17. ซิวเซียน
หลังจากรอหวังหลินอยู่ที่สวน ผู้อาวุโสซุนกลับมาด้วยสีหน้ามืดทะมึนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนหน้านี้เขาไปคุยกับหัวหน้าสำนัก เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างหัวเราะเยาะเขา
‘รอจนกว่าข้าจะได้น้ำเต้านั่นทั้งหมดก่อนเถอะ และเมื่อสามารถสร้างยาเซียนนั่นได้จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะของข้าได้อย่างมากทีเดียว แล้วคอยดูว่าใครจะหัวเราะใคร’
หลังจากเข้ามาในสวน ผู้อาวุโสซุนได้เห็นหวังหลินแล้ว “หวังหลิน จากวันนี้ไปเจ้าเป็นศิษย์ของซุนต้าซื่อคนนี้ เจ้าต้องบ่มเพาะอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เสียชื่ออาจารย์” เขาโยนกระเป๋าใบเล็กออกมาและพูดขึ้น “นี่เป็นหลักฐานยืนยันตัวของศิษย์สายใน มันสามารถใส่ของได้มากมาย ชุดของเจ้าและข้อมูลพื้นฐานวิธีการบ่มเพาะอยู่ข้างในนี้ รับไปสิ”
หวังหลินรีบหยิบไปอย่างรวดเร็ว เขาตื่นเต้นเอามากๆ ภายในจิตใจเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังของครอบครัว เวลานี้เขารู้สึกเคารพจึงเรียกอาจารย์ซุนต้าซื่อได้จากใจจริง
อาจารย์ตอบด้วยเสียงฮึดฮัด เขาเพ่งสายตามาที่ศิษย์และพูดขึ้น “ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจะอาศัยในห้องข้างหลังนั้น เจ้าจะออกไปไหนไม่ได้ถ้าข้าไม่อนุญาต”
ด้วยคำกล่าวเช่นนี้ เขาหยิบก้อนกรวดขึ้นมาและโยนมันไปที่ประตูสวนด้านหลังเขา เห็นเพียงแต่แสงสีม่วงที่ก้อนกรวดกระทบกับประตูและมันสลายกลายเป็นผุยผงอย่างละเอียดจนกลายเป็นผนึก
หลังแสดงท่าทีแบบนั้น ซุนต้าซื่อมองหวังหลินอย่างเย็นชาและเดินเข้าไปในห้องตัวเองทันที
รูม่านตาหวังหลินหดแคบลง เขาเต็มไปด้วยความตกใจพลันถือกระเป๋าขึ้นและเดินเข้าห้องตัวเอง ห้องนี้เล็กมาก มีแค่เพียงเตียงตัวเดียว หวังหลินไม่คิดมากเขานั่งลงบนเตียงและตรวจสอบกระเป๋าที่ได้รับมาทันที
กระเป๋าสีเทาใบเล็กดูไม่มีความพิเศษอะไร หวังหลินหมุนกระเป๋าให้คว่ำลงพลันมีของหลายอย่างหล่นออกมา ทั้งชุดสีแดงและตำราเล่มเล็กๆ
หวังหลินหยิบตำราเล่มเล็กขึ้นมาและเปิดมันอย่างตื่นเต้น บนหน้าแรกเขียนว่า “สามขั้นการฝึกฝนพลังปราณ”
หวังหลินอ่านกระทั่งเที่ยงคืนโดยใช้แสงจากตะเกียงน้ำมัน เขาปิดหนังสือลงและรู้สึกว่าพึ่งเข้าใจการฝึกเซียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมดสามขั้นในการฝึกฝนพลังปราณซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สุด ในนี้ได้กล่าวถึงขั้นรวบรวมปราณทั้ง 15 ขั้น มีเพียงแค่สามขั้นแรกเท่านั้นที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ตอนนี้
สิ่งที่เรียกกันว่าการรวบรวมปราณเป็นการดูดซับพลังงานจากสวรรค์และผืนดินเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายและสร้างรากฐานสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
นี่เป็นบททดสอบว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติของแต่ละคนเป็นอย่างไร คนที่มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่นจะสามารถดูดซับพลังเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่า โดยปกติความเร็วการบ่มเพาะของคนมีพรสวรรค์จะรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นถ้าพรสวรรค์อยู่ในระดับทั่วไป บางทีเขาอาจจะไม่สามารถเข้าถึงระดับสามได้เลยตลอดชีวิต กระทั่งบางคนก็ไม่สามารถเข้าถึงระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
หนังสือสามขั้นการฝึกปราณกลายเป็นสมบัติของหวังหลินทันที เขาจดจำกระบวนการทั้งสามขั้นแรกไว้ในใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นนั่งขัดสมาธิ ปิดตาลงและเริ่มหายใจ หนึ่งยาว สามสั้นตามวิธีในตำราเล่มเล็ก หนึ่งยาวหมายถึงการสูดหายใจยาวลึกหนึ่งครั้ง ขณะที่สามสั้นหมายถึงการหายใจออกสั้นสามครั้ง แต่ละครั้งเพียงหนึ่งในสามของการหายใจตามปกติ ด้วยการใช้วิธีหายใจแบบผิดปกติแบบนี้เป็นวิธีที่จะดูดซับพลังงานเข้าสู่ร่างกายได้ไวที่สุด
อีกทั้งในหนังสือได้เขียนเพิ่มเติมเอาไว้ว่า โดยปกติผู้ที่ฝึกการหายใจในครั้งแรกจะรู้สึกเหมือนมีมดหรือแมลงไต่ตามร่างกายเป็นสัญลักษณ์ว่าพลังภายในกำลังเข้าสู่ร่างแล้วไม่จำเป็นต้องกังวล แค่ผ่อนคลายให้สบายและจินตนาการว่าร่างกายว่างเปล่าและเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
หลังจากนั้นเป็นเวลานานหวังหลินก็พบว่าไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถสัมผัสอะไรได้แต่เขายังหายใจไม่ทันอีกด้วย
หวังหลินถอนหายใจ เขารู้ว่าศิษย์ของสำนึกส่วนใหญ่มีพรสวรรค์อย่างมากและตำราเล่มนี้ก็เขียนขึ้นมาจากพวกเขาเหล่านั้น พรสวรรค์ของตัวเองเป็นแค่ระดับธรรมดา เขาจะทำให้สำเร็จได้เช่นไรกัน?
แต่หวังหลินก็ไม่หมดกำลังใจ หลังจากพักหายใจเขาก็เริ่มฝึกฝนเทคนิคการหายใจต่อไป
เวลาค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนเวลาเช้ามาถึง หวังหลินยังคงไม่รู้สึกถึงพลังภายในที่เข้าสู่ร่างกายได้เลย สมองเขาสลึมสลือจากการที่ไม่ได้นอนหลับเมื่อคืน จากนั้นเขาลุกขึ้นและเปิดประตูออกไป
ข้างนอกมีลมอันอ่อนโยนเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรต่างๆ หวังหลินหายใจลึกๆสองสามครั้งแต่ไม่สามารถกำจัดความเหนื่อยล้าออกไปได้ เขาคิดถึงน้ำแร่ในน้ำเต้า ถ้าเขาดื่มมันลงไปจะทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เขามั่นใจมากว่าได้ซ่อนหินลูกปัดและน้ำเต้าอย่างมิดชิด หวังหลินได้ค้นหาสถานที่เปลี่ยวร้างกว่าครึ่งภูเขา แม้อาจจะมีคนผ่านไปแถวนั้นก็คงไม่สามารถหาสมบัติของเขาเจอ
เขาเดินต่อไปในสวนสมุนไพรจนพบกับหินก้อนหนึ่ง หวังหลินนั่งลงบนหินและเริ่มการบ่มเพาะ ไม่นานจากนั้นเขาจึงรู้สึกราวกับมดกำลังไต่ตามร่างกาย หวังหลินตกตกลึง พอคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกต้องจึงทำต่อไป
อาจารย์ของเขาตะโกนขึ้น “หวังหลิน เจ้ากำลังทำอะไร? ออกมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้! ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่าห้ามไปบ่มเพาะในสวนสมุนไพร”
หวังหลินเปิดเปลือกตาตัวเองขึ้นและเห็นซุนต้าซื่อมองมาที่เขาใบหน้าบูดบึ้ง หวังหลินลุกขึ้นอย่างเงียบๆและออกห่างจากสวนสมุนไพร
ซุนต้าซื่อหายใจอย่างเยือกเย็น “เจ้ารู้แน่ว่าจะหาสถานที่ดีดีได้จากที่ไหน ข้าปลูกสมุนไพรเพราะว่ามันมีพลังภายในส่วนใหญ่ภายในสวน เจ้าเพียงเข้ามาและดูดมันออกไป ถ้าสมุนไพรของข้าตายเพราะเรื่องแบบนี้ แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ไม่มีอะไรมาทดแทนได้”
หวังหลินก้มหน้าอย่างเสียใจและพูดกับซุนต้าซื่ออย่างสุภาพ “ศิษย์ไม่รู้ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ครั้งหน้าศิษย์จะไม่บ่มเพาะที่นี่อีก”
ท่าทีของซุนต้าซื่อกลับมาเป็นปกติจากนั้นเขาเสริมขึ้น “ถ้าเจ้าหาน้ำเต้าอันอื่นมาให้ข้า ข้าจะไม่บอกให้เจ้าไปฝึกในสวนแต่จะให้หินวิญญาณระดับต่ำกับเจ้าแทน ด้วยหินนี้การบ่มเพาะพลังปราณจะเป็นเรื่องง่ายมาก”
หวังหลินก้มหัวต่ำลงเผยใบหน้าเยาะเย้ยเพียงแวบนึงจากนั้นได้พูดขึ้น “ศิษย์จะไปตรวจสอบน้ำแร่บนภูเขาอีกครั้ง ถ้าข้าโชคดี อาจจะเก็บเกี่ยวมาได้สักชิ้นนึง”
ซุนต้าซื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าไปเถอะ จำไว้ว่าถ้าเจ้านำกลับมาได้อีกสักอัน ข้าจะตอบแทนรางวัลด้วยหินวิญญาณระดับต่ำให้หนึ่งก้อน”
หวังหลินมองไปที่อาจารย์ซุนและถามขึ้น “ท่านอาจารย์พูดจริงใช่ไหม?”
ซุนต้าซื่อมองใบหน้าเปี่ยมความสุขของหวังหลินก่อนจะพูด “ใช่แล้ว เมื่อข้าได้น้ำเต้า ข้าจะให้หินวิญญาณระดับต่ำแก่เจ้าแน่นอน”
หวังหลินหัวเราะเยาะอย่างลับๆ แต่เขากลับพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ
มือขวาของอาจารย์ซุนชี้ไปที่ผนึกและพึมพำไม่กี่คำ เมื่อเขาสะบัดแขนจากนั้นประตูก็เปิดออก เขาลูบเคราตัวเองและพูดขึ้น “ไปเถอะ ออกไปตอนนี้จะได้กลับมาไวๆ”