1596. ผลแห่งกรรมของสำนักหลอมวิญญาณ 2
“หรือว่าสำนักหลอมวิญญาณของข้าจะไม่มีโอกาสยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ไม่มีโอกาสอีกต่อไป…” ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะบ้าคลั่งและเริ่มหัวเราะ ทว่าในจังหวะนั้น สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงและมองออกไปไกล
“เอ๋!” ดวงตาหรี่แคบ สองฝ่ามือสร้างผนึก เริ่มทำนายอย่างบ้าคลั่ง
“นี่มัน…นี่…นี่…” สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เขาใช้พลังชีวิตจำนวนมากและทำนายไปเก้าครั้ง แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดเก้าครั้งก็เหมือนกัน
นี่มันไม่อยากจะเชื่อและเป็นผลลัพธ์ที่บ้าบอคอแตกสำหรับเขาอย่างยิ่ง!
ขณะขบคิด ร่างกายกะพริบวาบและหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาและพุ่งเข้าหาแคว้นจ้าว
ด้านในเมืองแคว้นจ้าว โลกกลับกลายเป็นสงบสุข บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม หวังหลินยืนอยู่ตรงหน้าต่างและพึมพำเสียงกึกก้อง
“เวรกรรม คืออะไร…เวรกรรม…”
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้าๆ หวังหลินกลับมาที่โต๊ะโดยไม่รู้ตัวและจ้องมองตะเกียงน้ำมันที่มอดดับไปแล้วด้วยความงุนงงสับสน เสียงนั้นยังคงดังอยู่ในใจเขาอย่างต่อเนื่องจนมันแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่าง
เขาลืมกระทั่งปิดหน้าต่าง ตอนนี้ไม่มีสายลมหรือสายฝนอีกแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงทอประกายบนผืนแผ่นดิน ผู้คนตื่นขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าก้อนเมฆที่ห่อหุ้มมาตลอดครึ่งเดือนได้หายไปหมด
ท้องฟ้าสว่างมองไม่เห็นก้อนเมฆไกลสุดสายตา แสงตะวันค่อยๆ สาดส่องไปบนร่างผู้คนและทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ดูเหมือนฤดูร้อนครานี้จะมาเร็วกว่าที่คิด ฤดูฝนปีนี้จากไปเร็วเล็กน้อย
ต้าฝูตื่นขึ้นเช่นกัน เขาลูบตาและมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง พลันยิ้ม ชี้ออกไปตรงหน้าต่างและเริ่มคำราม
“เมื่อคืนข้าฝันว่า เพียงแค่ชี้นิ้ว สายฟ้าก็หยุดลง ฮ่าฮ่า ข้าทรงพลังอะไรขนาดนั้น ฮึ่มฮึ่ม ดูเหมือนข้าไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”
ความคิดหลายอย่างของหวังหลินถูกซ่อนไว้ในใจเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เขาไม่ได้หลับตลอดคืนแต่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทว่าเกิดความเจ็บปวดออกมาจากกลางหน้าผาก
เขาลูบคิ้วและมองต้าฝู หลังจากยิ้มให้จึงรู้สึกมีความสุขไปด้วย
“เจ้าทรงพลัง ฝันของเจ้าทำให้พายุสายฟ้าหายไปใช่หรือไม่?”
ต้าฝูตื่นเต้นและรู้สึกภูมิใจมาก
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การสอบราชการของแคว้นจะจัดขึ้นในอีกห้าวัน เหล่าบัณฑิตทั้งหมดที่มาสอบต่างก็รอให้ห้าวันผ่านพ้นไป ยามเช้าของวันที่หก ท้องฟ้ายังคงแดดจ้า เหล่าบัณฑิตทั้งหมดพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมหลายแห่งเข้าหาสนามสอบที่แตกต่างกัน
ในระหว่างห้าวันนี้หวังหลินไปที่สำนักงานเพื่อยื่นเรื่องและหาตำแหน่งสอบ นอกจากนั้นเขาไม่ได้ออกไปจากโรงเตี๊ยมเลย เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือซึ่งเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง หากเขาผ่านข้อสอบก็จะมีรอบถัดไป แต่หากเขาล้มเหลวคงต้องเริ่มตั้งแต่ต้น เขาคงต้องกลับไปที่หมู่บ้านและรออีกสองสามปีก่อนจะมีการสอบขึ้นอีกครั้ง
หวังหลินไม่ต้องการล้มเหลว เขาไม่สามารถทนเห็นสีหน้าท้อแท้ของท่านพ่อท่านแม่ได้ เขาไม่ต้องการให้ความล้มเหลวของเขาเป็นตัวการทำให้ญาติๆ มองครอบครัวด้วยสายตาปลอบโยนทั้งที่จริงๆ เสแสร้งแกล้งทำ
ต้าฝูทนทุกข์ตลอดห้าวันนี้ เขาเป็นคนกระตือรือร้นมากและออกไปข้างนอกเองขณะที่หวังหลินอ่านหนังสือ เขาเร่ร่อนไปในเมืองและพบเจอผู้คน ซึ่งทำให้ได้รู้จักคำว่าขี้เหนียวขึ้นไปอีก
ในวันที่หก หวังหลินอาบน้ำเสร็จและจุดธูป จากนั้นเปลี่ยนเป็นชุดบัณฑิตสีขาวและถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาสวมกระเป๋าไม้ไผ่และเดินไปหาสนามสอบ
เขากำลังจะไปสนามสอบที่สามที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง ถนนมีชีวิตชีวาและมีร้านรวงเต็มสองข้างถนน ร้านเหล่านี้เปิดขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อให้บัณฑิตที่เข้ามาสอบที่นี่สามารถซื้ออาหารกินได้
เพียงชำเลืองสายตามอง มีบัณฑิตหลายคนกำลังพุ่งไปหาสนามสอบ พวกเขาเร่งรีบ กังวลหรือไม่ก็กระวนกระวาย แม้แต่ตอนที่กินก็เพียงไม่กี่คำก่อนจะกลืนอาหารลงท้องและรีบจากไป
หวังหลินสูดหายใจลึกและค่อยๆ สงบตัวเองลง หลังจากกินถั่วไปไม่กี่คำเขาก็มาถึงด้านนอกพื้นที่สนามสอบพร้อมกับต้าฝู ที่นี่มีคนอยู่หลายคนแต่ไม่มีเสียง ดังเอะอะ ส่วนใหญ่พวกเขาหลับตา นึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จดจำมา
กรรมการสองคนสวมชุดคลุมมองมาที่เหล่าบัณฑิต เป็นเพราะพวกเขาจึงเกิดบรรยากาศอันทรงเกียรติขึ้นที่นี่ หวังหลินยืนอย่าสงบนิ่งมองไปที่สนามสอบ
ต้าฝูมองไปรอบๆ แต่ยิ่งมองก็ยิ่งมืดมนขึ้น เขาเห็นผู้ติดตามของคนอื่นๆต่างก็อ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเขา เทียบกันแล้วเขาเป็นคนนอกไปโดยปริยาย
หลังจากบ่นไม่กี่คำ ต้าฝูนำถั่วออกมากินไปบ่นไป
หลังจากนั้นไม่นานการสอบก็มาถึง เสียงระฆังดังคล้องจองออกมาไกลและดังไปทั่วทั้งเมืองจนกลายเป็นเสียงหนักแน่น
นาทีที่ระฆังเริ่มดัง เหล่าบัณฑิตทั้งหมดลืมตา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด บรรยากาศตึงเครียดผุดขึ้นมาอีกครั้ง
หนึ่งในกรรมการเอ่ยขึ้น “เข้าสู่สนามสอบ! หากพบว่ามีใครทำกระดาษจดคำตอบเอาไว้ จงทิ้งมันเองซะ อย่าให้พบทีหลังและถูกตัดสิทธิ์”
หลังจากบัณฑิตเริ่มเข้าห้องสอบ ทุกคนถูกค้นทั่วตัว พอมั่นใจว่าไม่มีกระดาษจดก็จึงยอมให้เข้าไป
พอถึงตาของหวังหลิน เกิดเหตุการณ์เดียวกัน หลังจากตรวจสอบกระเป๋าไม้ไผ่แล้ว จึงยอมให้เข้าไป
ต้าฝูโบกไม้โบกมือให้หวังหลินและเริ่มร้องคำราม กระทั่งคนรอบๆ ขมวดคิ้ว ใส่เขาและมองด้วยความดูถูก เขาก็ไม่สนใจ
หวังหลินยิ้มและโบกมือให้ต้าฝูด้านนอก ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไป
หลังจากเจอที่นั่งชื่อตัวเอง หวังหลินนั่งอย่างสงบและให้ความสนใจกับกรรมการคุมสอบ เมื่อเหล่าบัณฑิตทั้งหมดนั่งลง พวกเขาหันมาที่การสอบและเริ่มเพ่งสมาธิ
ยามที่กรรมการคุมสอบนำกระดาษข้อสอบปิดผนึกออกมาเท่านั้น เสียงการเขียนก็เริ่มดังไปทั่วห้อง
หวังหลินยกพู่กันหมึกอย่างใจจดใจจ่อไปที่กระดาษเปล่าเบื้องหน้า เขาไม่ได้มานานแล้ว การสอบดำเนินไปตลอดทั้งวัน ทำให้ผู้คนมีเวลาคิดอีกเยอะ
มีคนที่ทำสมาธิเหมือนหวังหลินที่รวบรวมความคิดของตัวเองและเริ่มเขียน ไม่นานหวังหลินก็เป็นคนเดียวที่ยังขบคิด
หัวข้อการสอบครั้งนี้คือภาพวาด เป็นภาพวาดที่เรียบง่ายมาก มีภูเขาหนึ่งแห่งที่มีต้นไม้หนึ่งต้นบนยอด ดูเหมือนจะมีสายลมทำให้ต้นไม้สั่นไหวได้
มีภาพร่างสองสามอย่างอยู่ใต้ภูเขา ดูเหมือนจะมีตระกูลหนึ่งปกป้องภูเขาลูกนี้เอาไว้
เจตนาของการวาดนี้ชัดเจนมาก โดยพื้นฐานแล้วมันหมายถึงความสามารถของแกนนำสำคัญ เหล่าบัณฑิตทั้งหมดรู้เรื่องนี้ดี และเรียงความทั้งหมดที่เขียนไปก็เกี่ยวข้องกันทำนองนี้
อย่างไรก็ตามตอนที่หวังหลินเห็นภาพวาด เสียงจากเมื่อห้าวันก่อนปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เวรกรรม…มันคือสิ่งใด…เวรกรรม…”
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็เป็นยามบ่าย บางคนเขียนเสร็จไปแล้วต่าง ก็ยกกระดาษขึ้นและเป่าให้น้ำหมึกแห้ง สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความสุขพลาง ส่ายศีรษะและเริ่มทำสมาธิ
มีเพียงหวังหลินที่ยังนั่งเงียบๆ ด้วยสายตางุนงงและยังไม่เขียนอะไรเลย ของแบบนี้หาได้ยากและกรรมการคุมสอบก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจหวังหลิน
มีคนค่อยๆ ออกไปจากสนามสอบกันแล้ว บางคนภูมิใจและบางคนก็ดูหดหู่ พวกเขาจากไปตัวคนเดียวหรือไม่ก็มีคนติดตาม
พระอาทิตย์เริ่มตกลงและห้องสอบก็เริ่มมืด มีเวลาเหลือไม่มากนักคงสักครึ่งชั่วโมง บัณฑิตคนสุดท้ายนอกจากหวังหลินลุกขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ เขามองหวังหลินและส่ายศีรษะก่อนจะจากไป
“หากเจ้าทำไม่ได้ก็ไปเร็วๆ เถอะ อย่าเสียเวลา” กรรมการคุมสอบขมวดคิ้วพลางเดินไปข้างหวังหลินและเคาะที่โต๊ะ
หวังหลินไม่ได้มองขึ้นไปแต่หลับตาอยู่ ครู่ต่อมาเขาลืมตาและเติมน้ำหมึกไปที่พู่กัน ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าและเริ่มเขียนใส่กระดาษอย่างรวดเร็ว
‘เวรกรรมคืออะไร? ข้าเห็นบ้านไม้แต่ภูเขาลูกนี้ไม่มีไม้ ดังนั้นข้าจึงปลูกต้นไม้นี้ไว้อย่างโดดเดี่ยว ระหว่างอาทิตย์ทอแสง ข้าเก็บเกี่ยวกิ่งไม้ ระหว่างวันข้าเก็บเกี่ยว เนื้อไม้ และระหว่างอาทิตย์ตก ข้าเก็บเกี่ยวราก…’ หวังหลินดูเหมือนจะหลงลืมว่าเกิดอะไรขึ้นรอบด้านโดยมีเสียงเก่าแก่ดังกึกก้องอยู่ในหัว เขาเขียนความคิดของตัวเองลงไปและเต็มไปด้วยคำถาม
“เอ๋?” กรรมการคุมสอบยืนอยู่ข้างๆหวังหลินมองดูกระดาษใบนี้ เขาตกตะลึงก่อนจะมองใกล้ๆ ไม่นานก็มีกรรมการอีกคนสนใจและเข้ามาดู บางคนชำเลืองมองอย่างเย้ยหยันและจากไป ไม่นานกรรมการที่เหลือทั้งหมดก็ส่ายหัวและเดินออกไป
‘…เวรกรรมคืออะไร ปลูกต้นไม้คือเหตุแห่งเวรกรรมและเก็บเกี่ยวต้นไม้คือผลแห่ง เวรกรรม…วันที่บ้านไม้ก่อตัวขึ้นมา มันก็กลายเป็นวัฏจักรแห่งเวรกรรมไปด้วย…’
หวังหลินวางพู่กันและมองอย่างล้ำลึก ประกายเจิดจ้าในแววตาพลันหายไปและถูกแทนที่ด้วยความสับสน เขาถอนหายใจก่อนจะคำนับฝ่ามือให้กรรมการคุมสอบอาวุโสคนสุดท้าย จากนั้นเก็บของและออกไปจากสนามสอบ
หลังจากไป กรรมการคุมสอบอาวุโสพลันหยิบกระดาษของหวังหลินขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะตกอยู่ในภวังค์และเกิดปัญญาบางอย่าง เขาจำชื่อบนกระดาษของหวังหลินเอาไว้
‘ความเข้าใจอันล้ำลึกในเวรกรรมสามารถออกมาจากวัยเยาว์ได้หรือ? คนผู้นี้อาจจะไม่กลายเป็นแกนนำสำคัญ แต่เขาจะได้กลายเป็นมหาบัณฑิต!’ กรรมการ คุมสอบอาวุโสขบคิดอยู่นานก่อนจะวงกลมในชื่อของหวังหลิน
หวังหลินเดินออกจากสนามสอบ กระทุ้งต้าฝูที่รอมาตลอดวันและพิงต้นไม้จนหลับไป เขายิ้มและกำลังจะปลุกแต่ทว่าโลกพลันมืดขึ้นก่อน ดูเหมือนจะมีเสียงโหยหวน น่ากลัวและความมืดเข้าครอบคลุมหวังหลินกับต้าฝูให้แยกออกมาจากเมือง
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำก้าวเดินออกมาจากสายลมทมิฬ กลิ่นอายเย็นเยียบเต็มไปทั่วร่างกายพลางมองดูหวังหลิน
“ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าเพียงต้องตอบคำถามเท่านั้น”
เขาคือศิษย์พี่ของตุ้นเทียนแห่งสำนักหลอมวิญญาณ! บัณฑิตส่วนใหญ่ทั้งหมดในแคว้นแห่งนี้ได้เจอเขาและโดนถามคำถามเดียวกัน จากนั้นเขาก็ลบความทรงจำไปด้วยความผิดหวังและค้นหาคนถัดไป