Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1231

Cover Renegade Immortal 1

1231. ตะขาบเพลิง

ประทับวิญญาณสงครามมีขนาดใหญ่มาก มันดูดซับพลังดั้งเดิมจนพลังข้างในสามารถทำให้เซียนขั้นทลายสวรรค์เกิดความกลัวจนสั่นสะท้านได้

สามวันก่อนประทับวิญญาณสงครามเพิ่มพลังมาถึงขีดจำกัดที่หวังหลินควบคุมได้ ดังนั้นเขาจึงตัดความสามารถในการดูดซับพลังดั้งเดิมออกไป สายหมอกระหว่างทางถูกผลักออกไปด้านข้างพร้อมๆกับเขามุ่งหน้าเข้าสู่เขตระดับแปด

ในวันนี้เองเขตระดับแปดปรากฏขึ้นในระยะสายตา!

การเดินทางต่อเนื่องเกือบยี่สิบวันทำให้หวังหลินรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ดวงตาตอนนี้เปล่งประกาย แม้กำลังเดินทางแต่เขาก็ยังจัดแจงร่างกายและกินเม็ดยาเพื่อช่วยฟื้นฟูตัวเองอยู่เสมอ

ระหว่างเขตระดับเจ็ดและแปดไม่มีค่ายกลอยู่คั่นกลาง แต่มีหมอกหนาแน่นอยู่หนึ่งชั้น สายหมอกนี้กว้างใหญ่มากและปกคลุมรอบๆเขตระดับแปดอย่างสิ้นเชิง ข้างในมีอสูรระดับสิบอยู่หลายตัว ลึกเข้าไปยังมีอสูรระดับสิบสองอีก การมีอสูรดุร้ายอยู่มากมายถือได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในทะเลเมฆา

สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกกันว่าดินแดนหมอกอสูร!

เหตุที่เรียกว่า “ดินแดน” ก็เพราะมันกว้างใหญ่มากมาย หากเซียนธรรมดาเข้ามาคนเดียว แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่มีเหลือ มีเพียงแค่เซียนเฒ่าผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะเข้ามาได้และแม้กระนั้นยังต้องระวังตัว

อย่างไรก็ตามสำนักเทพเจ้าใช้วิธีการบางอย่างจึงทำให้อสูรที่อยู่ข้างในไม่สามารถออกไปจากดินแดนนี้ได้ พวกมันเพียงแค่ดูดซับพลังดั้งเดิมตรงนั้นราวกับมีขอบเขตไร้ก้นบึ้งของสายหมอก

ข้างในดินแดนอสูรหมอกมีอยู่สี่เส้นทางและมีแค่สี่เส้นทางนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยซึ่งเป็นเส้นทางที่ศิษย์สำนักระดับแปดเลือกเดินทางตอนออกไปจากเขตระดับแปดและไม่ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย

ลือกันว่ามันเป็นเส้นทางที่สำนักเทพเจ้าเปิดทางให้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาใช้กรรมวิธีพิเศษเพื่อรับรองความปลอดภัยของสี่เส้นทางเพื่อที่ว่าการผ่านทางจะไม่โดนอสูรดุร้ายโจมตี

ทว่านอกจากศิษย์สำนักระดับแปดแล้ว นอกจากคนที่ได้รับหินหยกชี้ทางก็ไม่มีใครอีกรู้ทางอื่น พวกเขาทำได้แค่พุ่งเข้าไปในดินแดนอสูรหมอก และหากไม่ตายก็คงมีโอกาสเข้าสู่เขตระดับเก้าได้

ณ ตอนนี้ในเส้นทางที่สามของดินแดนอสูรหมอก มีเซียนอยู่สี่คนกำลังเร่งรีบผ่านทางไป คนนำหน้าเป็นชายชราสวมชุดเต๋าสีขาวดำ เรือนผมเป็นสีเงินเทา แม้จะดูแก่ชราแต่สายตาเป็นประกายสายฟ้า หมอกด้านหน้าเขามักจะถอยร่นภายใต้สายตาคู่นี้

เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของเซียนขั้นทลายสวรรค์ทรงพลังออกมา ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าบรรลุขั้นทลายสวรรค์สูงสุดแล้ว กฎแห่งโลกรวมกันข้างในตัวเขาขณะที่เหาะเหิน

ด้านหลังมีอยู่สามคน สองชายและหนึ่งหญิง ทั้งหมดดูอ่อนเยาว์และระดับบ่มเพาะประมาณขั้นชำระสวรรค์ แม้นางจะสวมชุดเต๋าเช่นกันแต่ไม่ได้คลุมร่างกายอันเย้ายวนของนางจนหมด นางมีรูปลักษณ์อันบริสุทธิ์ยิ่ง ปลดปล่อยกลิ่นอายชวนหลงใหล บ่อยครั้งสายตานางทำให้ชายสองคนด้านข้างเต็มไปด้วยความปรารถนา

ขณะที่เหาะเหินไป นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “อาจารย์ ท่านกำลังพาเราไปไหน?”

ชายชราไม่ได้เอ่ยตอบและเหาะเหินไปเรื่อยๆจนถึงส่วนลึกของดินแดนหมอกอสูร จากนั้นเขาก็หยุดลงและมองกลับไปยังทั้งสามคน

“เจ้าทั้งหมดเป็นศิษย์หลักของสำนักอมตะ แต่เจ้ากลับพึ่งพาเม็ดยาเพื่อเพิ่มระดับบ่มเพาะและไม่ได้เข้าใจสวรรค์อย่างถ่องแท้ ยิ่งกฎแห่งโลกคงไม่ต้องพูดถึง วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจสวรรค์คือสภาวะวิกฤตความเป็นความตาย วันนี้อาจารย์พาเจ้ามาที่นี่ซึ่งเป็นที่ที่มีอสูรดุร้ายจำนวนมาก ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสามสามารถทำความเข้าใจได้!” หลังจากชายชราเอ่ย พลันโบกสะบัดแขน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงนักและพลันโยนพวกเขาเข้าไปในสายหมอก

ชายชราขบคิดเงียบๆเล็กน้อยพลางนั่งลงและส่งสัมผัสวิญญาณกระจายออกไปสังเกตศิษย์ทั้งสาม เขาจะไม่ช่วยพวกเขาเว้นแต่จะเป็นช่วงจังหวะความเป็นความตายเท่านั้น

ณ เขตระดับเจ็ดซึ่งอยู่นอกดินแดนอสูรหมอก ประทับวิญญาณสงครามข้ามผ่านดวงดาวและมีหวังหลินติดตามด้านหลัง เขาตระหนักถึงดินแดนอสูรหมอกมาจากเพิ่งหลายและระหว่างทางแล้ว ทว่าเขาไม่มั่นใจเรื่องข้อมูล มันเหมือนกับว่าเขาจะหลงทางในสายหมอกได้หากไม่รู้ทิศทางจริงๆ

สิ่งสำคัญยิ่งคือเส้นทางที่เขารู้จำเป็นที่จะต้องวนรอบๆวงกลมใหญ่ซึ่งทำให้ใช้เวลาไปสองเท่า ทั้งยังไม่รับประกันอีก ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงล้มเลิกตัวเลือกนี้

หวังหลินตัดสินใจใช้เส้นทางตรงและทะลวงผ่านด้วยกำลัง ซึ่งจะทำให้เขาเข้าสู่เขตระดับแปดในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!

หลังจากคิดเช่นนี้ในใจ หวังหลินจึงเลือกเข้าใกล้ดินแดนหมอกอสูรซึ่งอยู่รอบๆเขตระดับแปดโดยใช้ประทับวิญญาณสงครามเปิดเส้นทาง

เขาพุ่งเข้ากระแทกดินแดนหมอกอสูรอย่างรวดเร็วดุจอุกกาบาต ยามที่ประทับฝ่ามือเข้าใกล้หมอกหนา สายหมอกถอยร่นอย่างรวดเร็วราวกับไม่กล้าเข้าใกล้ ปล่อยให้ฝ่ามือผ่านเข้าไป

ทว่าสายหมอกนี้ประหลาดมาก แม้มันจะถอยแต่ก็ไม่ได้เปิดทางเหมือนหมอกที่หวังหลินเคยเห็น สายหมอกล้อมรอบประทับฝ่ามือและดูเหมือนกำลังกลืนกินเสียด้วย

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของประทับฝ่ามือได้ทำให้ดินแดนหมอกอสูรเกิดความโกลาหล ราวกับโยนหินลงทะเลสาบนิ่งๆ ระลอกคลื่นทำให้อสูรต่างร้องคำราม

หวังหลินสีหน้าท่าทางดังเดิมไม่เปลี่ยนไป ความเร็วไม่ตกลงเลยพลันติดตามฝ่ามือไปด้วย เขาส่งสัมผัสวิญญาณแพร่กระจายออกมาและล้อมรอบพื้นที่ ตรวจพบอสูรดุร้ายจำนวนมากข้างในหมอกนี้

ขณะนั้นเสียงคำรามกึกก้องแห่งหนึ่งดันสายหมอกกลับไป มันเป็นตะขาบสีแดงลำตัวยาวหลายพันฟุต เส้นขนปกคลุมทั่วลำตัวและดูดุร้ายมาก มันปรากฏขึ้นในสายหมอกและพุ่งเข้าหาหวังหลิน

ตะขาบตัวนี้ค่อนข้างน่าเกลียด ก้ามยักษ์สองข้างจากด้านข้างขากรรไกรเปล่งประกายเย็นเยียบ ร่างใหญ่ยักษ์ของมันพุ่งเข้ามาหาดุจมัจฉาในลำธาร

จังหวะที่ตะขาบปรากฏตัว อสูรรอบด้านภายในสัมผัสวิญญาณหวังหลินถึงกับหยุดคำรามและกระจายตัว ราวกับเจ้าตะขาบตัวนี้คือราชาแห่งอาณาเขตนี้และการปรากฏตัวของมันทำให้อสูรตัวอื่นต้องล่าถอย

หวังหลินสายตาสงบนิ่ง ต้องขอบคุณระดับบ่มเพาะของเขาจึงสามารถเห็นได้ว่าตะขาบเป็นอสูรระดับสิบเอ็ดซึ่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นทลายสวรรค์ขั้นกลาง หวังหลินประหลาดใจที่เจ้าอสูรตัวนี้กล้าปรากฏตัวเบื้องหน้าประทับวิญญาณสงคราม

ในวินาทีนั้นเจ้าตะขาบแดงพุ่งออกมาจากสายหมอกและส่งเสียงซี่ๆดังถี่ เสียงของมันสั่นสะเทือนพื้นดินและกึกก้องดุจสายฟ้าร้อง สายหมอกรอบด้านปั่นป่วนรุนแรง

เจ้าตะขาบจ้องไปที่ประทับวิญญาณสงครามและเผยท่าทีเกลียดชัง มันร้องคำรามพลางปลดปล่อยแสงสีแดงจำนวนมากเปลี่ยนกลายเป็นทะเลเพลิงมหาศาล จากนั้นพุ่งหาหวังหลินพร้อมกับปกคลุมอยู่ในทะเลเพลิง

หวังหลินตามประทับฝ่ามือไปข้างหน้าโดยไม่มีเวลาสนใจเจ้าตะขาบ แต่วินาทีที่มันเข้าใกล้ ไฟรอบด้านของมันพลันเปลี่ยนกลายเป็นพายุเพลิง เปลวเพลิงล้อมรอบประทับฝ่ามือเพื่อพยายามหยุดไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า

อย่างไรก็ตามประทับวิญญาณสงครามดูดซับพลังดั้งเดิมมามากจนมีพลังอำนาจเหนือจินตนาการ เมื่อเปลวเพลิงเข้าใกล้มันจึงถูกผลักถอยกลับทันที เพลิงส่วนใหญ่แตกกดับยามที่ประทับฝ่ามือผ่านเลยไป

หวังหลินอยู่ด้านหลังฝ่ามือ เคลื่อนที่ไปอย่างสงบนิ่ง เขาเดินทางรวดเร็วมากและผ่านเจ้าตะขาบไปโดยไม่ได้หยุดชะงักเลย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา รวดเร็วเกินจะจินตนาการออก

อย่างไรก็ตามเจ้าตะขาบไม่ยอมแพ้ มันร้องคำรามและพุ่งตามหลังหวังหลิน เปลวเพลิงล้อมรอบร่างกายมันและจ้องไปที่หวังหลินด้วยความเกลียดชังฝังลึก ราวกับว่ามันจะไม่ยอมแพ้จนกว่าหวังหลินจะฉีกขาดเป็นท่อนๆ

วินาทีนั้นเสียงคำรามอีกหลายเสียงดังออกมาจากสายหมอกไกลๆ มีตะขาบอีกหกตัวกำลังพุ่งมาทางนี้

กระนั้นห่างออกไปไกล เสียงคำรามทรงอำนาจหนึ่งเข้าข่มทุกสิ่งอย่าง เสียงคำรามนี้คืออสูรระดับสิบสอง!

ตะขาบสีฟ้ายาวหมื่นฟุตดูน่าเกลียดพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยความเร็วสูงสุด สายหมอกทั้งหมดถูกดันออกไปข้างๆทำให้มันเคลื่อนตัวได้เร็วมากขึ้น

เมื่อตะขาบสีฟ้าตัวนี้ร้องคำราม ชายชราชุดคลุมเต๋าบนเส้นทางที่สามซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลพลันลืมตาตื่น เขามองออกไปไกลและเผยท่าทีตกตะลึง

‘ตะขาบเพลิงระดับสิบสอง! แม้ว่ามันจะอาศัยอยู่ในสายหมอกแต่มันปรากฏตัวได้ยากยิ่ง อะไรกันถึงทำให้มันร้องคำรามโกรธเกรี้ยวขนาดนี้? ไม่ดีแล้ว ศิษย์ข้ายังอยู่ในหมอก หากพวกเขาเผชิญหน้ามัน การหนีรอดเป็นเรื่องยากมาก!’ ชายชราพุ่งเข้าไปในสายหมอกทันที

หลังจากหวังหลินได้ยินเสียงคำรามจากอสูรระดับสิบสอง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เข้าใจได้ทันทีว่าตะขาบพวกนี้มีความแค้นฝังลึกกับประทับวิญญาณสงคราม ดังนั้นเขาจึงถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย

‘อสูรดุร้ายพวกนี้คล้ายกับข้ามากจริงๆ มันรั้งข้าไว้ไม่สนว่าชีวิตจะเป็นยังไง อสูรตัวอื่นเข้ามาเพื่อถ่วงข้าเอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้อสูรระดับสิบสองมีเวลาพอจะมาถึงที่นี่…ช่างน่าสนใจ!’ แววตาเย็นเยียบสุดขั้วของหวังหลินกะพริบวูบวาบ

เขาไม่สนว่าตะขาบพวกนี้เกลียดชังอะไรกับสำนักเทพเจ้า แต่หากพวกมันล่วงเกินเขา สิ่งที่ได้คือความตายเท่านั้น! หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขารู้ว่าต้องฆ่าตัวที่อยู่ด้านหลังเสีย ไม่เช่นนั้นมันจะร้องต่อไปเรื่อยๆเพื่อบอกตำแหน่งเขา

เสียงคำรามนี้ช่างน่ารำคาญสำหรับเขาเช่นเดียวกัน

“เมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ก็อย่ามาดุด่าข้าก็แล้วกัน!” หวังหลินหันกลับมาทันทีพลางยกแขนขวาขึ้นชี้ใส่เจ้าตะขาบที่อยู่ด้านหลัง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version