนั้น
หนึ่งวันผ่านไป ทันใดนั้นเงายักษ์ร่างหนึ่งลอยไปทางแสงดวงนั้น เมื่อตรวจสอบใกล้ๆ เงานั้นเป็นซากศพขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง
ร่างกายนั้นดูเหมือนจะเป็นร่างเดียวกันกับเผ่าพันธุ์ปิศาจยักษ์ ทว่าหากมองดูหน้าผากของร่างนั้นแล้วมันไม่ใช่รูปค้อน แต่เป็นรูปขวาน
ขวานดำ!
หากเผ่าพันธุ์ปิศาจยักษ์ตนใดอยู่ที่นี่ พวกเขาคงจำได้ทันทีว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าบรรพบุรุษ
ขณะที่ร่างนั้นได้สัมผัสกับแสง ควันขนาดเล็กได้ออกมาจากร่างกายนั้นควันรูปร่างคนผู้หนึ่งและเผยหน้าตาละโมบขณะที่มันกระโดดเข้าไปในแสงดวงนั้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษที่อาศัยอยู่ภายในสนามรบต่างแดนมันกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นซากศพ สมบัติเซียนหรือวิญญาณก็ตาม
มันกระโดดเข้าไปในร่างวิญญาณนั้นแต่มันก็กรีดเสียงร้องออกมาและพยายามหนีทว่าดวงแสงนั้นดูดซับสิ่งมีชีวิตนั้นทันที เหลือไว้แต่เพียงร่างกายทิ้งไว้
หลังจากดูดซับสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ดวงแสงก็สว่างขึ้นและไฟวิญญาณข้างในเริ่มแข็งแรง
ขณะเดียวกัน หวังหลินก็ตื่นขึ้น
พูดให้ถูกต้องก็คือ วิญญาณของหวังหลินตื่นขึ้น
เมื่อเขาตื่นกลับไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองหลงเหลือแต่เพียงดวงไฟวิญญาณ ความรู้นึกหนาวเย็นออกมาจากภายในวิญญาณเขา
มีไฟขนาดใหญ่อยู่ถัดจากวิญญาณเขา แม้ว่าไฟดวงนี้จะปล่อยกลิ่นอายปิศาจออกมา หวังหลินก็ไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าหามัน
ทันใดนั้นดวงไฟของหวังหลินได้เข้าไปในหัวปิศาจและรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างช้าๆภายใน
วิญญาณของหวังหลินล้อมรอบด้วยเปลวไฟมารขณะที่ความหนาวเย็นได้สลายหายไปและวิญญาณเขาก็สงบลงได้ เวลาได้ผ่านไปอีกครั้งอย่างช้าๆระยะเวลาครั้งนี้ยาวนานกว่าครั้งก่อนในระหว่างนี้ร่างวิญญาณหวังหลินก็ค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างช้าๆภายในสนามรบต่างแดน
ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะร่างนั้นมีวิญญาณของหวังหลินอยู่แต่ยิ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้นมาและพยายามกลืนกินหวังหลินทว่าพวกมันทั้งหมดต่างถูกหวังหลินกลืนกินแทนดวงวิญญาณของเขาเติบใหญ่ขึ้นและวิญญาณกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเขาแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสิ่งมีชีวิตพวกนี้โผล่ออกมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อต้องการกลืนกินเขาหวังหลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างกายเขานั้นราวกับดวงไฟขนาดยักษ์ในโลกอันมืดมิด
หวังหลินไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นเขาก็รู้สึกหิวและกลืนกินสิ่งมีชีวิตพวกนั้นเขารู้แต่เพียงว่าทุกครั้งที่เขากลืนกินไปหนึ่งตนเขารู้สึกว่าจิตใจยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น
ในที่สุด วันหนึ่งหวังหลินก็จดจำวินาทีที่เขาเกิดสิบหกปีที่อยู่กับครอบครัววันเวลาที่อยู่สำนักเหิงยั่ว…และในที่สุดเขาก็จำเถิงฮว่าหยวนได้
คลื่นแห่งความเสียใจออกมาจากวิญญาณเขาขณะที่จดจำได้ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในจังหวะสุดท้ายซือถูหนานได้เสี่ยงชีวิตช่วยชีวิตเขาและพาเข้ามาในสนามรบต่างแดน
ขณะที่เขาเข้ามาในรอยแยกอวกาศ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไป พูดให้ถูกต้องก็คือ มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่หวังหลินรู้สึกได้ชัดเจนว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้หายไปไหนมันรวมเข้ากับวิญญาณหวังหลินอย่างลึกลับพูดได้ว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้ละลายและรวมเข้ากับวิญญาณหวังหลิน
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสามารถดูดกลืนเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งลึกลับและทรงพลังพวกนั้นได้ทั้งหมด
ซือถูหนานไม่ได้ตาย แต่อยู่ในสถาวะหลับลึกสิ่งสุดท้ายที่เขาทำก่อนจะหลับไปคือห่อหุ้มวิญญาณครอบครัวหวังหลินกับวิญญาณเซียนของเขาให้อยู่ในสภาวะหลับลึกด้วยกัน
ครอบครัวหวังหลินไม่เซียนดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสคืนชีพขึ้นมาใหม่หรือครอบงำร่างกายได้หวังหลินต้องการเพียงเก็บครอบครัวเขาไว้รอบๆไม่ให้หายไปไหน
หลังจากเขาฟื้นคืนความทรงจำได้ทั้งหมดจึงตระหนักได้ว่าสัมผัสวิญญาณของเขามีขนาดใหญ่มากร่างของยักษ์ดูเหมือนจะไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและเร่ิมจะพังทะลายลง
หวังหลินทำอะไรไม่ถูกจึงได้ออกจากร่างยักษ์ตนนั้นความหนาวเหน็บกลับเข้ามาอีกครั้งเขาลอยผ่านในห้วงอวกาศขณะที่มองหากายเนื้ออันใหม่ให้ครอบครอง
การเดินทางผ่านช่องว่างอวกาศเพื่อหาร่างที่ต่างจากซากศพครั้งก่อนนี้กินเวลายาวนานในทำนองเดียวกันนั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับก็ยังเข้ามากลินกินเขาเรื่อยๆ
วิญญาณเขายิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นการกลืนกินสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งพวกนี้ค่อยๆกลายเป็นนิสัยของหวังหลินเขาหยุดการกลืนกินพวกมันขณะที่ต้องปกป้องตัวเองแต่ก็กลับมามองหาพวกมันอีกครั้งเมื่อไม่มีอะไรทำ
หรือจะพูดได้ว่าหวังหลินอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้วนานพอให้เขาค้นความทรงจำตัวเองอยู่หลายครั้งเขาเริ่มวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปหลังจากวิเคราะห์จบเขาก็คิดได้ว่าไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่ามีหนังสือค่ายกลที่เขาได้ซื้อไว้
ทันใดนั้นเขาฟื้นคืนเนื้อหาในหนังสือและเริ่มเรียนรู้พวกมันเมื่อเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหนังสือพื้นฐานค่ายกลความรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำก็กลับมาอีกครั้ง
หลายปีผ่านไปจนไม่ได้นับหวังหลินได้เห็นรอยแยกอวกาศที่นำพาเขาไปสู่ทางออกแต่สัมผัสวิญญาณเขากว้างใหญ่เกินไปที่จะลอดผ่านรอยแยกขนาดเล็กพวกนี้
แต่เขาพบว่าขณะที่สัมผัสวิญญาณของเขาเติบใหญ่ขึ้นรอยแยกอวกาศคงจะแตกเมื่อเขากระแทกใส่มันทว่าหลังจากหลังจากปะทะกันหนึ่งหรือสองครั้งรอยแยกอวกาศที่เกิดความเสียหายก็กลับคืนมาปกติโดยอัตโนมัติ
เพียงหนึ่งหรือสองครั้งคงไม่เพียงพอให้รอยแยกอวกาศพังทะลายไปนั่นเพราะว่าสัมผัสวิญญาณของเขาไม่มีพลังอำนาจเพียงพอดังนั้นหวังหลินจึงเริ่มกลืนกินสิ่งมีชีวิตพวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง
เขาล้มเลิกความคิดที่จะหาร่างกายให้สิ่งสู่เรียบร้อยแล้วแทนที่ด้วยการเคลื่อนไหวผ่านช่องว่างอวกาศไปอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่เขาผ่านไปเจอสิ่งมีชีวิตลึกลับสักตัวหนึ่งเขาก็จะรีบเข้าไปหามันและกลืนกินทันที
วงจรชีวิตเช่นนี้ผ่านไปเป็นเวลานาน ทุกครั้งที่เขาเห็นรอยแยกอวกาศเขาจะกระแทกใส่มันเขารู้ได้ว่าเขาอาจจะทำให้รอยแยกอวกาศพังทะลายลงภายในการกระแทกสักหนึ่งหรือสองครั้งในสักวันหนึ่ง
แต่ขณะที่วันเวลาผ่านไปหวังหลินพบว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับพวกนั้นในช่องว่างอวกาศดูเหมือนจะหายไปหมดไม่ว่าเขาจะพยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบเลยสักตัว
ดังนั้นเขาจึงเพิ่มขอบเขตการค้นหาวันหนึ่งหวังหลินรู้สึกว่ามีสัมผัสวิญญาณหนึ่งที่มีขนาดคล้ายกับของตนเองนี่เป็นครั้งที่หวังหลินพบกับวิญญาณที่มีพลังอันแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเขา
เสียงอันเลือนลางเข้ามาในวิญญาณของหวังหลิน “เจ้าผ่านการทดสอบ!” มันพูด
หวังหลินตกใจ เขารีบใช้วิธีเดียวกันเพื่อส่งข้อความออกไป
“ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้เช่นไร?”
“ออกงั้นหรือ? ทำไมเจ้าต้องการจะออกไปเล่า? ที่นี่ไม่มีทางออก…” หลังจากเจ้าของเสียงส่งข้อความตอบกลับมา เขาค่อยๆถอยหลังห่างและหายตัวไป
หวังหลินงุนงงเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงอันหนาวเย็นในประโยคของวิญญาณนั้นหวังหลินเข้าใจได้ว่าในช่องว่างอวกาศนี้ยังมีวิญญาณที่มีสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งหรือมากกว่าเขาอีก
ทุกตนต้องมีอาณาเขตของตัวเอง เมื่อหวังหลินเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นจะมีการต่อสู้ถึงตาย
หลังจากการเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิดนี้หวังหลินจึงเดินทางไปเส้นอื่นและพบว่ายังมีมากกว่าสามดวงที่มีสัมผัสวิญญาณขนาดใหญ่เช่นเขาเมื่อแลกเปลี่ยนสนทนากัน หวังหลินพบว่าด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านรอยแยกอวกาศในหนึ่งหรือสองครั้งได้
แต่ความตั้งใจที่จะกลับไปของหวังหลินแข็งแกร่งมากเขามีความคิดบ้าๆอันหนึ่งเขาได้กระจายสัมผัสวิญญาณเพื่อปกคลุมทั้งอาณาเขตตัวเองความกว้างใหญ่ของสัมผัสวิญญาณที่กระจายออกไปยิ่งแข็งแกร่งยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
หวังหลินเฝ้าดูอย่างรอบคอบบนพื้นที่ที่สัมผัสวิญญาณเขาปกคลุมเพื่อการนี้ เมื่อรอยแยกอวกาศปรากฎขึ้นมาเขาจะไม่ลังเลที่จะส่งสัมผัสวิญญาณส่วนหนึ่งเข้าไปในรอยแยกอวกาศขณะที่สัมผัสวิญญาณเข้าไปในรอยแยกอวกาศนั้นเขาจะตัดสัมผัสวิญญาณนั้นออกจากตัวเอง ขณะที่รอยแยกอวกาศหายไปเขาจะสูญเสียการติดต่อกับสัมผัสวิญญาณส่วนนั้น
ใบหน้าของหวังหลินไม่เปลี่ยนไปจากเดิมขณะที่เขารอให้รอยแยกอวกาศอันต่อไปปรากฎขึ้นอีกครั้ง