Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1727

Cover Renegade Immortal 1

1727. ขัดขวาง

หลังจากเจ้าอสูรโลกันตร์กลืนกินเทียนหยุนเข้าไป มันจึงกลายเป็นเต๋าแห่งสวรรค์ หากมันไม่ต้องการให้คนอื่นตรวจจับกลิ่นอายได้ ก็ยากจะตามหามันเจอ

หากอยู่ด้านนอกโลกถ้ำ เต๋าแห่งสวรรค์คงมีข้อตำหนิ แต่ในโลกถ้ำแห่งนี้ มันไร้เทียมทาน!

ตอนนั้นแม้แต่เหลียนต้าวเฟยก็ไม่สามารถตรวจจับเต๋าแห่งสวรรค์ได้ จนทำให้เขาถูกกลืนกิน แม้อสูรโลกันตร์จะอยู่ในทะเลเมฆามานาน กระทั่งผีเฒ่าจางก็ไม่สังเกตเห็นมันได้

ส่วนสี่ขุนพลก็ไม่อาจจับสังเกตได้เช่นกัน

สัมผัสวิญญาณของแต่ละคนทรงพลังมากพอจนปกคลุมทั่วทะเลเมฆา แต่ก็ไม่เจอเจ้าอสูรโลกันตร์ ทั้งยังไม่อาจสัมผัสหวังหลินที่กำลังนั่งอยู่บนหลังเจ้าอสูรโลกันตร์ได้ด้วย

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเทียนหยุนถึงสามารถอยู่ในดาราจักรอัญเชิญนทีได้เป็นหลายร้อยปีโดยไม่ถูกพบเจอ

ร่างดั้งเดิมของหวังหลินกำลังนั่งอยู่บนหลังเจ้าอสูรโลกันตร์ ร่างอวตารกำลังควบแน่นแก่นแท้อยู่ด้านข้าง ระลอกคลื่นที่แผ่กระจายผ่านไปทั่วทะเลเมฆาไม่อาจซ่อนเอาไว้ได้แต่ก็ถูกเหล่าเทพและสี่ขุนพลตรวจเจอ

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาด้วยสัมผัสวิญญาณมากแค่ไหนก็ไม่เจอสิ่งใด ในสัมผัสวิญญาณพวกเขาไม่มีเจ้าอสูรโลกันตร์ มันเป็นเพียงแค่อวกาศสงบนิ่ง

ผีเฒ่าจางที่กำลังติดตามมาถึงกับขมวดคิ้วมองไปทางนั้น เขาขมวดคิ้วแต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่พบอะไร

‘นี่มันประหลาด…’ ผีเฒ่าจางดวงตาส่องสว่างและเริ่มขบคิด

หวังหลินไม่รู้เรื่องนี้เลย ร่างดั้งเดิมกำลังหลับใหลเพื่อฟื้นพลัง ส่วนร่างอวตารกำลังฟื้นคืนแก่นแท้ หลังจากแก่นแท้จริงเท็จปรากฏขึ้น หวังหลินยกแขนขวาและ เปิดฝ่ามือช้าๆ

“แก่นแท้นามธรรมชนิดที่สามคือ แก่นแท้เวรกรรม…เปิดฝ่ามือคือเหตุแห่งกรรม ปิดฝ่ามือคือผลแห่งกรรม…” แก่นแท้เวรกรรมรวมกันในมือขวาของหวังหลิน พลังที่มองไม่เห็นควบแน่นอยู่ในนั้น

ต่อจากนั้นก็เป็นแก่นแท้สังหารและแก่นแท้เขตอาคมที่ถูกอัญเชิญกลับมาและควบแน่น เจ็ดแก่นแท้ค่อยๆ โคจรอยู่ในร่างหวังหลินอย่างช้าๆ

ขณะที่แก่นแท้เคลื่อนไหว วิญญาณดั้งเดิมของเขาจึงค่อยปรากฏออกมาจากแก่นแท้ ทำให้หวังหลินเปลี่ยนกลับมายังวิถีทางก่อนที่ร่างอวตารแตกสลาย

ความแตกต่างเดียวก็คือ ตอนนี้ไม่มีวิญญาณอวตารของเทียนหยุนอยู่แล้ว

เมื่อร่างอวตารฟื้นคืนได้สมบูรณ์ ร่างดั้งเดิมลืมตาตื่นและมองร่างอวตาร หลังจากนั้นทั้งสองร่างจึงทับซ้อนกันกลายเป็นหนึ่ง

หวังหลินดวงตาส่องสว่างและขยับร่างกาย หลังจากค้นพบว่าไม่ติดขัดอะไรจึงมองออกไป

‘ในเมื่อข้ามีสิทธิ์ในการควบคุมชีวิตแล้ว เช่นนั้นข้าจะต้องเดินทางไปยังดาวเบญจธาตุ! ที่นั่นมีความลับหลายอย่าง กองกำลังสุดท้ายในโลกถ้ำก็ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น’

‘ชัดเจนว่ากองกำลังนี้กุมความได้เปรียบในตอนท้าย เช่นเดียวกับเทียนหยุน… ในเมื่อพวกเจ้าชอบซ่อนตัวในที่มืด ข้าจะบังคับให้ออกมาและให้ได้รู้ว่าโลกถ้ำแห่งนี้ไม่ได้เป็นของพวกคนนอก!’

‘หลังจากบังคับให้กองกำลังที่ซ่อนตัวออกมาแล้ว การแข่งขันหาวิญญาณ ดวงที่สามจะได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!’

จากมุมมองของหวังหลินนั้น เทียนหยุนคือหนามที่ถูกถอนออกไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงมีตัวแปรที่คาดไม่ถึงหลายอย่างในอนาคต หนึ่งในนั้นอาจร้ายแรงได้

เรื่องนี้ถือว่าเป็นความจริง ตอนนี้เทียนหยุนถูกหวังหลินทำลายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ หนามแห่งที่สอง เหล่าเทพจากสำนักกุ้ยยี่

คนนอกพวกนี้คือ หนามเล่มที่สอง! เขากำลังจะไปเผยพวกมันให้โลกเห็น!

นี่เป็นการประชันหนึ่งเช่นกัน เป็นการประชันของผู้มีอำนาจ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าใครจะตามหาวิญญาณดวงที่สามเจอก่อน!

ขณะที่หวังหลินขบคิด เจ้าอสูรโลกันตร์ด้านล่างได้ทะยานไปข้างหน้าและมาถึงส่วนลึกของทะเลเมฆาเพียงเวลาไม่นาน ด้วยคำสั่งหวังหลินมันจึงหลับตาลงและ กำลังจะเดินทางสู่ดาราจักรฟ้ากระจ่าง

ทว่าในจังหวะนั้นหวังหลินอุทานออกมาเบาๆ เขามองออกไปไกลและดวงตาวาวโรจน์

ไม่นานนักมีลำแสงมากกว่าร้อยสายปรากฏขึ้นจากระยะไกล ทั้งหมดกำลังมุ่งมาหาหวังหลิน

คนข้างหน้าสี่คนมีน้ำเต้าอยู่เหนือศีรษะ น้ำเต้าเปล่งควันสีเขียวราวกับพายุ

หวังหลินนั่งอยู่บนหลังของเจ้าอสูรโลกันตร์ด้วยท่าทีสงบนิ่ง จ้องมองแสงที่กำลังเข้าใกล้แต่ก็ไม่ให้ความสนใจ

“หวังหลิน!!” ลำแสงมากกว่าร้อยสายพลันหยุดชะงัก เสียงตกตะลึงดังออกมาจากสี่ชายชราที่นำอยู่ข้างหน้า

คนที่เอ่ยขึ้นนั้นคือ ขุนพลมังกรฟ้า!

เขาจ้องมองหวังหลิน โดยเฉพาะเจ้าอสูรโลกันตร์ด้านล่าง หัวใจของขุนพลมังกรฟ้าเต้นไม่เป็นจังหวะ

“อสูรนี่มันคือตัวอะไรกัน?” เขาไม่รู้ว่ามันคืออสูรโลกันตร์และไม่รู้ว่ามันคือ เต๋าแห่งสวรรค์ อีกทั้งนอกจากราชันย์เทพสีรุ้งแล้วไม่มีใครเคยเห็นร่างจริงของ เต๋าแห่งสวรรค์ พวกเขารู้แต่ว่ามันเป็นเพียงกลุ่มก้อนสายหมอกเท่านั้น

วิหคเพลิง เต่าดำ และพยัคฆ์ขาวต่างก็ตกตะลึงกันหมด สายตาแต่ละคนจับจ้องไปยังอสูรโลกันตร์ด้านล่างหวังหลิน

เหตุผลที่พวกเขาตกตะลึงเป็นเพราะสัมผัสวิญญาณที่แผ่กระจายมาตลอดเวลาแต่กลับไม่สามารถตรวจจับหวังหลินได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นด้วยตาตัวเองคงไม่เชื่อว่าหวังหลินอยู่ที่นี่

แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเขาใช้สัมผัสวิญญาณก็ยังเห็นแต่เพียงดาราจักรสงบนิ่ง ราวกับหวังหลินและอสูรด้านล่างไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่เลย

ทั้งสี่คนจะไม่กระวนกระวายได้อย่างไร?

ทั้งสี่มองหน้ากันเองและต่างก็เห็นความตกตะลึงและสับสนกันทั้งหมด

ผีเฒ่าจางตกตะลึงมากกว่าเดิมและหรี่ตาแคบ เขาไม่รับรู้ถึงอันตรายจากหวังหลินได้เลย แต่อสูรด้านล่างหวังหลินทำให้เขาสัมผัสอันตรายได้ชัดเจน

“ท่านเรียกหาข้าทำไม?” หวังหลินมองเหล่าเทพมากกว่าร้อยคนด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่มีคนใดเป็นภัยคุกคาม มีเพียงสี่ขุนพลที่คู่ควรให้มองด้วย

หลังจากกวาดสายตาไป เขาจึงสังเกตเห็นน้ำเต้าที่ลอยอยู่เหนือสี่ขุนพล น้ำเต้าเปล่งพลังปราณสวรรค์ ช่างน่าอัศจรรย์

ขุนพลมังกรฟ้าระงับความตกตะลึงในใจ ดวงตาส่องสว่างและเอ่ยขึ้น “เราไม่เจอสหายเซียนหวังตั้งแต่ที่แยกทางกันมา ตอนนี้ได้พบเจอกันแล้ว ข้าสงสัยว่าสหายเซียนจะไปที่ใด”

“ดาราจักรฟ้ากระจ่าง!” หวังหลินไม่เสียเวลา หลังจากเอ่ยขึ้นมา เจ้าอสูรโลกันตร์ด้านล่างจึงลอยไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ

เขาไม่มีเวลามายุ่งกับคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสี่ขุนพลหรือผีเฒ่าจางก็ไม่สามารถทำให้หวังหลินหยุดได้ อย่างไรก็ตามถ้าหากเขาต้องการจะไป ใครก็หยุดเขาไม่ได้อยู่ดี

สี่ขุนพลมองหน้ากันเองและมองอสูรโลกันตร์ด้านล่างหวังหลิน สายตาแต่ละคนเผยแสงประหลาด

ขุนพลมังกรฟ้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้าหวังหลินและเอ่ยขึ้น “ทำไมสหายเซียนหวังถึงรีบจากไปเช่นนี้? เราได้ทำข้อตกลงกันก่อนหน้านี้ หลังจากเรามาถึงแล้วก็ไม่ได้ สร้างปัญหากับแดนสวรรค์ของเจ้าหรือสังหารใครในโลกถ้ำ ตอนนี้สหายเซียนรีบจากไปเช่นนี้ มีเรื่องเร่งด่วนหรือไม่?”

หวังหลินขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยเพียงแค่สองคำ

“หลีกทาง!”

“สหายเซียนหวังอย่าเพิ่งโกรธเกรี้ยว เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เราเพิ่งพบว่าอสูรตัวนี้ประหลาดยิ่ง มันสามารถหลีกเลี่ยงสัมผัสวิญญาณได้ ข้าสงสัยว่าสหายเซียนไปเจออสูรตัวนี้ที่ไหน?” ขุนพลพยัคฆ์ขาวยิ้มแย้มและก้าวออกมา ยืนอยู่ด้านขวาของ หวังหลิน

ขณะเดียวกันขุนพลเต่าดำก็ได้ก้าวออกมาและปรากฏขึ้นด้านซ้ายหวังหลิน ขุนพลวิหคเพลิงลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังตัดสินใจปิดเส้นทางด้านหลังหวังหลิน

ไม่นานนักเหล่าเทพมากกว่าร้อยคนเข้าประชิดอย่างเงียบเชียบ ล้อมรอบ หวังหลินและอสูรโลกันตร์

“สหายเซียนหวังหลิน ข้าได้ยึดถือข้อตกลงของเรา ดังนั้นไม่ควรทำให้ความสัมพันธ์ของเราย่ำแย่ ไม่เช่นนั้นอาจมีเรื่องเกิดขึ้นกับแดนสวรรค์น้อยๆ ของเจ้า” ขุนพลเต่าดำเอ่ยขึ้น คำพูดดูมืดมน

หวังหลินมองดูเหล่าเทพที่ล้อมรอบตัวเอง แต่ดวงตาสงบนิ่ง

“สหายเซียนหวัง เจ้ามีคันศรลี่กวง ดังนั้นเราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าเพียงแค่บอกข้ามาว่าไปได้อสูรตัวนั้นที่ไหน” ขุนพลมังกรฟ้าจ้องมองอสูรโลกันตร์ ซ่อนความโลภในสายตาเอาไว้

“ข้าเชื่อว่าสหายเซียนจางกำลังสนใจต้นกำเนิดของเจ้าอสูรตัวนี้” ขุนพลเต่าดำเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก เขาชำเลืองไปที่ผีเฒ่าจางที่กำลังลอยอยู่โดดเดี่ยวห่างออกไปไกล

ผีเฒ่าจางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ด้วยอายุของเขาจึงเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ยิ่ง การที่สี่ขุนพลกล้าหยุดหวังหลินก็เป็นเพราะเขายังคงติดตามพวกนี้

ตอนที่เขายังเยาว์วัยก็มักจะยืมพลังของคนอื่นเข้ากดดันอีกฝ่าย เขาสนใจอสูร ตัวนี้เช่นกัน ดังนั้นพอขบคิดเล็กน้อยจึงพยักหน้า

“ข้าสนใจอสูรตัวนี้จริง หากเจ้ายอมบอก ข้าให้สัญญากับเจ้าหนึ่งเรื่อง”

“สหายเซียน เพียงแค่อสูรตัวเดียว เจ้ายอมเสียการยิงคันศรลี่กวงหลายดอกเชียวหรือ มันคุ้มค่ากันหรือไม่…นอกจากนี้เจ้าเหลือให้ยิงกี่ครั้งเชียว? เจ้าบอกเราได้หรือไม่ว่าเจออสูรตัวนี้ที่ไหน? หรือหากเจ้าให้ข้ายืมมัน ข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที”

“แม้เจ้าไม่ยอมให้ข้ายืม ในเมื่อเราต่างเป็นสหายกัน ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้าอยู่ดี แต่อาจมีปัญหากับการร่วมมือจากเรา อาจไม่ได้มีเซียนหลงเหลือในโลกถ้ำมากนัก” ขุนพลมังกรฟ้าพลางเอ่ยและยิ้มออกมา

“แทนที่จะไปค้นหาวิญญาณดวงที่สาม ท่านกลับมามีปัญหากับข้า! ดูเหมือนความเจ็บปวดก่อนหน้านี้จะไม่ลึกมากพอ ก็ดี วันนี้ข้าจะให้ท่านได้รู้สึกเจ็บปวดมากเสียจนลึกถึงกระดูกไปเลย!” หวังหลินยืนขึ้นด้วยสีหน้าเรียบง่าย แขนซ้ายยื่นออกไปหยิบขวานแยกสวรรค์ออกมา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version