Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 148

Cover Renegade Immortal 1

148. ขั้นแกนลมปราณ​ (5)

 

ขณะที่เขาหนี หวังหลินตรวจสอบเปลวไฟสีฟ้าที่อ่อนแอลงเปลวไฟนี้มาจากต้นแบบแกนลมปราณของเขายิ่งเขาใช้มันมากก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆหวังหลินไม่ต้องการใช้มันมากเกินไปก่อนที่จะบรรลุขั้นแกนลมปราณเพราะเขาเชื่อว่าหากมันอ่อนแอจะส่งผลกระทบต่อการทะลวงระดับชั้น

แม้ว่ามันจะมีพลังแข็งแกร่งแต่ก็เหมือนบางสิ่งที่ไร้รากฐานทุกครั้งที่มันถูกใช้งาน มันจะหดตัวลงเล็กน้อยย้อนกลับไปที่หุบเขาซากศพที่สิบสี่เขาไม่ได้ใช้มันจริงๆเนื่องจากพึ่งพาอุณหภูมิเพื่อละลายน้ำแข็ง

แต่เมื่อใช้สังหารศัตรูจะแตกต่างอย่างมากมันไม่ยากเกินไปที่จะใช้สังหารศัตรูโดยไม่ได้ต่อต้านแต่หากเขาใช้ต้านทานสมบัติเซียนของศัตรู เปลวไฟจะใช้มากกว่าปกติหลายเท่า

เนื่องจากมีคนสามคนเหตุผลที่การโจมตีครั้งล่าสุดเป็นไปได้ด้วยดีเพราะว่าพวกมันทั้งหมดหวาดกลัวราวกับนกน้อยหลังจากเห็นวิชาที่หวังหลินโยนมาทางพวกมันสิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าอีกสองคนมีเวลาโจมตีแต่กลับไม่ทำ

ทั้งยังเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ใช้มันก่อนหน้านี้นอกจากนั้นเขายังไม่ได้บรรลุขั้นแกนลมปราณดังนั้นจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรผิดพลาดทางที่ดีคือใช้เปลวไฟสีฟ้าในยามจำเป็นเท่านั้น

หากไม่ใช่กรณีที่กล่าวมาด้วยนิสัยของหวังหลินเขาคงใช้มันตั้งแต่แรกและสังหารศัตรูก่อนที่จะเลยมาถึงตอนนี้หวังหลินไม่ต้องการเสียความพยายามทั้งหมดที่เขาทำไปเพื่อสร้างต้นแบบแกนลมปราณ

หากหวังหลินไม่ถูกผลักเข้าตาจน เขาคงไม่ต้องการเสี่ยงทว่าทั้งสามไม่หยุดตามล่าเขาดังนั้นหวังหลินจึงตัดสินใจเสี่ยงให้แกนต้นแบบเสียหายเพื่อสังหาร

แต่ทันใดนั้นเซียนขั้นแกนลมปราณจำนวนเจ็ดหรือแปดคนปรากฎตัวขึ้นหนึ่งในนั้นเป็นเซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางหวังหลินตกใจจนทำให้เขายกเลิกความคิดที่จะสังหารทั้งสามคน

ขณะที่กำลังหนี หวังหลินรู้ว่าเขาเดินลงบนเส้นทางที่หวนกลับไม่ได้แล้ว หากเขาไม่บรรลุขั้นแกนลมปราณ ผลสะท้อนจะแย่มาก

การหลบหนีนับแสนลี้ถูกหยุดลงเมื่อเซียนขั้นแกนลมปราณไล่ล่าหวังหลิน

หัวหน้าผู้อาวุโสพูดอย่างช้าๆ “ตาแก่คนนี้อยากเห็นว่าเจ้าหนุ่มนี่จะวิ่งหนีไปได้ถึงไหนการสังหารผู้อาวุโสของสำนักมารปิศาจ แม้เจ้าจะหนีไปสุดขอบโลกเจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี” เขาสะบัดแขนและตราสัญลักษณ์สีทองปรากฎขึ้นพลันกดมันไปข้างหน้าและสัญลักษณ์สีทองลอยออกไป

ขนบนหลังคอหวังหลินตั้งตรงร่างกายสั่นสะท้านและเขาหลบสัญลักษณ์อย่างยากลำบากไม่นานหลังจากนั้นได้มีสัญลักษณ์ปรากฎเพิ่มขึ้น หวังหลินหลบมันได้ทั้งหมดเขากัดฟันแน่นและเหาะเหินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหล่าเซียนด้านหลังเริ่มค่อยๆเข้าใกล้เขามากขึ้น

หวังหลินคิดได้วิธีหนึ่ง แม้ว่าวิธีนี้จะอันตรายอย่างมากแต่หากมันสำเร็จเมื่อนั้นอันตรายทั้งหมดจะสูญสลายไป

พอคิดเรื่องนี้สายตาหวังหลินกลายเป็นเยือกเย็น จากนั้นเขาหันตัวไปรอบๆและเปลี่ยนทิศทาง

ในไม่ช้าภูเขาลูกหนึ่งมีหมอกปกคลุมปรากฎในระยะสายตาหวังหลิน หลังจากเห็นภูเขาลูกนี้หวังหลินพุ่งเข้าหาโดยไม่ลังเล

เมื่อเขาเข้าใกล้หมอกมันเปิดออกเป็นเส้นทางและสตรีสุดสวยนางหนึ่งในชุดสีม่วงเผยรูปร่างอันเย้ายวน

ทว่าขณะนั้นเองสัญลักาณ์ชุดหนึ่งพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าและร่อนบนหลังหวังหลินขณะที่เขาเข้าไปในหมอกหวังหลินกระอักเลือดออกมาและหล่นเข้าไปในหมอกราวกับว่าวป่านขาด

หญิงสาวชุดม่วงมองเซียนขั้นแกนลมปราณด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอสะบัดแขนและหมอกซ่อนรูปร่างตัวเธอไว้

ในเวลาเดียวกันเซียนขั้นแกนลมปราณสิบคนของสำนักมารปิศาจมาถึงด้านนอกสายหมอกหนึ่งในนั้นเป็นเฒ่าชราที่มีศีรษะใหญ่กว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดลูบศีรษะตัวเองและเหยียดยิ้ม “เด็กสาวนั่นเป็นของตาเฒ่าคนนี้ข้ากำลังขาดแคลนเตาหลอมเซียน”

เช่นนั้นเขาเลียริมฝีปาก สร้างเป็นมือยักษ์และจับไปที่หมอก ทว่าขณะที่มือสัมผัสเข้ากับหมอก ภาพของมังกรยาวสามร้อยเซี้ยะปรากฎขึ้น

เซียนหัวโตส่งเสียงกรีดร้องและถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยสายตาตกใจ เซียนขั้นแกนลมปราณคนอื่นต่างเผยใบหน้าตกใจขณะที่จ้องหมอกพวกนั้น

หัวหน้าผู้อาวุโส เฉียนคุน(錢坤 Qián kūn) พูดขึ้นอย่างหนาวเหน็บ “ค่ายกลแห่งนี้สร้างขึ้นตอนไหนกัน?”

เหล่าเซียนที่เหลือทั้งหมดมองหน้ากันเองแต่ไม่มีใครตอบ

เฉียนคุนปล่อยลมหายใจออกมาและมองค่ายกลอย่างละเอียดจากนั้นพูดขึ้น “นับตั้งแต่ที่ค่ายกลแห่งนี้สามารถเรียกมังกรออกมาได้มันต้องไม่ธรรมดาคุนซาง ลองใช้ตราประทับหมื่นผนึกดู”

คุนซาง(昆桑 Kūn sāng)เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ไล่ล่าหวังหลินตั้งแต่เริ่มต้นเขาก้าวออกมาข้างหน้าและสะบัดแขนขวาสร้างเป็นตราประทับสีดำขึ้นมามันขยายขนาดเติบโตจนมีขนาดเท่าภูเขาลูกเล็กขณะที่สายตาคุนซางจ้องไปที่หมอกเขาขยับแขนและตราประทับทุบลงไป

มังกรที่สร้างโดยหมอกส่งเสียงคำรามทันทีมันพุ่งขึ้นและปะทะกับตราประทับขนาดเท่าภูเขาเสียงคำรามดังกึกก้องระเบิดออกมาและภูเขาเล็กกระดอนกลับไปใบหน้าคุนซางซีดเผือด ใช้เวลาชั่วครู่เพื่อประคองลมหายใจ

ขณะเดียวกันที่ตราประทับปลิวออกไป มังกรกลับเข้าไปในหมอกและหายตัวทันที ค่ายกลกลับเข้าสู่สภาพปกติ

เฉียนคุนเยาะเย้ย “คุนซางให้ข้าใช้ตราประทับของเจ้า” จบคำพูดเขาไม่รอให้คุนซางตกลงและยื่นมือออกมาพลังอำนาจอันแข็งแกร่งดึงตราประทับขนาดเท่าภูเขาลูกเล็กไปหาเขาแต่เมื่อมันสัมผัสเข้ากับมือพลันกลับเป็นรูปทรงเดิม

เฉียนคุณกวาดมือตัวเองเหนือตราประทับเพื่อลบสัมผัสวิญญาณของคุนซางและทิ้งของตัวเองไว้แทนจากนั้นเขาปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาจากปากรวมเข้ากับตราประทับหลังจากนั้นโยนมันขึ้นไปบนอากาศอีกครั้งตราประทับกลับเป็นภูเขาลูกเล็กอีกครั้งแต่ขณะนี้มันมีขนาดอย่างน้อยใหญ่กว่าสองเท่าจากครั้งก่อน

ภูเขาลอยขึ้นไปบนฟ้าปกคลุมทั่วบริเวณด้วยเงาของมัน

เฉียนคุนจ้องสายหมอกและสะบมัดแขนให้ภูเขาลูกนี้ทุบลงไปอีกครั้ง สายหมอกสร้างเป็นมังกรขึ้นอีกคราพร้อมกับพุ่งเข้าปะทะภูเขา

ฉากเหตุการณ์ก่อนเล่นขึ้นอีกครั้งแต่ผลลัพธ์แตกต่างกันขณะที่ทั้งสองปะทะกันภูเขาหยุดกึกชั่วขณะแต่มังกรกระจายไปและภูเขากดต่ำลงต่อไป

แต่ขณะที่มันจมลง ร่างมังกรมากกว่าสิบร่างปรากฎขึ้นในสายหมอกและพุ่งเข้าหาภูเขา เฉียนคุณเยาะเย้ย “สหายอาวุโส โจมตี!”

ด้วยประโยคนั้นเหล่าเซียนขั้นแกนลมปราณที่เหลือนำสมบัติเซียนของตัวเองออกมาและเริ่มการทะลวงค่ายกลด้วยพละกำลัง

ส่วนหวังหลินหลังจากเข้าไปในถ้ำ เขาไอออกมาเป็นเลือดทันทีเกราะมังกรส่วนในยุบเข้าด้านหลังและปล่อยควันสีดำเคลื่อนไหวออกมาไม่นานนักเสื้อเกราะมังกรกลับเป็นปกติราวกับไม่เคยได้รับความเสียหาย

หากเขาไม่มีเสื้อเกราะมังกรนี้คงได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้แม้เฉียนคุนเป็นเพียงเซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางทว่าสัญลักษณ์ทำลายล้างของเขาแข็งแกร่งมาก

คนที่ถูกเขาโจมตีจะทำให้กระดูกทุกชิ้นในร่างกายแตกสลายและตายได้ใบหน้าหวังหลินซีดมาก เมื่อเขาเข้ามาข้างในถ้ำเขารีบนำกล่องไม้ที่มีเตาปรุงยาร้อยอสูรออกมาจากนั้นยื่นมันให้ลี่มู่หวานและพูดอย่างอ่อนแอ “นี่คือเตาปรุงยาอันดับห้ารีบปรุงเม็ดยาเส้นทางสวรรค์เร็วเข้า!” จบคำเขาปล่อยกระบี่เหินผลึกออกมา

กระบี่เหินร่อนลงบนไหล่เขาอย่างช้าๆเปล่งแสงเยือกเย็นแม้ว่าเขาจะมีจิตวิญญาณโลหิตของลี่มู่หวาน เขายังไม่เชื่อใจเธอเต็มที่การป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ลี่มู่หวานจ้องกล่องไม้ในมือเธอหลังจากชำเลืองมองเธอก็รู้ได้ว่าเตาปรุงยานี้ล้ำค่าแค่ไหนดังนั้นจึงถามขึ้น “พวกเขาไล่ล่าท่านเพราะสิ่งนี้หรือ?”

หวังหลินหลับตาและเพ่งสมาธิไปที่การฝึกฝนขณะตอบอย่างลวกๆ “ไม่”

ลี่มู่หวานมองหวังหลินด้วยแววตาซับซ้อนด้วยความฉลาดของเธอจึงเดาได้ว่าเซียนทั้งสิบคนนั้นมาที่นี่ได้เพราะเตาปรุงยาชิ้นนี้หวังหลินอาจจะไม่รู้มูลค่าของเตาปรุงยาชิ้นนี้ แต่เธอจะรู้ได้เช่นไร? ราคาของเตาปรุงยาอันดับห้านั้นสูงเทียมฟ้า

เธอจ้องไปที่หวังหลิน สายตาอ่อนโยนขณะถามอย่างนุ่มนวล “ท่าน…ท่านแลกเปลี่ยนมันกับอะไรไป?….หรือท่านขโมยมันมา?”

หวังหลินขมวดคิ้ว เขาลืมตาขึ้นและพูดน้ำเสียงเยือกเย็น “ไป ปรุง ยา!!!”

ขณะนั้นเองตัวถ้ำสั่นอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงต่อสู้ดังออกมาจากข้างนอก หวังหลินสูดหายใจลึกและเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง

ลี่มู่หวานไม่เห็นหวังหลินมาสามปี ในสามปีนั้นเธอวิเคราะห์เวลาที่เธอใช้ไปกับเขาจนสรุปได้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแย่ๆกับเธอ

ในสามปีที่ผ่านมาเธอกลัวการออกไปข้างนอกอย่างมากโชคดีที่เหล่าเซียนไม่จำเป็นต้องกินอาหารเยอะผลไม้วิญญาณและเม็ดยาก็เพียงพอให้อยู่รอดได้แล้วทุกครั้งที่เธอคิดถึงหวังหลินจะรู้สึกสับสนบางวันเธออาจจะตายได้นั่นหมายถึงหวังหลินตายข้างนอกเช่นกัน

เธอยังคิดว่าหวังหลินอาจจะปรากฎตัวขึ้นในถ้ำ แต่เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะกลับมาพร้อมกับเซียนขั้นแกนลมปราณสิบคนที่กำลังไล่ล่าเขา

เธอถอนหายใจออกมาจากนั้นจับเตาปรุงยาขึ้นและกลับไปที่ห้องเธออย่างรวดเร็วเพื่อปรุงเม็ดยาเส้นทางสวรรค์

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เมื่อลี่มู่หวานเริ่มปรุงยาเธอโยนสิ่งที่ทำให้เธอไขว้เขวออกไปและเพ่งสมาธิไปที่การปรุงยาอย่างเดียวทั้งยังรู้สึกกระวนกระวายมากไม่เพียงแต่เธอพึ่งเคยปรุงยาชนิดนี้เป็นครั้งแรกเท่านั้นด้านหน้าเธอเป็นสายตาของเจ้านายที่ทำให้เธอหงุดหงิด

เธอพยายามบอกตัวเองในใจว่าต้องสำเร็จเท่านั้นไม่เช่นนั้นเมื่อค่ายกลแตกออก ผลกระทบที่ตามมามากมายเกินจินตนาการหากเธอสำเร็จยังมีโอกาสอยู่ อย่างน้อยการหนีไปจะไม่เป็นปัญหา

ค่ายกลสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้น ฝุ่นผงหล่นลงจากผนังจนก่อเป็นชั้นผิวขึ้นบนพื้น เสียงการต่อสู้จากข้างนอกเริ่มดังขึ้นและดังขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version