Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 141

Cover Renegade Immortal 1

141. สำนักปิศาจรบ

 

หมอกหนาแน่นในทะเลปิศาจเต็มไปด้วยพลังหยินหวังหลินอยู่ที่นี่เพียงครู่เดียวแต่เสื้อผ้าชุ่มฉ่ำไปแล้วความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะบนร่างกายทำให้เขาอึดอัด

ส่วนลี่มู่หวาน ใบหน้าเธอไม่ได้ขาวซีดแต่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยผิวกายเนียนเรียบเสื้อผ้าเธอชุ่มด้วยหมอกหนาเช่นกันเผยให้เห็นร่างกายทรงเสน่ห์

หวังหลินมองคราหนึ่งและถอนสายตาออกมา จิตใจเขาไม่ไหวติงหากไม่ใช่ว่าลี่มู่หวานสามารถสร้างเม็ดยาเส้นทางสวรรค์และเม็ดยารูปแบบอื่นได้เขาคงไม่ยอมให้เธอติดตามมาด้วย

ทะเลปิศาจเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ หลังจากผ่านไปเป็นเวลานานเขายังไม่เห็นก้นแอ่ง ถึงเช่นนั้นหวังหลินสังเกตได้ว่ายิ่งเขาเข้ามาลึกขึ้นพลังงานหยินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ในไม่ช้า สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดเริ่มปรากฎภายในหมอกบางตัวกระทั่งมีความผันผวนพลังปราณ นี่ทำให้หวังหลินตกตะลึงแต่โชคดีที่เขาตรวจจับพวกมันได้ดังนั้นจึงเพียงแค่ตกใจกลัวไม่กี่ครั้งและไม่ได้รับอันตรายจริงๆ

ลี่มู่หวานกลับเป็นฝ่ายกังวลมากขณะที่เธอได้ยินคำเล่าลือหลากหลายเรื่องเกี่ยวกับทะเลปิศาจแห่งนี้ผู้คนที่นี่ไร้เหตุผลขณะที่สิ่งเดียวที่สำคัญคือพลังอำนาจทั้งยังขาดเซียนสตรีหลายคน ดังนั้นเว้นแต่เธอจะมีเบื้องหลังอันแข็งแกร่งเธอก็เหมือนกับเจอชะตากรรมอันโหดร้าย

ก่อนที่จะเกิดกลียุคในฮัวเฝินมีเซียนจำนวนมากตั้งมั่นอยู่ขอบชายแดนของทะเลปิศาจอยู่เสมอซึ่งรวมถึงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดด้วยเป้าหมายเดียวของพวกเขาคือขัดขวางเหล่าเซียนนอกรีดจากการบุกรุก

บังเอิญว่าเหล่าอำนาจแข็งแกร่งในทะเลปิศาจทั้งหมดตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มที่ตั้งอยู่ชายแดนทั้งหมดมีขนาดเล็ก ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาเฝ้าระวังจะไม่มีเรื่องร้ายแรงใหญ่เกิดขึ้น

หวังหลินไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่พวกเขาเหาะเหินมา ทันใดนั้นเขาหยุดลงลี่มู่หวานไม่อาจตอบสนองได้ทันเธอจึงวิ่งชนหลังเขาหวังหลินมองไปที่หมอกห่างไกลอย่างเยือกเย็น “ออกมาเดี๋ยวนี้!”

ร่างสามคนทั้งสูงและผอมปรากฎขึ้นในหมอกแต่หมอกนั้นหนาเกินที่หวังหลินจะเห็นร่างพวกมันชัดเจนแม้ว่าจะสังเกตเห็นเป็นเซียนบุรุษจำนวนสามคนหนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นด้วยเสียงแหลม

“สามหาว! พื้นที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักปิศาจรบ หากเจ้าฉลาดพอ ทิ้งสตรีคนนั้นไว้หรือไม่ก็…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังหลินปล่อยลมเย็นเยียบออกมา “หนวกหู! ตายซะ!” ในแผนที่ระบุไว้ว่าในทะเลปิศาจไม่มีคำว่าเหตุผลมีเพียงความแข็งแกร่งจึงเป็นที่ยอมรับเขาสะบัดมือขวาออกมาและสัมผัสวิญญาณของหวังหลินก็กระจายออกทั้งสามคนเป็นเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางดังนั้นหวังหลินจึงสังหารได้ตามอำเภอใจ

ทันใดนั้นสายฟ้าแดงกระพริบวาบบนทั้งสามคน ดวงตาพวกมันหมองลงก่อนที่วิญญาณพวกมันแตกกระจายและตายทันที

หวังหลินเดินไปข้างหน้าและหยิบกระเป๋าพวกมันขึ้นมา จากนั้นเขาเตะร่างพวกมันเข้าไปในหมอกหนาและจากไปโดยไม่ได้มองกลับมา

ลี่มู่หวานหวาดกลัวขณะที่เธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหวังหลินกระทำเช่นนี้ทั้งสามคนนั้นเป็นเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางเหมือนเธอแต่พวกเขาตายอย่างลึกลับโดยไม่มีทางต่อต้าน

เธอตกใจขณะที่มองแผ่นหลังหวังหลิน จากนั้นเธอนึกถึงเมื่อครึ่งเดือนก่อนเมื่อตอนที่พี่ชายของเธอลี่ฉีหลิงพูดบางอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้เหนือภูเขาจิตวิญญาณที่ที่เหล่าเซียนหลายพันตนเข้าร่วม

ในระยะเริ่มแรกของการรบนั้นมีเรื่องราวประหลาดเกินขึ้นกับเหล่าเซียนของซวนหวู่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณทั้งหมดของซวนหวู่ตายอย่างลึกลับและหล่นลงจากท้องฟ้า

หากเป็นเพียงหนึ่งหรือสองคนคงไม่ถือว่าแย่นัก แต่ซวนหวู่มีนับสองร้อยคนและเกือบครึ่งตายอย่างลึกลับแบบนี้ เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้คราแรกเธอกลับไม่เชื่อว่าเป็นความจริง กลับคิดว่าเป็นแค่คำเล่าลือแต่เมื่อเห็นว่าเหล่าเซียนพื้นฐานลมปราณพวกนั้นตายเช่นไรก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวนั้น

เธอตามหลังหวังหลินและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่…ท่านพี่ ในสมาพันธ์ฮัวเฝิน ท่านอยู่กองกำลังไหน?”

หวังหลินไม่ได้หันศีรษะกลับมาขณะที่ตอบอย่างเยือกเย็น “กองกำลังที่สิบ”

เมื่อคำพูด “กองกำลังที่สิบ” ดังขึ้นในโสตประสาทลี่มู่หวานมันราวกับสายฟ้าฟาดสู่จิตใจของเธอเธอจดจำได้ชัดเจนว่าพี่ชายได้พูดเรื่องกองกำลังที่สิบเป็นหนึ่งกองกำลังที่สู้รบคราวนั้นตอนนี้เธอแทบจะมั่นใจได้ว่าบุรุษเย็นชาคนนี้เป็นคนที่ทำให้เซียนพื้นฐานลมปราณของซวนหวู่ตายไปจำนวนมากมาย

เมื่อคิดเช่นนี้ ความคิดสุดท้ายของเธอคือการต่อต้านการเหือดแห้งนั้นเธอไม่สามารถแม้แต่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาได้แต่ขณะนั้นเธอกลับจดจำรายละเอียดของวิชาประหลาดวิชาหนึ่งที่เธอเคยอ่านในสำนักลั่วเหอและโพล่งออกมา “วิชาที่ท่านใช้นั้น เป็นมนต์แห่งความตายหรือ?”

จิตใจหวังหลินตกตะลึงเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการออกทางสีหน้า เขาตอบอย่างเยือกเย็น “เจ้ารู้จักมนต์แห่งความตายด้วยหรือ?”

ขณะที่ลี่มู่หวานได้ยินคำพูดของหวังหลินเธอมั่นใจได้ว่าเขารู้จักมนต์ความตายในตำนานนั้นเป็นที่รู้กันดีกว่ามนต์แห่งความตายจากโลกเซียนโบราณนั้นยากเหลือเกินที่จะเชี่ยวชาญทว่าเมื่อควบคุมมันได้ดั่งใจ เพียงปรายตามองและพูดคำว่า “ตาย” คนผู้นั้นจะตายทันที

วิชาเซียนรูปแบบนี้ถูกพิจารณาแล้วว่าเป็นหนึ่งในยอดวิชามารของเหล่าเซียนปิศาจมันมีข้อกำหนดให้พลังงานสามรูปแบบรวมเป็นหนึ่งเข้าด้วยกันพลังงานแรกคือพลังงานหยินที่มาจากเซียนอิสตรีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดโดยใช้วิชาการเก็บเกี่ยวพลังหยินพลังแห่งที่สองเป็นพลังงานความตายที่ได้รับจากการดูดซับพลังงานจากกระดูกคนตายแม้ว่ามันจะคล้ายลึงกับพลังงานหยิน แต่คุณภาพนั้นต่างกันพลังงานแห่งที่สามคือพลังงานสังหาร เมื่อคนผู้หนึ่งสังหารคนได้เพียงพอร่างกายของเขาจะสร้างจิตสังหารของตัวเอง เมื่อจิตสังหารนี้ได้รับจิตสำนึกมันจะกลายเป็นพลังงานสังหารที่ตามต้องการ

การรวมพลังงานทั้งสามชนิดนี้เข้าด้วยกันจะผลักดันให้ผู้ฝึกเอาตัวรอดการทดสอบต่อไปของการฝึกวิชานี้ทว่าในทุกๆคืน ผู้ใช้จะต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนการได้และต้องอยู่รอดกับบททดสอบนี้ทุกสามปี

เพียงหลังจากผ่านวงจรนับครั้งไม่ถ้วนนี้ได้ถึงจะนับได้ว่าผ่านขั้นแรกของมนต์แห่งความตายอย่างสมบูรณ์หากคนผู้นั้นต้องการฝึกฝนมันต่อไป โอกาสตายจะสูงขึ้นจากการคำนวนโอกาสที่จะสำเร็จถึงขั้นเชี่ยวชาญ โอกาสแทบจะเป็นศูนย์แม้ว่าวิชานี้จะทรงพลังอย่างมาก ทว่ามันโหดร้ายเกินไปมีเพียงเซียนมารไม่กี่คนที่พยายามลองเรียนรู้มัน

หลังจากฟังคำลี่มู่หวานอธิบายมนต์ความตายด้วยเสียงสั่นเทาของเธอหวังหลินเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยและหลงเหลือแต่เพียงความเงียบความเงียบนี้ทำให้ลี่มู่หวานยิ่งกวาดกลัวเพิ่มขึ้นไปอีกและหัวใจเธอสั่นรัว

การเดินทางในทะเลปิศาจผ่านไปเป็นเวลานานในที่สุดหวังหลินก็เข้าสู่พื้นที่ส่วนทะเลตอนนี้หมอกหนามากและพลังงานหยินแข็งแกร่งมากเช่นกัน

เมื่อมองพื้นด้านล่างเขา หวังหลินพึมพำเล็กน้อยก่อนจะก้าวถอยหลังเขากระโดดไปรอบๆจนพบยอดภูเขาลูกหนึ่งหวังหลินยืนบนหินก้อนหนึ่งที่ยื่นออกมาขณะที่นำกระบี่เหินออกมาและชี้ไปที่ภูเขา

กระบี่เหินพุ่งไปทางภูเขาและเริ่มแกะสลัก

เสียงโลหะขีดข่วนก้อนหินเข้าสู่โสตประสาทของหวังหลิน ช่วยไม่ได้ที่หวังหลินจะคิ้วขมวดเมื่อภูเขาแข็งเกินไปและกระบี่ของเขาอ่อนแอ

เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นสัมผัสกระเป๋าอีกครั้งคราวนี้มีกระบี่มากกว่าสามสิบเล่มบินออกมาสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่เข้าไปในกระบี่แต่ละเล่มและกระบี่ทั้งหมดพุ่งเป็นห่าฝนลงไปที่ภูเขา

หนทางนี้จะทำให้เร่งกระบวนการเพิ่มขึ้นทันทีและถ้ำแห่งหนึ่งปรากฎบนด้านข้างภูเขาลี่มู่หวานเคยชินกับหวังหลินระหว่างการเดินทางแล้วตั้งแต่ที่ชายคนนี้สำเร็จมนต์ความตายจากนั้นการควบคุมกระบี่เหินสามสิบเล่มก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแล้ว

เธอรู้ได้ว่าจำนวนกระบี่เหินที่เซียนสามารถควบคุมได้ขึ้นอยู่กับสัมผัสวิญญาณ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและถ้ำแห่งหนึ่งพร้อมกับห้องจำนวนสี่ห้องค่อยๆถูกสร้างขึ้นมาเช่นนั้นถ้ำฝึกฝนเซียนอย่างง่ายๆได้ถูกสร้างขึ้นแล้วหวังหลินนำหินวิญญาณออกมาและตั้งค่ายกลหลากหลายแบบรอบถ้ำนี้

หลังจากลี่มู่หวานเห็นค่ายกลหลายแห่ง เธอเผยใบหน้าตื่นตกใจแต่หลังจากมองดูในตัวค่ายกลความตกใจนั้นได้หายไปและเผยเศษเสี้ยวแห่งการดูถูกขึ้นมาทว่าการดูถูกนั้นได้ถูกซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างนั้นการดูถูกนี้ยังคงถูกหวังหลินจับได้แม้ว่าเขาจะเพ่งไปที่การวางค่ายกลแต่สัมผัสวิญญาณของเขาไม่เคยออกจากตัวลี่มู่หวานหากลี่มู่หวานเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ หวังหลินไม่ใส่ใจว่าเธอจะเป็นสตรีเขาจะต้องสังหารเธออย่างไร้ความปราณี

หลังจากหวังหลินเสร็จสิ้นการวางค่ายกลเขาไม่ได้หันตัวกลับมาขณะพูดขึ้นน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าวางแผนจะพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน หากค่ายกลชำรุดข้าสามารถหนีไปได้ง่ายๆแต่เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง” จบคำพูดเขาหันกลับมาและมองไปที่ลี่มู่หวาน

ลี่มู่หวานกัดฟันแน่นและขยับตัวขึ้นเธอนำธงสีดำออกมาจากกระเป๋าและวางมันรอบถ้ำ ทว่าเธอยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยดังนั้นจึงวางค่ายกลเพิ่มรอบๆถ้ำและแม้กระทั่งจัดการค่ายกลของหวังหลินเพื่อเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน

หลังทำเรื่องทั้งหมดนี้เธอกัดฟันตัวเองอีกครั้งและนำกระดูกอสูรผลึกฟ้าออกมาเธอใช้กระบี่เหินตัดมันออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยหลังจากคำนวนอยู่ชั่วครู่เธอก็วางชิ้นส่วนที่ตัดลงไป

เธอวางมันอย่างต่อเนื่องสามชั่วโมงผ่านไปชิ้นส่วนกระดูกอสูรทั้งหมดสิบแปดชิ้นถูกวางลงไปหน้าผากลี่มู่หวานปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ เธอดูเหน็ดเหนื่อยมากพลันพูดขึ้น “รวมกับค่ายกลที่ท่านวางลงไป มีค่ายกลจำนวน 214 จุดทว่ามันเพียงค่ายกลพื้นฐานที่ทำได้เพียงหยุดเซียนพื้นฐานลมปราณได้เท่านั้นข้าได้ใช้กระอูกอสูรผนึกเพื่อวางค่ายกลเก้าโครงกระดูกลงไปแม้ว่าค่ายกลมีพลังเพียงสามในสิบส่วนเพราะขาดกระดูกมันยังสามารถต่อต้านเซียนขั้นแกนพลังปราณไว้ได้หนึ่งชั่วโมง”

“ข้ามีกระดูกผลึกไม่กี่ชิ้น หากเจ้าต้องการให้ค่ายกลเสถียรมากกว่านี้ ข้าต้องการกระดูกอสูรผลึกเพิ่ม”

จบคำพูดเธอสะบัดมือขวาและโยนเศษหยกออกมาหวังหลินรับมันไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณภายในมีข้อมูลการเข้าไปในค่ายกลที่ตั้งไว้ หลังจากหวังหลินอ่านจนจบเขาก็ทำลายหยก มองไปที่ลี่มู่หวานและชี้ไปข้างหน้า

ลี่มู่หวานรู้ได้ว่าเธอไม่เชื่อใจเขา แต่ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้ดังนั้นเธอจึงเดินเข้าไปในค่ายกลหวังหลินทิ้งสัมผัสวิญญาณของตัวเองติดตัวเธอไปด้วยและตามหลังไป

หลังผ่านค่ายกลเข้ามาหลากหลายชั้นก็เข้าสู่ถ้ำในที่สุดลี่มู่หวานนำธงเล็กผืนอื่นออกมาเธอสะบัดธงเบาๆและค่ายกลทั้งหมดก็ถูกกระตุ้น ปลดปล่อยหมอกหนาหากมองไกลๆจะไม่อาจเห็นอะไรได้และเมื่อมองใกล้ๆก็เห็นเพียงภูเขาเท่านั้น

ภายในถ้ำ หวังหลินตรวจสอบลี่มู่หวานที่ใบหน้าเธอยิ่งซีดมากขึ้นไปอีกเธอก้าวถอยหลังและกระซิบขึ้น “ท่านพี่ควรให้ข้าหลอมเม็ดยาเส้นทางสวรรค์ตอนนี้เลยหรือไม่? ”

หวังหลินส่ายศีรษะ “ข้าไม่กล้ากินเม็ดยาที่เจ้าหลอมขึ้นมาหรอก”

ดวงตาของลี่มู่หวานเริ่มแดงทันทีขณะที่เธอก้มศีรษะลงต่ำเบาๆผ่านไปนานเธอถึงยกศีรษะขึ้น น้ำตานองแก้มและกระซิบ “ท่านพี่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้บอกข้าเถิดว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไรถึงจะเชื่อใจข้า” เธอในตอนนี้แสนดึงดูดใจและสง่างามมาก

ความงามของลี่มู่หวานไม่ได้มีผลต่อหวังหลิน ใบหน้าเขายังคงสงบนิ่ง “ข้าไม่ชอบบังคับใคร ดังนั้นข้าจะไม่เรียกร้องจากเจ้านักทั้งหมดที่เจ้าควรทำคือหลอมเม็ดยาเพียงพอให้ข้าบรรลุขั้นแกนพลังปราณเมื่อข้าถึงขั้นแกนพลังปราณแล้ว ข้าจะคุ้มกันเจ้าออกจากทะเลปิศาจแต่ช่วงนี้ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าส่งจิตวิญญาณโลหิตให้ข้ามาเพื่อรับประกันว่าเม็ดยาจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดในช่วงเวลานี้”

ลี่มู่หวานครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นพยักหน้าเธอชี้นิ้วตัวเองระหว่างคิ้วและบังคับให้จิตวิญญาณโลหิตของตัวเองออกมาจากนั้นเธอก็ได้ส่งไปให้หวังหลิน

หลังจากหวังหลินรับมา เขาโยนกระเป๋าหลายชิ้นไปให้ “วัตถุดิบทั้งหมดอยู่ในนั้น ดูเถิดว่ายาชนิดไหนที่เจ้าสามารถหลอมได้”

ลี่มู่หวานตรวจสอบของในกระเป๋าด้วยสัมผัสวิญญาณและอุทานทันที “นี่…นี่มันรากพฤกษาเดียวดายและนี่มันหญ้าแกนเหลืองนี่…นี่คือรากทองคำเปลวและหญ้าปราณสวรรค์…” ยิ่งเธอมองของภายในกระเป๋าก็ยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงวัตถุดิบส่วนใหญ่สำหรับหลอมเม็ดยาและบางชิ้นได้สูญพันธุ์ในฮัวเฝินนานแล้วมีเพียงศิษย์ที่กลับจากสนามรบต่างแดนเท่านั้นที่จะนำมันกลับมาบ้าง

หวังหลินลูบคางตัวเองและโยนกระเป๋าออกมาเพิ่มขึ้นสิบถุงนี่คือของที่เขาริบมาคราวก่อนหลังจากนำสมบัติเซียนและหินวิญญาณทั้งหมดออกไปสิ่งที่เขาเหลือทิ้งไว้เป็นวัตถุดิบทั้งหมดที่ไม่รู้จักดังนั้นมันจึงยอดเยี่ยมที่มีลี่มู่หวานระบุสิ่งของในนั้นได้

หลังจากตรวจสอบกระเป๋าทั้งหมดความเศร้าโศกของเธอเมื่อครู่ก็หายไปทั้งหมดและใบหน้าขึ้นสีใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่ยกศีรษะขึ้นมาถาม “ท่านพี่อาวุโสข้าสามารถใช้ของพวกนี้ได้ไม่อั้นเลยใช่ไหม?”

หวังหลินพยักหน้า “ข้าเพียงต้องการเม็ดยา ส่วนกระบวนการก็แล้วแต่ที่เจ้าต้องการเถิด”

ลี่มู่หวานยิ้มให้หวังหลินเป็นครั้งแรกรอยยิ้มของเธอช่างหวานจับใจขณะที่เธอพูดด้วยความมั่นใจ “ท่านพี่อาวุโสโปรดวางใจข้าคำนวณได้ว่าข้าสามารถสร้างเม็ดยาปราณเหลืองที่สามารถช่วยในการฝึกฝนจำนวน 300 เม็ด เม็ดยาเลี่ยงพิษ 50 เม็ด และเม็ดยาชนิดอื่นที่มีผลแตกต่างกันเมื่อข้าเสร็จ ข้าจะนำมันทั้งหมดให้ท่านพี่ ในจำนวนวัตถุดิบที่ท่านมีนั้นของที่มีคุณค่ามากที่สุดเป็นเถาโลหิตมาร” จบคำพูดเธอนำแถบไม้สีแดงดูธรรมดามากออกมา

“แถบไม้แดงนี้เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับสร้างเม็ดยาเส้นทางสวรรค์และเป็นหนึ่งในของสำคัญที่สุดข้าเป็นเถาโลหิตมารนี้เพียงแต่ในบันทึกโบราณเช่นนี้ข้าจึงมั่นใจในการผลิตเม็ดยาเส้นทางสวรรค์ได้หนึ่งเม็ดทว่าผลของมันจะอ่อนแอลงเล็กน้อยเนื่องขากข้าจำเป็นต้องหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน”

ใบหน้าวังหลินนิ่งเรียบขณะที่พูดอย่างนิ่งเฉย “ข้าจะไม่ถามอะไรมากเกี่ยวกับการปรุงยา” เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าวางแผนจะออกไปข้างนอก อย่างน้อยสามวันและมากสุดครึ่งเดือนระมัดระวังตัวเจ้าเองด้วย”

จบคำพูดเขาก็พร้อมจะออกไป ลี่มู่วานลังเลเล็กน้อยจากนั้นรีบพูด “ท่านพี่อาวุโส ตอนที่ท่านออกไป ท่านพอจะหาเตาหลอมให้ข้าได้หรือไม่? ข้ามีวัตถุดิบดีหลายชิ้นและเตาหลอมที่ข้ามีก็ทำได้เพียงเม็ดยาธรรมดาทว่าหากข้าใช้เตาหลอมยาของข้าโอกาสสำเร็จเม็ดยาเส้นทางสวรรค์เพียงห้าในสิบส่วนเท่านั้นเดิมทีเม็ดยาเส้นทางสวรรค์จะเสร็จสิ้นโดยการใช้เตาหลอมสวรรค์ของสำนัก”

หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองลี่มู่หวานจากนั้นจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ลี่มู่หวานลอบถอนหายใจ เดิมทีเธอไม่ต้องการโกหกแต่เธอกลัวว่าหากเธอพูดความจริงก่อนหน้านี้ เขาอาจจะทิ้งเธอไว้ทว่าตอนนี้ทั้งคู่มาถึงจุดนี้แล้วและเธอกระทั่งยื่นจิตวิญญาณโลหิตของตัวเองให้เธอจึงตัดสินใจนำเรื่องโอกาสสำเร็จของเม็ดยาเส้นทางสวรรค์ขึ้นมาพูดหากเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาอาจจะสังหารเธอด้วยความโกรธแค้น

หลังออกมาจากถ้ำหวังหลินตรวจสอบทิศทางของตัวเองและมองไปทางที่แคว้นจ้าวอยู่สายตาเขากลายเป็นเย็นเยียบขณะพึมพำขึ้น “เถิงฮว่าหยวนข้ากำลังจะบรรลุขั้นแกนลมปราณ เมื่อข้าถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดข้าจะกลับไปแคว้นจ้าวและถอนรากทั้งตระกูลของเจ้าซะ เถิงฮว่าหยวนเจ้าอย่าพึ่งตายก่อนซะหละ มีชีวิตอยู่และรอให้ข้ากลับไป…”

ความเย็นในดวงตาเขาค่อยๆหายไปก้าวไปข้างหน้ากระตุ้นวิชาหลบหนีปฐีและพุ่งไปอย่างรวดเร็วเหตุผลที่เขาออกมาข้างนอกก็เพื่อหากระดูกอสูรวิญญาณเพิ่มตามที่ลี่มู่หวานเล่าเพียงเพิ่มกระดูกอสูรวิญญาณให้มากขึ้นจะช่วยให้พลังของค่ายกลเก้าโครงกระดูกถึงจุดสูงสุดหวังหลินรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรีบบรรลุขั้นแกนพลังปราณและอยู่ในสถานที่ที่อันตรายของทะเลปิศาจเขาจำเป็นต้องหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อรับประกันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด

อีกเหตุผลก็คือเขาต้องการกะโหลกของอสูรวิญญาณเพื่อสร้างเตาปฏิกรณ์สำหรับวิชาหลอมของเจดีย์เทพสงครามทั้งค่ายกลและเตาปฏิกรณ์ต่างจำเป็นต้องใช้กระดูกอสูรวิญญาณจากคำอธิบายในหยกแผนที่มีอสูรวิญญาณหลายชนิดในหมอกและกระดูกอสูรวิญญาณที่เบื้องล่างทะเล

ทว่ากระดูกอสูรวิญญาณหลายชิ้นได้ถูกคนอื่นขุดขึ้นมาแล้วดังนั้นแม้จะเดินหาเป็นเวลานาน หวังหลินยังไม่เจอสักชิ้นเดียวด้วยหมอกที่หนามากเบื้องล่างทะเลสายตาเขาจึงไร้ประโยชน์และเห็นผ่านสัมผัสวิญญาณเท่านั้น

ขณะที่เคลื่อนไหว ทันใดนั้นใบหน้าเปลี่ยนไปทันทีและก้าวถอยหลังจากนั้นกระเหินเล่มหนึ่งลอยโยกเยกไปมา กระพริบวาบตำแหน่งที่หวังหลินอยู่

หวังหลินอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายหรือก็คือแกนลมปราณเทียมดังนั้นเขาจึงมองผ่านไปเห็นชายอายุราวสี่สิบที่เพียงอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้นใบหน้าเขาม่วงคล้ำหอบหายใจหนักชัดเจนว่าถูกโจมตีด้วยพิษรุนแรงจนทำให้ไม่อาจควบคุมพลังปราณได้เต็มที่

ขณะที่กระบี่เหินลอยผ่านไป แสงอีกเส้นหนึ่งไล่ล่าด้านหลังเข้ามาใบหน้าหวังหลินยิ่งประหลาดใจเมื่อชายคนที่กำลังตามล่านั้นอยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบห้าใบหน้าขาวราวกับหิมะ ดวงตาเรียวยาวและเผยความชั่วร้าย

ชายหนุ่มใบหน้าชั่วร้ายกำลังถือกระดูกอสูรสีดำเขาไล่ล่าชายวัยกลางคนอย่างสบายๆขณะที่พัดกระดูกไปด้วย ทุกครั้งที่พัดควันสีดำจะลอยออกมา

เมื่อควันสีดำปรากฎขึ้น มันจะจับเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณคนนั้นอย่างรวดเร็วและเข้าไปในร่างกายเขา

“ท่านอาวุโส วิ่งเร็ว!ผู้น้อยต้องการเห็นว่าท่านจะรอดได้นานแค่ไหนด้วยพิษร้ายแรง 16 ชนิดในร่างท่าน” ชายหนุ่มพัดด้วยกระดูกดำอีกครั้งและพูดต่อด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “ท่านอาวุโสผู้น้อยคนนี้ใช้เวลาเตรียมการนานมากที่จะใช้พิษร้ายแรงที่ต่างกัน 16 ชนิดนี้กับท่านไม่เช่นนั้นข้าจะกล้าต่อต้านระดับพื้นฐานลมปราณของท่านได้เช่นไร? ท่านไม่สามารถหนีไปได้”

ชายวัยกลางคนกัดฟันแน่นและเงียบเสียงขณะที่กระบี่เหินลอยโค้งไปบนภูเขา

“ท่านอาวุโส ท่านแก่มากแล้วทำไมท่านไม่ยอมตายและให้ข้ากลืนท่านด้วยวิชาขโมยรากฐานเสีย?” ชายหนุ่มหน้าตาชั่วร้ายพูดขึ้นช้าๆขณะที่เข้าใกล้บนชายวัยกลางคน

หวังหลินสนใจกระดูกที่ชายหนุ่มถือ เขาเคลื่อนไหวไปข้างหน้าและติดตามทั้งสองอย่างเงียบเชียบ

หลังจากชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น เขาสาปแช่งเสียบแหบ “ซางมู่หยา(桑木崖 Sāngmù yá) ไอ้สารเลว หากไม่ใช่ข้าที่ขอร้องให้เจ้ากลับมาเช่นนั้นอาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้เยี่ยงไร? เจ้ากล้าทำสิ่งเลวร้ายกับสหายเซียนของเจ้าหรือ? หรือเจ้าไม่เกรงกลัวอาจารย์ตามเจอ?”

ชายใบหน้าชั่วร้ายหัวเราะสุดขีด “อาจารย์? หากอาจารย์ไม่ตอบตกลง ข้าจะกล้าดักทำร้ายท่านอย่างเปิดเผยเช่นนี้หรือ?”

ร่างชายวัยกลางคนสั่นสะท้านขณะที่เขาไอออกมาเป็นเลือดสีดำร่างกายอ่อนแอและหล่นลงจากกระบี่เหินของตัวเองชายผู้ชั่วร้ายหายใจอย่างเยือกเย็นและหยุดห่างจากต่างเขาสามฟุตเขาแทงบนศพนั้นหลายทีด้วยกระบี่เหินเพื่อแน่ใจได้ว่าตายจริงก่อนจะจับตัวเขาเพื่อหนีไป

ทว่าทันใดนั้นเขาก็หยุดลงขณะที่จ้องไปยังร่างดำในหมอกเหงื่อเย็นเฉียบปกคลุมหน้าผาก ตอนที่เขากำลังไล่ล่าศิษย์พี่อาวุโสเขาใช้สัมผัสวิญญาณตัวเองกระจายออกมาและไม่พบอะไรผิดปกติทว่าคนผู้นี้ปรากฎตัวด้านหน้าเขาอย่างเงียบเชียบนั่นหมายถึงระดับฝึกตนของเขาสูงกว่าเขาเกินไปอีก

เขาโยนร่างนั้นไปบนพื้น จากนั้นคำนับทันทีใบหน้าชั่วร้ายหายไปและแทนที่ด้วยใบหน้าอันใสซื่อ “ผู้น้อยเป็นศิษย์ของสำนักปิศาจรบ ซางมู่หยาท่านอาวุโสหยุดที่ผู้น้อยมีอะไรหรือไม่? ผู้น้อยจะช่วยท่านอย่างดีที่สุด”

หวังหลินเดินออกมาจากหมอกช้าๆและชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น

ชายหนุ่มรู้ว่าใบหน้าใสซื่อของตนถูกหวังหลินมองผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นรู้สึกหวาดกลัว

เขารู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับอาจารย์ของตัวเองแต่อาจารย์อยู่ขั้นสูงสุดพื้นฐานลมปราณระดับปลายและอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นแกนลมปราณทว่าชายหนุ่มคนนี้ดูยังไงก็ไม่แก่กว่าอาจารย์เขาแต่กลับถึงขั้นแกนลมปราณเทียมแล้ว…

จิตใจชายหนุ่มสั่นสะท้านและเผยใบหน้าเคารพยิ่ง

“วางกระดูกอสูรของเจ้าไว้ที่นี่” น้ำเสียงหวังหลินเยือกเย็นและไร้อารมณ์ใดๆ

ยิ่งหวังหลินมีท่าทางเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ซางมู่หยาตื่นตระหนกเขาเติบโตในทะเลปิศาจและได้ยินวิชามารทุกชนิด แม้ว่าระดับฝึกตนจะไม่ได้สูงเขายังฝึกฝนวิชาเนตรปัญญามารรู้จักวิชามารอันทรงพลังที่โหดเหี้ยมและเยือกเย็นพวกนั้นและแม้ว่าจะเห็นวิชามารผ่านสายตามามาก ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงของเลียนแบบแต่ผู้อาวุโสด้านหน้าเขาคนนี้ดูเหมือนจะโหดเหี้ยมและเยือกเย็นจากวิญญาณโดยเฉพาะสายตาคู่นั้นที่ทำให้จิตใจเขารู้สึกหนาวเหน็บ

เขารีบโยนกระดูกอสูรที่ถือไว้ในมือทิ้งทันทีและไม่กล้าคิดจะต่อต้าน

(Tl: หวังหลินเอ้ย ลี่มู่หวานอุตส่าห์เสนอตัวแล้วแท้ๆ)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version