Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 156

Cover Renegade Immortal 1

156. ข้าจะสู้ด้วยชีวิต

 

ภายในห้องอันลึกลับของเศียรมังกร แสงสีรุ้งสายหนึ่งปรากฎขึ้นพลางปรากฎแสงหลายเส้นมากขึ้นจนรวมไปที่ร่างหวังหลิน

เมื่อหวังหลินปรากฎตัวขึ้นมา จิตใจของซางก้วนโม่เต้นรัว เขาสงสัยว่าวิชาอะไรที่เจ้าอสูรตนนี้ฝึกฝนถึงสามารถเก็บซ่อนพลังชีวิตของเขาได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าจะใช้เวลานี้เพื่อหนีการควบคุมของหวังหลินดีหรือไม่ แต่ตอนนี้กลับไม่กล้ามีความคิดนั้นอีกแล้ว

ลี่มู่หวานสัมผัสเกล็ดมังกรขณะที่เธอกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง ขณะที่เพ่งสมาธิไปที่การสัมผัสเกล็ดมังกรทำให้เธอดูสง่างามมาก

แม้แต่ความผันผวนของจิตวิญญาณโลหิตของเธอก็ไม่มีผล แววตาค่อยๆเผยความเข้าใจขณะที่เธอมองชิ้นส่วนเกล็ดมังกรเบื้องหน้า

หวังหลินปรากฎภายในห้องและนั่งลงด้วยท่านั่งดอกบัวก่อนจะนำกระเป๋าถือออกมา หลังจากสังหารเซียนพวกนั้นตอนนี้มีแกนพลังปราณสีทองอยู่ภายในกระเป๋าหลายร้อยชิ้น

นอกจากนั้นกระเป๋าแทบทั้งหมดที่เซียนที่ตายไปถูกหวังหลินเก็บไว้ เขาจัดเรียงมันทั้งหมดอย่างรวดเร็วและพบว่ามีสมบัติเซียนและกระบี่เหินจำนวนมาก ทว่านอกเหนือจากคัมภีร์หนึ่งเล่มก็ไม่มีสิ่งใดมีค่าพอให้หวังหลินสนใจ

คัมภีร์นี้มีความยาวสองฟุตและหนาเท่าแขนทั้งยังเปล่งร่องรอยพลังปราณออกมา หวังหลินจดจำได้ทันทีว่ามันมาจากเซียนขั้นแกนลมปราณผู้หนึ่งที่เปิดมันออกครึ่งเล่มพลันขณะนั้นมีคลื่นเสียงคำรามดังออกมาจากคัมภีร์

พลังของสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ไม่ได้รับผลกระทบจากคนหมู่มาก แม้ว่าจะเป็นคนเดียวหรือเป็นกลุ่มเมื่อมันกวาดผ่านไปตราบใดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พวกมันต้องตาย สำหรับขอบเขตจวี่ หวังหลินยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกสุดแสนจะพรรณาได้ เขารู้สึกถึงการคงอยู่ของมันได้เป็นครั้งแรกภายใต้แรงกดดันของค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สนามรบต่างแดนและได้รับความเข้าใจเพียงน้อยนิด หลายปีที่ผ่านมาในการใช้งานและต่อสู้นั่นทำให้เขาเข้าใจความน่ากลัวของขอบเขตจวี่มากขึ้น

ทว่าหวังหลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขีดจำกัดของขอบเขตจวี่อยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเท่านั้น หากเขาต้องการบรรลุขั้นตัดวิญญาณจะมีโอกาสต่ำมาก

เจ้าของคัมภีร์ดั้งเดิมตายไปแล้วดังนั้นสัมผัสวิญญาณสัมผัสวิญญาณที่ประทับบนคัมภีร์ได้หายไปแล้วเช่นกัน หวังหลินประทับสัมผัสวิญญาณของตัวเองลงบนคัมภีร์แต่น่าแปลกที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

หวังหลินเผยความสนใจอย่างรวดเร็ว หากเป็นสมบัติธรรมดาเขาจะสามารถใช้งานมันได้อย่างอิสระหลังจากกวาดสัมผัสวิญญาณเจ้าของออกและประทับของตัวเองลงไป

ตราบใดที่มันไม่ใช่สมบัติระดับวิญญาณแรกกำเนิด สิ่งนี้มักเกิดขึ้นเสมอ

เมื่อตัดสินจากความผันผวนพลังปราณที่ออกมาจากคัมภีร์ มันไม่รู้สึกเหมือนกับสมบัติวิญญาณแรกกำเนิด หวังหลินมีสมบัติขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือหยกป้องกันที่โจวจินซึ่งเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของฮัวเฝินให้เขามา

สมบัติขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมีลักษณะเด่นชัดที่สุดคือพลังปราณอันแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมาซึ่งสมบัติขั้นแกนพลังปราณไม่เคยเทียบกันได้

นอกเหนือจากหินหยก หวังหลินยังมีกระบี่เหินที่สามารถใช้วิชาเคลื่อนที่พริบตา จากการคาดเดามันก็เป็นสสมบัติขั้นวิญญาณแรกกำเนิดด้วยเช่นกัน หากเขาไม่ใช้โลหิตเพื่อเป็นเจ้าของมันคงไม่มีทางที่เขาจะใช้มันได้

เมื่อคิดเรื่องนี้จึงช่วยไม่ได้ที่หวังหลินจะนึกถึงฝักกระบี่โบราณขึ้นมา เมื่อมันรวมเข้ากับกระบี่เหินจะเพิ่มพลังให้กับกระบี่ขึ้นอย่างมาก แม้แต่ซือถูหนานก็ไม่อาจเห็นความจริงที่มันซ่อนไว้ อย่างน้อยมันต้องเป็นระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิด หรือขั้นตัดวิญญาณ หรือกระทั่งสมบัติขั้นเปลี่ยนวิญญาณ เพราะมีไม่มากที่ซือถูหนานไม่อาจมองมันออกได้

หวังหลินถอนหายใจ ฝักกระบี่ถูกทำลายเมื่อเถิงฮว่าหยวนทำลายกระเป๋าเขา ทันใดนั้นหวังหลินเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้น หากสมบัตินั้นมีคุณภาพสูงจริงๆเช่นนั้นเถิงฮว่าหยวนไม่ควรทำลายมันได้

หากมันไม่ถูกทำลาย แล้วฝักกระบี่ไปอยู่ที่ไหนกัน?

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขาวางคัมภีร์ลงและยืนขึ้น หวังหลินเดินไปมาครู่หนึ่งก่อนจะนำวัตถุดิบคุณภาพต่ำเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นเขารวบรวมพลังปราณเล็กน้อยบนนิ้วมือเปลี่ยนกระเป๋าให้กลายเป็นฝุ่นผง

สายตาหวังหลินเพ่งสมาธิบนกระเป๋าขณะที่มันกำลังเปลี่ยนเป็นฝุ่น จากนั้นเขาลองมันอีกหลายครั้งก่อนจะเผยความเข้าใจเล็กน้อย

แม้ว่ากระเป๋าจะถูกทำลายไปแล้ว สิ่งของข้างในกลับไม่ใช่เช่นนั้น มิติภายในกระเป๋าเป็นเสมือนตู้นิรภัยที่ไม่มีขอบเขตขณะที่มันล๊อคไว้อยู่ แม้ว่ากุญแจล๊อคจะเสีย ตู้นิภัยยังคงอยู่ดีและถูกปิดตายพร้อมกับสิ่งของภายใน

หากเขาหาทางเปิดมันได้อีกครั้งเมื่อนั้นคงเป็นไปได้ที่จะนำสิ่งของข้างในกลับมา

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงในท่านั่งดอกบัวอีกครั้ง พลางมองคัมภีร์ที่ดูไม่เหมือนสมบัติขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แต่หวังหลินกลับไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกว่าจะควบคุมมันได้หลังจากประทับสัมผัสวิญญาณไปแล้ว ทันใดนั้นเขาเปิดคัมภีร์ขึ้น ใบหน้าเริ่มจริงจัง

ทั่วทั้งคัมภีร์เป็นสีดำขลับโดยไม่มีรูปใด เมื่อหวังหลินมองมันจู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายออกมาจากคัมภีร์ ดวงตาหนึ่งคู่ทรงสามเหลี่ยมบนกระดาษได้ลืมตาขึ้น จากนั้นเสียงคำรามกึกก้องดังออกมาจากภายในคัมภีร์ทำให้มันสั่นไปมา

หวังหลินไม่ลังเลที่จะรีบปิดมันลงไป เสียงคำรามค่อยๆเบาลงจนในที่สุดได้หายลับไป

หยาดเหงื่อเต็มหน้าผากหวังหลิน ขณะที่เสียงคำรามดังออกมาหวังหลินรู้สึกได้ว่าพลังของมันไม่น้อยไปกว่ามังกรที่ตายในหุบเขาซากศพเลย ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพลังปราณนั้นถูกขังไว้ในคัมภีร์

ขณะเดียวกันในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขายังไม่สามารถใช้คัมภีร์เล่มนี้หลังจากประทับสัมผัสวิญญาณไปแล้ว คัมภีร์เป็นเพียงผนึกเท่านั้น พลังที่แท้จริงของสมบัติมาจากอสูรวิญญาณที่ถูกขังไว้ข้างใน

หลังจากนำคัมภีร์วางไว้อย่างระมัดระวัง หวังหลินก็เริ่มคิดหลังจากผ่านไปเนิ่นนานเขาหยิบแกนพลังทองคำออกมาจากกระเป๋า สีของมันหมองคล้ำไปแล้ว หวังหลินคิดเล็กน้อยก่อนจะนำแกนพลังทองคำมากกว่าร้อยชิ้นออกมา ทั้งหมดมีแสงสลัวพร้อมกับความรู้สึกแห่งการดับสูญได้เล็ดลอดออกมา

หากเป็นในอดีต หวังหลินคงกลืนมันทันทีเมื่อเขาได้มา แต่ระหว่างทางมาที่นี่ ลี่มู่หวานบอกเขาว่าแม้การกลืนกินแกนพลังทองคำจะช่วยเพิ่มระดับฝึกตนได้แต่มันกลับทำให้พลังปราณไม่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับพลังปราณในร่างเขาที่บริสุทธิ์มากขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างของแกนพลังทองคำ มันต่างจากการดูดซับอย่างมาก มันจะทำให้พลังปราณของท่านปั่นป่วน สูญเสียการควบคุมและเร่ิมบ้าคลั่ง

หลังจากได้ยินเช่นนี้ แม้หวังหลินจะไม่เต็มใจเขาก็ล้มเลิกความคิดการกลืกนินมันตรงๆทันที จากที่ลี่มู่หวานเล่ามาการกินที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียนั่นก็คือต้องหลอมมันผ่านวิธีเบญจธาตุ

มันเป็นวิชาหลอมชนิดหนึ่งที่ถูกนับว่าเป็นวิธีมารซึ่งเธอเพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนำทั้งหมดกลับเข้าไปรอไว้ในกระเป๋าหากพบวิธีเบญจธาตุ

หลังจากนั้นหวังหลินนำเส้นเอ็นมังกรออกมา ด้วยการสะบัดหนึ่งคราเจ้าปิศาจก็ลอยออกมา มันลอยล่องไปรอบห้องก่อนจะมองหวังหลินด้วยท่าทางโศกเศร้า

แสงสีแดงบนตัวเจ้าปิศาจหรูหร่ามากกว่าครั้งก่อนมาก หวังหลินมองมันด้วยใบหน้านิ่งเฉยพลันพูดขึ้น “ระดับฝึกฝนของเจ้าฟื้นฟูมาถึงขนาดไหนแล้ว?”

เจ้าปิศาจถอยไปตั้งหลักอย่างระมัดระวัง “ข้าพึ่งจะฟื้นฟูมาถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ หากกระบี่เล่มนั้นไม่ขโมยจากข้าไป ข้าคงสามารถฟื้นฟูไปถึงขั้นแกนลมปราณได้แล้ว!”

หวังหลินเยาะเย้ยและจ้องเจ้าปิศาจ มันรู้สึกเส้นผมตั้งฟู ถอยตัวไปด้านหลังมากกว่าเดิมและพึมพำขึ้น “ข้าอยู่จุดสูงสุดขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย อีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุขั้นแกนลมปราณ” สิ้นคำมันลอบสาปแช่งในใจและคิดว่าหากหวังหลินผลักดันมันต่อไป เช่นนั้นมันจะออกมาและสู้ด้วยชีวิต

แต่มันเป็นเพียงความคิด เจ้าปิศาจเชื่อว่าแม้หวังหลินจะให้สมบัติมันทั้งหมด คงไม่มีของมีค่าในนั้นหรอก

ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นและฝ่ามือยื่นออกมา เจ้าปิศาจกรีดร้องทันที มันต้องการหลบหลีกแต่กลับพบค่ายกลรอบๆตัวจึงทำได้แค่เพียงมองตัวเองถูกจับและถูกดึงเข้าหาหวังหลิน

หวังหลินสืบค้นผ่านร่างกายเจ้าปิศาจ แสงสีดำค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนมันปรากฎเป็นแกนพลังสีทองหนึ่งชิ้นภายในร่างควันของเจ้าปิศาจ

ความโกรธของมันหายไปอย่างรวดเร็วและพูดอย่างไร้ยางอาย “นี่มันอะไร? ข้าสร้างแกนพลังของตัวเองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ข้าต้องกลืนกินมันจำนวนมาและสร้างมันโดยไม่รู้ว่า….” ขณะที่มันพูดขึ้น มันเป็นสายตาเยือกเย็นของหวังหลินและหยุดพูดทันที

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “เจ้าฟื้นฟูความทรงจำของตัวเองหรือ?”

เจ้าปิศาจสั่นสะท้านทันที นี่เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของมัน ตอนที่มันบรรลุขั้นแกนลมปราณมีบางสิ่งปรากฎขึ้นในใจมันแต่กล้าบอกหวังหลิน ตอนนี้มันถูกหวังหลินค้นพบแล้วจึงเริ่มกลัวทันที

มันคิดภายในใจ “ข้าควรจะต่อต้านเขาหรือ?​ต่อสู้? ไม่สิ ข้าไม่คิดว่าข้าสามารถเอาชนะได้…ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะสู้สุดกำลัง!”

ในที่สุดมันก็ตั้งใจและพร้อมจะเผชิญหวังหลิน ขณะที่มันเชิดศีรษะขึ้นพลางเห็นแสงสีแดงสดใสในดวงตาหวังหลิน มันจดจำสิ่งนั้นได้ทันทีและความเลวร้ายมาเยือนพร้อมกับกรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ควันสีเขียวออกมาจากร่างและกระทั่งแกนพลังทองคำหดตัวลงเช่นกัน

สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ของหวังหลินเดิมทีไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ แต่เขาเคยเป็นวิญญาณกลืนกินมาก่อน ความกดดันและความสามารถของวิญญาณกลืนกินยังอยู่ที่นี่

สิ่งนี้ทำให้หวังหลินเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงที่สุดของเจ้าปิศาจ หลังจากมันกรีดร้องได้สักพัก หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ออกมา เจ้าปิศาจยืนตัวสั่น ความคิดการต่อต้านหายไปจนหมดและเผยท่าทางเชื่อฟังแทน

มันไม่กลัวใครยกเว้นหวังหลิน หากหวังหลินทำร้ายมันสักหนึ่งชั่วธูป แกนพลังทองคำที่มันสร้างมาอย่างายกเย็นคงแตกสลายเป็นแน่

หวังหลินพูดอย่างใจเย็น “คายวิญญาณที่เจ้ากลืนกินไปทั้งหมดซะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version