180. ความโชคร้ายของจักรพรรดิโบราณ
ด้วยความตั้งอกตั้งใจ หวังหลินเดินผ่านเส้นทางในภูเขาเป็นเวลาเจ็ดปี ทุกครั้งที่เขาทำลายกฎเกณฑ์หนึ่ง เขาจะเปลี่ยนมันเล็กน้อยและเพิ่มเข้าไปอีก หากเส้นทางที่ดูเหมือนนรกและเต็มไปด้วยอันตรายทุกย่างก้าว เขาจะทำให้มันรู้สึกราวกับพุ่มหญ้าที่เปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ทุกครั้งที่รวมมันเข้าด้วยกันจะทำให้รู้สึกราวกับสวรรค์และนรกกำลังดูดกลืนท่านอยู่
หากมีคนอื่นโชคไม่ดีพอที่จะวิ่งผ่านเข้าไป หากไม่ตายก็คงสูญเสียกายเนื้อไป
ในเจ็ดปีที่ผ่านมานี้หวังหลินเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้กลายเป็นในแบบฉบับของตนเองไปจำนวนมาก หวังหลินได้รับการรู้แจ้งหลายอย่าง ในตอนนี้จึงทำลายกฎเกณ์ทั้งหมดด้วยตัวเองง่ายๆและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
สิ่งนี้ทำให้หวังหลินแปลกใจและเพิ่มความสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วมีเพียงทางออกเดียวที่จะออกภูเขาแห่งนี้คือผ่านวิชากฎเกณฑ์พวกนี้
เจ็ดปีของการค้นคว้ากฎเกณฑ์ของเขา หวังหลินไม่เคยสังเกตง่ายๆ เขาทดลองสร้างกระบวนการผ่านกฎเกณ์ขึ้นมาด้วยตัวเอง วิธีนี้คือจึงเกิดผลของการลองผิดลองถูกนับไม่ถ้วน เขาทำอย่างเชื่องช้าจากจุดเริ่มต้น รายละเอียดไม่ผิดพลาดแม้เพียงจุดเดียว ขณะที่กระบวนการค่อยไปๆนั้นแต่ละก้าวข้างหน้าของเขาหนักแน่นมาก
เมื่อเป็นกฎเกณฑ์ยากๆและหายากเข้ามา หวังหลินเริ่มจากพื้นฐานเสมอและผ่านกระบวนการอย่างช้าๆโดยไม่มีการวอกแวกในใจ หวังหลินจึงค่อยๆพัฒนาชุดความคิดการฝึกฝนวิชากฎเกณ์ของตัวเอง
มีหลายคนที่สามารถใช้วิชากฎเกณฑ์ได้ ทว่ามีน้อยคนที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง นอกจากผู้เชี่ยวชาญรุ่นเก่าไม่กี่คน ไม่มีใครที่กล้าเปรียบเทียบกับหวังหลินในวิชากฎเกณฑ์ได้
แม้กระทั่งหวังหลินยังรู้สึกงุนงงอย่างมาก ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ระดับปานกลางของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชากฎเกณฑ์
ขณะเดียวกัน หวังหลินนั่งขัดสมาธิลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เขากำลังจ้องตรงไปที่ก้อนเมฆห่างไกล ก้อนเมฆนั้นไม่ไหวติง
เมื่อสองวันก่อนหวังหลินเริ่มจ้องก้อนเมฆนั้นในสมาธิระดับลึก เขานำหินหยกออกมาและบันทึกไม่กี่คำเข้าไปจากนั้นวาดลงบนพื้น
ก้อนเมฆนี้ดูเหมือนจะเบาบางมากต่อหวังหลิน กฎเกณฑ์ของมันมีอยู่เต็มพื้นที่รอบภูเขา หากใครต้องการผ่านมันไปคงต้องบินผ่านและพึ่งพาโชคของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด
หากมันเป็นเมื่อเจ็ดวันก่อนหวังหลินคงจำเป็นต้องใช้สัตว์ตัวเล็กเพื่อทดลองการผ่านกฎเกณฑ์นี้ ทว่าด้วยความเข้าใจในกฎเกณฑ์ที่พัฒนาไปแล้วโดยเฉพาะดวงตาที่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปในดวงวิญญาณ จึงเพียงแค่จ้องก้อนเมฆนี้เล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่ยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหมดอย่างเต็มที่เขาสามารถบอกได้ว่ากฎเกณฑ์ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้คืออะไร มันเป็นหนึ่งในกฎที่ป้องกันการเหาะเหิน
ด้วยกฎนี้ กฎเกณฑ์ก้อนเมฆจึงมีความแยบยล หากไม่มีก้อนเมฆแต่มีกฎเกณฑ์ล่องหนอยู่นั้นคงยากที่จะทำลายได้และไม่อาจคาดเดาได้ ทว่าก้อนเมฆปกคลุมอยู่ใจกลางกฎเกณฑ์
ตัวแปรที่ไม่ทราบนี้อยู่ในกฎเกณฑ์แห่งนี้
กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจหวังหลินไม่ได้ร้อนรน ดวงตาเปล่งประกายขณะที่จ้องก้อนเมฆนั้น ทันใดนั้นแขนเริ่มเคลื่อนไหวเป็นภาพเบลอด้านหน้า
ภาพติดตาบนฝ่ามือเริ่มปรากฎจนกระทั่งดูราวกับมือนับพันมือ ภาพติดตาพวกนี้เริ่มสั่นและจากนั้นกระจายออกอย่างรวดเร็ว
ภาพติดตามที่ฝ่ามือหวังหลินได้สร้างเป็นวงกลมมายาหนึ่งวง ทันใดนั้นหวังหลินหยุดชะงักและดันมือขวาเข้าไป วงกลมมายาลอยเข้าไปทางก้อนเมฆ
หลังจากวงกลมมายาเข้าไปในก้อนเมฆมันก็เริ่มกระจายออก ภาพลวงตาสร้างคลื่นกระชากผ่านก้อนเมฆ หวังหลินนั่งขัดสมาธิไม่แม้แต่ชำเลืองมองก้อนเมฆนั้น สายตาเขาปิดลงพร้อมกับเริ่มขมวดคิ้วช้าๆ
วงกลมมายานี้คือวิชาที่พัฒนาโดยหวังหลินเพื่อทำลายกฎเกณฑ์ หลังจากค้นคว้ามาเจ็ดปีและปรับปรุงให้ดีขึ้นเขาจึงเชี่ยวชาญวิชานี้
หวังหลินกระทั่งไม่จำเป็นต้องมองด้วยสายตา ด้วยการตรวจสอบคลื่นที่สร้างจากวงกลมมายา เขาจึงสามารถเข้าใจโครงสร้างและกฎของกฎเกณฑ์ได้ หลังจากนั้นชั่วขณะจึงลืมตาขึ้น มือขวาสะบัดเบื้องหน้าอีกครั้ง เวลานี้ใบหน้าอันเคร่งเครียดปรากฎ เขาเคลื่อนมือจนกระทั่งใช้เวลาหนึ่งก้านธูป วงกลมมายาหลายชั้นปรากฎเบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อวงกลมมายาจำนวนสิบวงปรากฎหวังหลินเริ่มหอบหายใจหนักหน่วง เขากำลังสูญเสียการควบคุมของฝ่ามือขวา ด้วยแรงสุดท้าย หวังหลินกอดแขนตัวเองไว้สิบครั้ง พร้อมกับที่วงกลมมายาสิบวงเข้าไปในก้อนเมฆทีละวง
การสร้างวงกลมมายาที่ดูเหมือนง่ายนั้น มันจำเป็นต้องให้หวังหลินเคลื่อนมือนับหมื่นครั้งสำหรับวงกลมหนึ่งวง
วิชานี้เป็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้กฎเกณฑ์เจ็ดปี วงกลมมายามันเองนั้นคือวิชากฎเกณฑ์หนึ่งเลยก็ว่าได้
วงกลมมายาสิบวงทะลุผ่านก้อนเมฆและจางหายไป สร้างระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนบนก้อนเมฆจนทำให้มันกระเพื่อมอย่างรวดเร็ว
หวังหลินปกปิดตัวตนของตัวเอง เขาวางแขนลงจากนั้นถอยออกมาวาดรูปหนึ่งลงบนพื้น ผ่านไปนานจึงลืมตาขึ้นและยิ้มออกมา หวังหลินสะบัดแขนขวาและกวาดภาพทั้งหมดบนก้อนหิน ดวงตาเปล่งประกายขณะที่ยืขึ้นมากวาดภาพทั้งหมดด้วยมือซ้ายและเริ่มลูบมันด้วยมืออีกข้าง เขามองลงไปและคำนวณเวลา จากนั้นเคลื่อนฝ่ามือขวาและยิงลำแสงออกไป
ลำแสงพุ่งเข้าหาก้อนเมฆทำให้มันสั่นกระเพื่อม จากนั้นมันกระจายไปอย่างช้าๆ ขณะที่ก้อนเมฆหายไปสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในจึงเผยตัวตนออกมา
หวังหลินสูดหายใจลึก เขานำหินหยกออกมาและบันทึกลักษณะของมันอย่างละเอียดขณะที่วิเคราะห์กฎเกณฑ์ ในเจ็ดปีนี้เมื่อไหร่ที่หวังหลินเปิดกฎเกณฑ์ขึ้นมาหนึ่งแห่ง เขาจะบันทึกมันเพื่อที่ว่าอาจจะใช้มันอีกครั้งในอนาคต
หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูปหมดไป หวังหลินเก็บหินหยกพร้อมกับจ้องไปที่ตำแหน่งที่ก้อนเมฆอยู่และเห็นสะพานแตกหักแห่งหนึ่งที่ห่างไปเพียงสามจ้าง
มันเป็นใบหน้าที่แท้จริงของกฎเกณฑ์ ขณะที่หวังหลินกำลังจะก้าวเข้าไป เขาตรวจสอบสะพานอย่างระมัดระวัง ดวงตาตกลงบนต้นไม้เล็กต้นหนึ่งที่กำลังเติบโตถัดจากสะพานชำรุดแห่งนั้น
ด้วยประสบการณ์การทำลายกฎเกณฑ์มาเจ็ดปี เขาสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติในต้นไม้เล็กนั้น กฎเกณฑ์ทั้งหมดที่หวังหลินพบเจอมาในภูเขาแห่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องยากมากที่บางครั้งจะเจอกฎเกณฑ์สองอย่างซ้อนทับกันบนยอดกันเอง แต่กฎเกณฑ์นี้แตกต่างมากเกินไปจากกฎเกณฑ์อันทรงคุณค่านั้น
กฎเกณฑ์แห่งนี้ต้องถูกเพิ่มโดยคนอื่นเป็นแน่ หวังหลินเองได้ทำสิ่งเดียวกันในเจ็ดปีที่ผ่านมา ต้นไม้เล็กนี้ต้องถูกวางที่นี่โดยคนอื่น หวังหลินหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขามองกฎเกณฑ์บนต้นไม้เล็กนั้นหนึ่งคราและจดจำได้ทันทีว่ามีระดับเดียวกับคนที่เล่นผิดกติกาที่หวังหลินเผชิญหลายครั้ง ทั้งหมดนี้ถูกสร้างมาโดยคนคนเดียวกัน
สี่ปีก่อน บางคนเริ่มพยายามขัดขวางเขาด้วยกฎเกณฑ์ หลังจากทำลายกฎเกณฑ์ทีละอย่างหวังหลินจึงเข้าใจกฎเกณฑ์ของคนผู้นั้นอย่างดี
ปกติแล้วกฎเกณฑ์ในภูเขาจะไม่แสดงผลจนกว่าจะมีคนไปสัมผัสมัน ทว่ากฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยคนผู้นี้แตกต่างกันออกไป เมื่อหวังหลินมาอยู่ในระยะ มันจะโจมตีเขาทันที หากการโจมตีของมันไร้ผล มันจะทำลายตัวเองและกระตุ้นกฎเกณฑ์ใกล้ๆขึ้นมา กับดักของคนผู้นี้นับเป็นกรงขังของกฎเกณฑ์โดยแท้
หวังหลินขมวดสายตาขณะที่จ้องต้นไม้เล็กต้นนั้น เขาส่งวงกลมมายาออกไปสามวันให้ร่อนไปบนยอดต้นไม้
ต้นไม้เล็กสั่นเบาๆและใบไม้เริ่มร่วงออกไปทั้งหมด ลำต้นเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว หลังจากใช้เวลาสักพักมันก็เริ่มโค้งลงในที่สุด
วงกลมมายาของหวังหลินมีกฎเกณฑ์อยู่นับไม่ถ้วน มันมีหน้าที่หลักคือการทำลายกฎเกณฑ์ ดังนั้นกฎเกณฑ์ของต้นไม้เล็กจะถูกทำลายทีละชั้น
ดวงตาหวังหลินเป็นประกายเย็นชา เขานำกระบี่ดำออกมาจากกระเป๋าและส่งมันเข้าหาต้นไม้ ขณะเดียวกันต้นไม้โค้งต้นนั้นพุ่งเข้าหาหวังหลิน
ทันใดนั้นกระบี่ดำกระพริบถี่ ปาดผ่านลำต้นและแบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อต้นไม้ตกลงบนพื้นพลันขดงอและเผยรูปลักษณ์เป็นตะขาบสีน้ำตาล
ตะขาบบิดตัวอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะกลายเป็นก้อนเมฆสีดำ ก้อนเมฆดำนี้ให้ความรู้สึกถึงความตายที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้ ทว่ามันหายวับไปอย่างรวดเร็วขณะที่พึ่งปรากฎตัวขึ้น
หวังหลินคิดขึ้นด้วยสายตาอันภาคภูมิใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกฎเกณฑ์ที่ใช้อสูรวิญญาณในตำแหน่งที่ร่างอสูรสร้างควันสีดำที่ทำให้หวาดกลัวออกมา เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมากกับวิธีเช่นนี้
จึงสามารถบอกได้ว่ากฎเกณ์นี้และอันอื่นก่อนหน้าถูกตั้งขึ้นมาจากคนเดียวกัน เห็นได้ชัดเจนว่าบุคคลผู้นั้นหายากที่จะใช้กฎเกณฑ์ประเภทนี้ มันไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าที่เหลืออยู่แต่กลับแยบยลอย่างมาก หากคนอื่นเดินมาอย่างไม่ระวังแล้วคงหนีพ้นความตายได้ยาก
“จ้าวปิศาจหกปรารถนา!” หวังหลินกระซิบ เขารู้สึกว่าทำไมถึงคุ้นเคยนัก ก่อนหน้านี้ในพื้นที่ว่างเปล่า จ้าวปิศาจหกปรารถนาต้องการจะใช้เขาเป็นเครื่องทดสอบวิชาอันแปลกประหลาด
หวังหลินจดจำสิ่งนี้ได้ในใจ คราแรกจ้าวปิศาจหกปรารถนามีเป้าหมายมาที่หวังหลิน แต่เขาตัดสินใจเก็บหวังหลินไว้หลังจากมองอย่างรวดเร็ว และใช้ชายหนุ่มที่เขาพามาด้วยแทน เขาใช้ร่างชายหนุ่มคนนั้นเป็นวัตถุดิบพิเศษเพื่อร่ายมนต์ เวลานี้ก็เหมือนกัน เพียงแต่เหยื่อคือตะขาบ
ขณะเดียวกันบนหินก้อนหนึ่งบนยอดภูเขาสูงเกือบสองพันจ้าง ทันใดนั้นจ้าวปิศาจหกปรารถนาหันไปรอบๆและจ้องไปที่ภูเขา ดวงตาชายหนุ่มที่ยืนด้านข้างไม่เหม่อลอยอีกต่อไปแต่เต็มไปด้วยสีมองคล้ำลึกๆ
“มารหัวขนตัวไหนทำลายกฎเกณ์ของข้าในห้าปีนี้ได้กัน? กระทั่งทำลายกฎเกณฑ์ที่ข้าตั้งไว้สังหารในก้อนเมฆนั้นด้วย หรือจะเป็นตวนมู่? ไม่สิมันต้องเป็นจักรพรรดิโบราณ เจ้าถุงกระดูกโบราณนั่นต้องเรียนกฎเกณฑ์ที่ผ่านมาพันปีด้วยแน่ มันจะเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบททดสอบที่สามของข้า!” จ้าวปิศาจหกปรารถนากระซิบกับตัวเอง
แววความบ้าคลั่งปรากฎในสายตา ในภูเขาความสูงเกือบสองพันจ้าง มีน้ำวนยักษ์สายหนึ่ง นั่นเป็นทางเข้าของบททดสอบที่สาม
ในเจ็ดปีที่ผ่านมานี้การเดินทางของจ้าวปิศาจหกปรารถนาเริ่มจะราบรื่น แต่ขณะที่เข้าใกล้ยอดภูเขา กฎเกณฑ์ที่รุนแรงและซับซ้อนยิ่งพบเจอมากขึ้น บางกฎเกณฑ์ถึงกับทำให้งงงวยอย่างแท้จริง หนึ่งในกฎเกณฑ์พวกนั้นทำให้จ้าวปิศาจหกปรารถนาติดอยู่กับที่เป็นเวลาห้าปี
เขาหันกลับไปและเคลื่อนที่ขึ้นข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากน้ำวนที่ตีนภูเขา เขากำลังถือแส้และสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าราวกับเทพบุตรที่มีรัศมีอ่อนโยน พลันเดินออกมาด้วยความมั่นใจ
มันคือจักรพรรดิโบราณ
แม้จะดูสงบนิ่งแต่ทว่าคิ้วขมวดเข้าหากัน ในบททสดอบแรก เขาผ่านเข้าไปบททดสอบอัคคีและใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดปีในเส้นทางนั้นกว่าจะผ่านออกมาได้
มีอสูรหลายแบบในบททดสอบอัคคี เขาสังหารพวกมันมาจำนวนนับไม่ถ้วน แม้จะเป็นการทะลวงออกมาในไม่ช้านี้หากเขาใช้พลังทั้งหมด แต่จักรพรรดิโบราณเป็นคนอดทนอย่างมาก เขาค่อนข้างเสียเวลาต่อสู้มากกว่าต้องมาเสี่ยง
ความอดทนที่เขามีแตกต่างอย่างมากกับเมิ่งหลังค่อม จักรพรรดิโบราณได้เตรียมการผ่านบททดสอบเวลานี้มาแล้วอย่างดี แม้เขาจะวิ่งเข้าไปในบททดสอบอัคคีซึ่งโดยเสียเปรียบโดยธรรมชาติแล้ว เขายังแข็งแรงและกรุยเส้นทางแต่ละก้าวด้วยตัวเอง แม้ว่าจะใช้เวลาไปมากทว่าสมบัติของเขาไม่ได้ถูกใช้ออกมาสักชิ้น เพื่อให้ผ่านบททดสอบในอนาคตได้เขายังมีพวกมันอยู่
ถึงกระนั้นบนถนนข้างหน้า ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดเขาได้ แม้จะมีกฎเกณฑ์มายาหลายรูปแบบ ไม่มีสิ่งใดมีผลต่อเขา
หลังจากเข้ามาในบททดสอบที่สอง จักรพรรดิโบราณถอนหายใจยาว ดวงตาจดจ้องไปบนยอดภูเขาขณะที่เผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น ผ่านมาพันปี เขาเตรียมการมาเพื่อวันนี้
หากท่านต้องการเข้าบททดสอบที่สาม ท่านต้องเรียนรู้เรื่องกฎเกณฑ์ นี่เป็นสิ่งที่ต้องมีในใจไว้เสมอ หากไม่ใช่ว่าความเร็วของเขาที่ทำให้ผ่านอุโมงค์ในสามลมหายใจปีนั้น แม้เขาจะสังหารผู้คนทั้งหมดพวกนั้น เขายังคงต้องตาย
เขาไม่ได้เหมือนกับจ้าวปิศาจหกปรารถนา ตวนมู่ หรือเมิ่งหลังค่อม พันปีก่อนเขามีระดับฝึกตนที่ขั้นตัดวิญญาณระดับกลางไปแล้วเรียบร้อยและเป็นหัวหน้าการเดินทางชุดสุดท้าย
ครั้งก่อนนั้นจ้าวปิศาจหกปรารถนาและคนอื่นๆเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาเขา หากไม่ใช่ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากหลบหนี ทั้งสามคนนั้นจะยังมีชีวิตรอดในวันนี้ได้เช่นไร?
ที่ผ่านมาพันปีเขาฟื้นฟูตัวเองในทะเลปิศาจและเริ่มพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านกฎเกณฑ์เพื่อสามารถเข้าบททดสอบได้อีกครั้ง ในพันปีนั้นเขาสามารถฟื้นฟูระดับฝึกตนมาได้ทั้งหมดแต่ไม่อาจก้าวหน้าได้ หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดจึงเชื่อว่าบาดแผลในตอนนั้นส่งผลเสียหายต่อรากฐานของเขา
เว้นแต่ว่าจะใช้สมบัติสวรรค์บางอย่าง หากไม่นั้นระดับฝึกตนของเขาจะติดอยู่ที่เดิมตลอดไป
เป็นผลให้เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อคิดถึงการเข้าไปพื้นที่ของเทพโบราณอีกครั้งเพื่อค้นหาสมบัติที่ไม่เพียงแต่ช่วยเขาฟื้นฟู แต่ยังช่วยเขาก้าวหน้าไปสู่ขั้นเปลี่ยนวิญญาณได้ การกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นเปลี่ยนวิญญาณนั้นทำให้ความลำบากที่เขาเจอกลายเป็นสิ่งมีคุณค่า
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเลิกการฝึกเซียนและพุ่งสมาธิไปที่การค้นคว้ากฎเกณฑ์เท่านั้น ทำแม้กระทั่งเข้าไปที่สำนักหลายแห่งที่มีชื่อเสียงเพื่อเรียนรู้วิชากฎเกณฑ์ของพวกเขา
หลังจากผ่านพันปีของการเรียนรู้ จึงมั่นใจอย่างมากในความสามารถนี้กระทั่งนำความประหลาดใจปนตื่นเต้นมาด้วย พลันสัมผัสกระเป๋าตนเองและยิ้มกว้าง
เขามาถึงกฎเกณฑ์แรกที่ตีนเขาโดยไม่ได้เอ่ยคำใด นี่เป็นกฎเกณฑ์แรกที่เขาทำลายมันด้วยกำลังเมื่อพันปีก่อน หลังจากชำเลืองมองมันหนึ่งคราจึงก้าวขึ้นไปเบื้องหน้า เมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะเสียเวลาแก้ไขกฎเกณฑ์นี้คงดีกว่าที่จะทำลายมันด้วยกำลัง
นอกจากนั้น มันเป็นวิธีการที่เขาผ่านมันในพันปีก่อน เขารำลึกถึงจังหวะที่เข้ามา ต้นหญ้าเปลี่ยนเป็นใบมีดอย่างที่คาดคิด ต้นหญ้ารอบตัวเขาบินสูงขึ้นและบินผ่านหมอกสีแดงที่ปรากฎขึ้นทันใดนั้น จากนั้นมันกลับออกมากลายเป็นสายฝนกระบี่
จักรพรรดิโบราณมีท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกดลงเบื้องหน้า ขณะที่กระบี่เข้าใกล้ร่างกายเขา มันปกคลุมไปในน้ำแข็งและระเบิดทันที
เสียงดังป๊อปเกิดขึ้นต่อต่อเนื่องโดยจักรพรรดิโบราณไม่ช้าลงสักเล็กน้อย เขามาถึงขอบค่ายกลได้อย่างง่ายๆ พลันจดจำได้ถึงตำแหน่งที่แสงสีแดงจะปรากฎขึ้น
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เสาแสงสีแดงปรากฎขึ้นรอบตัว จักรพรรดิโบราณร่ายบทสั้นๆ มือขวากำหมัดและกระแทกลงหนึ่งในแสงสีแดง ขณะเดียวกันแสงนั้นกระจายออกและหายวับไปทันที
เขาไล่ต่อยแสงสีแดงทีละเส้น ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วยามในที่สุดแสงสีแดงทั้งหมดหายไป เขาทำลายกฎเกณฑ์ได้อย่างง่ายๆ
จักรพรรดิโบราณก้าวเดินไปข้างหน้า ดวงตาจดจ้งไปบนกฎเกณฑ์ที่สองซึ่งห่างไปนับสิบฟุต หลังจากผ่านมาได้หนึ่งร้อยก้าวใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ขณะที่เดินออกจากกฎเกณฑ์ หมอกสีดำปรากฎรอบตัวเขาทั้งหมด มันแตกต่างอย่างมากจากแสงสีแดงและเสียงอสูรที่เขาได้ยิน
ไม่นานหลังจากนั้นกระบี่สีดำนับไม่ถ้วนและแสงสีแดงปรากฎขึ้น ทั้งหมดพุ่งมาทางเขา มันเร็วเกินไปจนขณะที่เขาได้ยินเสียงแต่ของพวกนั้นมาถึงตัวเข้าเรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าจักรพรรดิโบราณมืดหม่นทันใด เขาส่งเสียงคำรามและพลังปราณเปล่งออกมาจากเสียงคำรามเปลี่ยนเป็นกำแพงน้ำแข็งหนารอบตัวเขาทันที การโจมตีส่วนใหญ่ปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็ง
จากนั้นเขาก้าวถอยหลังสองสามก้าวทันที กำหมัดมือขวาและชกเข้าหากำแพงน้ำแข็ง กำแพงน้ำแข็งแตกกระจายกลายเป็นเศษนับล้านชิ้น
มือซ้ายส่งพลังปราณออกไปอย่างต่อเนื่องเพื่อจับเศษน้ำแข็งทีละชิ้น น้ำแข็งหลอมละลายกลายเป็นร่างโคลนของจักรพรรดิโบราณพร้อมกับส่งการโจมตีออกไปมากมาย
กฎเกณฑ์นั้นได้รับการโจมตีอันรุนแรงมันจึงแตกสลายอย่างสมบูรณ์
ขณะที่สายหมอกสีดำหายไป ร่างจักรพรรดิโบราณเดินออกมาด้วยใบหน้ามืดหม่น ใบหน้าอันมืดมนซับซ้อนนั้นปลดปล่อยจิตสังหารอันแข็งกล้า “จ้าวปิศาจหกปรารถนา กฎเกณ์นี้ต้องเป็นเจ้าที่วางไว้แน่!”
กฎเกณฑ์ประหลาดที่ปรากฎขึ้นทำให้เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ หากเป็นคนอื่นที่ไม่แข็งแกร่งเช่นเขาในสถานการณ์แบบนั้น หากไม่ตายคงบาดเจ็บสาหัส
เหตุผลที่เขามั่นใจว่าเป็นจ้าวปิศาจหกปรารถนานั่นก็เพราะตวนมู่ไม่มีอารมณ์เรียนรู้วิชากฎเกณ์แน่ๆ ทว่านั่นไม่ได้รวมเจ้าตัวร้ายหวังหลินเข้าไปด้วย ที่เขาเชื่อว่ามันเป็นจ้าวปิศาจหกปรารถนาอย่างแน่นอนก็เพราะลืมเรื่องหวังหลินไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้เขานับว่าเป็นกฎเกณฑ์อันชั่วร้ายจึงช่วยไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ เขาลอบตัดสินใจไว้ว่าไม่ว่ากฎเกณฑ์จะดูธรรมดาเช่นไร เขาจะเหยียบมันอย่างระมัดระวัง
ขณะที่หวังหลินเดินขึ้นไปบนยอดภูเขาอย่างช้าๆ เขาพลันหยุดกึกทันทีและมองกลับไปที่ตีนเขา สังเกตได้ว่ากฎเกณฑ์แรกที่เขาตั้งไว้ถูกทำลายไปแล้ว
หวังหลินรู้สึกไม่ตื่นตระหนกในใจ ขณะที่เขาทำการเดินขึ้นไปบนภูเขาในเจ็ดปีที่ผ่านมานั้น ได้วางกฎเกณฑ์เพื่อหยุดทุกคนด้านหลังไว้นับไม่ถ้วน หากต้องการทะลวงผ่านกฎเกณฑ์ทั้งหมดโดยไม่ตาย อย่างน้อยก็สูญเสียร่างกายกันไปข้าง
หากโชคไม่ดี เขาอาจจะเจอกฎเกณฑ์ใกล้เคียงที่เรียกใช้งานพร้อมกัน กระทั่งคนระดับขั้นตัดวิญญาณ ถนนสายนี้สำหรับพวกเขาคือความตายเท่านั้น
ไม่มีกฎเกณฑ์แข็งแกร่งทรงพลังมากนักด้านหลังหวังหลิน มีเพียงสามหรือสี่ชั้นบนยอดกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วและจ้าวปิศาจหกปรารถนาได้เพิ่มอีกไม่กี่ชั้นกฎเกณฑ์ซ้อนทับกัน หลังจากหวังหลินผ่านทางอย่างระมัดระวังเขาจึงเพิ่มไปอีกไม่กี่ชั้นเข้าด้วย ในตอนสุดท้าย ด้วยความหวังดีเช่นนั้นหวังหลินจึงใช้เวลาสี่สัปดาห์กลับไปและเชื่อมกฎเกณฑ์ทั้งหมดเข้าด้วยกันหากถูกเรียกใช้งาน ผลก็คือมันจะเห็นหายนะย่อมๆ
หวังหลินหัวเราะเยือกเย็น ไม่ว่าคนด้านหลังจะเป็นใคร เขาต้องเดินหน้าต่อไป
ยิ่งหวังหลินเข้าใกล้ยอด ก็ยิ่งเคลื่อนที่ช้าลง หวังหลินใช้พลังงานความคิดอย่างมากมายเพื่อเข้าใจว่ากฎเกณฑ์มีหน้าที่เช่นไร เขาเรียนรู้ทุกๆรายละเอียดของกฎเกณฑ์ก่อนจะพยายามทำลายมัน
ด้วยวิชากฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้น เขาสามารถสร้างวงกลมมายาได้เพียงสิบวง ไม่สามารถสร้างมากกว่าสิบได้ แม้แต่คนที่อยู่ขั้นตัดวิญญาณก็ไม่อาจทำได้มากกว่า
วิชานี้หากเป็นคนอื่นแล้วจะสามารถสร้างได้เพียงสามถึงห้าวงกลมเท่านั้น เหตุผลที่หวังหลินสามารถสร้างได้ถึงสิบก็เพราะสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่
เป็นเพราะการช่วยเหลือจากวิชานี้ทำให้หวังหลินสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดหลังจากถึงจุดที่เขาวาดวงกลมมายาสิบวงได้ในคราเดียว หินหยกที่ใช้บันทึกกฎเกณฑ์ตอนนี้มีจับนวนมากกว่าร้อยก้อน มันเป็นสมบัติของเขาและเป็นหลักฐานการเติบโต
หวังหลินยังแข็งแรงมั่นคงมาก กฎเกณฑ์หลายแห่งทำให้เขาเรียนรู้และวิเคราะห์มันหลายวันหลายคืน และวันหนึ่งในที่สุดเขาก็มีความก้าวหน้าได้
วันเวลาผ่านไปราวกระพริบตา สามปีผ่านไป เส้นผมหวังหลินเปลี่ยนไปเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ดวงตาแหลมคมราวกับแทงลงบนวิญญาณของท่าน หวังหลินไม่เคยคิดว่าจะใช้เวลาสิบปีบนยอดภูเขาลูกเดียว แต่สำหรับเขาแล้วสิบปีนี้ผ่านไปเร็วมาก (tl: เพียงตอนเดียว) เป็นเพราะทุกขณะเขาใช้เวลาไปกับการเรียนรู้กฎเกณฑ์
จากตำแหน่งของเขา หวังหลินอยู่สูงจากระดับภูเขาขึ้นมาสองพันจ้าง ทว่าตั้งแต่หนึ่งพันจ้างจากยอดเขาขึ้นมามีหมอกสีขาวหนาจนไม่อาจมองเห็นยอดได้
หลังจากผ่านมาสามปีหวังหลินไม่มีน้ำพลังปราณหลงเหลืออยู่มากนัก เขาต้องใช้พลังปราณที่เกินมาอย่างคุ้มค่าเพื่อให้ประหยัดเท่าที่เป็นไปได้
การค้นคว้ากฎเกณฑ์จำเป็นต้องใช้พลังความคิดอย่างมาก ขณะที่ใช้พลังความคิดนั้นพลังปราณก็ถูกใช้ไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เส้นผมสีขวของเขาถูกมัดขึ้น พลันนั่งขัดสมาธิบนหน้าผาหนึ่งรายล้อมไปด้วยกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ทั้งหมดนี้ถูกทำลายโดยวงกลมมายาที่เขาสร้างไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่หวังหลินเข้าหายอด ยิ่งมีความเครียดมากขึ้น ฉุดความคิดว่าาคนด้านหน้าเขาผ่านบททดสอบที่สองไปแล้ว แต่หากไม่ได้ผ่านไปเช่นนั้นต้องรออยู่บนยอดแน่ กฎเกณฑ์ด้านบนตำแหน่งที่หวังหลินอยู่มีความแข็งแกร่งที่หากเลือกแบบสุ่ม แม้กระทั่งคนที่มีระดับขั้นตัดวิญญาณจะต้องสู้เพื่อเอาตัวรอดให้ได้
เป็นผลให้หวังหลินไม่อาจคิดฟุ้งซ่านได้ เขาต้องทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการวิเคราะห์กฎเกณฑ์
คนที่ตามหลังหวังหลิน เขารู้สึกถึงกระบวนการของคนผู้นั้นได้ชัดเจนในสามปีที่ผ่านมา ในเริ่มแรกหวังหลินรู้สึกได้ว่าการทำลายกฎเกณฑ์หนึ่งจะมีทุกไม่กี่สัปดาห์ ตอนนี้มันกลายเป็นเดือนก่อนจะทำลายได้สักหนึ่งแห่ง เหตุผลที่ทำไมเขาถึงได้ช้าลงและช้าลงเรื่อยๆไม่เพียงแต่เพราะความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์โดยธรรมชาติ แต่เนื่องจากการเติบโตของหวังหลินด้วยเช่นกัน กฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้ตอนนี้ราวกับฟ้าและดินเมื่อเปรียบกับหวังหลินสิบปีก่อน
หวังหลินระบายลมหายใจอย่างช้าๆ สายตาเลื่อนไปข้างหน้าเช่นเดียวกับที่เขาสามารถตรวจจับความเร็วของคนเบื้องหลังได้ คนด้านหน้าเขาก็รู้ความเร็วของหวังหลินเช่นกัน อาจมีอันตรายซ่อนอยู่ซึ่งรอคอยให้เกิดขึ้น
หวังหลินเผยรอยยิ้มเยือกเย็น เขาสะบัดแขนและวางกฎเกณฑ์หลายตำแหน่ง หวังหลินนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว เขาต้องให้ความสนใจไม่เพียงแต่คนที่อยู่เหนือเขาเท่านั้นแต่ต้องมีคนเบื้องล่างเขาด้วยเช่นกัน หวังหลินวางกฎเกณฑ์รอบๆจุดที่เขาอยู่ทั้งหมดและไม่รีบเร่ง หวังหลินไม่มีความสนใจที่จะวิ่งหนีไปสู่กับดักของศัตรูและตอนนี้ต้องไม่เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงจุดเดียว
หวังหลินกำลังรอให้คนด้านหลังไล่ผ่านเขาให้ทันก่อน คนข้างหลังนั้นต้องมีอย่างน้อยขั้นตัดวิญญาณ สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่หวังหลินหยุดตรงนี้มาเป็นปี เขากำลังนอนลงบนกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนโดยไม่โจมตี แต่ซ่อนพลังชีวิตของตัวเองไว้แทน
หลังจากนอนบนกฎเกณฑ์แห่งนี้ หวังหลินรู้สึกมั่นใจว่าตราบใดที่เขาไม่เคลื่อนไหว คนอื่นยากนักที่จะสังเกตเห็นตัวตนเขาได้
เวลาผ่านไปสองสามวัน หวังหลินรู้สึกว่ากฎเกณฑ์ใกล้ๆนี้ถูกทำลายลง พลันริมฝีปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นขณะที่จ้องกลับไปด้านหลังและดวงตาเปล่งประกาย
ความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิโบราณไม่ลดลงเลยในสามปีนี้ เขารู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นแทนที่จะลดลง ในสามปีไม่เพียงแต่เขาใช้เวลาไปมากในการทำลายกฎเกณฑ์แต่ละแห่ง เขายังต้องระมัดระวังกฎเกณฑ์ที่คนอื่นทิ้งไว้ด้านหลังด้วย สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่มากที่สุดก็คือเมื่อเขาทำลายกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งลงได้ มันจะเกิดกฎเกณฑ์อื่นอีกมากมายจนทำให้เขาเกือบตายไปหลายครั้ง
ตลอดทางเขารู้สึกเศร้าหมองและช่วยไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ บางครั้งเขาไม่สามารถอดทนมันได้และสาปแช่งออกมาเสียงดัง จากมุมมองของเขา คนที่เพิ่มกฎเกณฑ์เข้ามานับว่าโหดร้ายเกินไป
บางครั้งกฎเกณฑ์แห่งหนึ่งดูเหมือนกับไม่มีอะไร แต่เมื่อเขาทำมันแตก รอยแตกนั้นจะไปกระตุ้นกฎเกณฑ์นั้นแทน
นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ที่เขาสามารถเดินผ่านมันไปได้หากไม่ได้ทำลายมัน แต่เมื่อพยายามทำลายมันก็ตามทีมันจะสร้างกฎเกณฑ์ที่วนซ้ำจนไร้ที่สิ้นสุด แต่ละครั้งที่เขารับรู้ถึงอันตรายข้างหน้า เขาจะเดินหน้าต่อไปจนในที่สุดก็ออกจากหุบเหวนรกนี้ได้
เว้นแต่ว่าเขาตัดสินใจยอมแพ้ในครึ่งหลัง เช่นนั้นจะมีเพียงเส้นทางให้เขาปีนขึ้นเท่านั้น
ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ ความโกรธจะเดือดระอุและอยากฉีกร่างคนที่ทำเรื่องนี้ขึ้นมาเสียจริงๆ
บางครั้งเขารู้สึกถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งและใช้เวลานานมากเพื่อสังเกตการณ์แต่กลับไม่สามารถตรวจเจอกฎเกณฑ์อะไรได้ หลังจากใช้พลังปราณออกไปมากมาย เขาจึงนำสมบัติตัวเองออกมาเพื่อทดสอบกฎเกณฑ์โดยเฉพาะแต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีกฎเกณฑ์คงอยู่ ตำแหน่งที่พลังปราณทิ้งไว้ก้เพื่อหลอกล่อเขาเท่านั้น
เรื่องที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดก็คือสถานที่ที่ดูธรรมดา แต่หากมองอย่างละเอียดจะสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังปราณ สิ่งพวกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจเจอเว้นแต่เขาจะใส่ใจพวกมัน
แต่เมื่อใช้พลังปราณมากขึ้นเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ทันใดนั้นกลับพบว่ามันเป็นกฎเกณฑ์หลอกหลวง
ที่ผ่านมาสามปี จักรพรรดิโบราณต้องต่อกรกับกฎเกณฑ์ทั้งจริงและปลอมอยู่เสมอ บางครั้งเขาบังเอิญเปิดกฎเกณฑ์ของจริงจนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่
ในบททดสอบแรก เขาใช้เวลามากขึ้นเพื่อเก็บสมบัติของตัวเองไว้ แต่ตอนนี้เขาใช้มันมากกว่าครึ่งไปแล้ว ทุกชิ้นต่างถูกใช้ปกป้องเขาตอนที่กฎเกณฑ์กระตุ้นออกมา
หัวใจเขาเจ็บปวดรวดร้าวและเต็มไปด้วยความเสียใจ ถ้าเพียงเขาใช้สมบัติพวกนั้นไปในการผ่านบททดสอบแรกให้เร็วขึ้น เช่นนั้นหากเขาเดินอยู่ด้านหน้าชายผู้นี้ เส้นทางเขาจะราบรื่นมากขึ้น
สองปีก่อนตอนที่เขาเห็นกฏเกณฑ์สามรูปแบบแตกต่างกัน จึงตระหนักได้ว่าจ้าวปิศาจหกปรารถนาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้
แต่ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญกฎเกณฑ์ถึงสองคนด้านหน้าเขา คนแรกที่เขาเบื่อหน่ายมากที่สุดคือจ้าวปิศาจหกปรารถนา แต่ตอนนี้มียอดฝีมือลึกลับเพิ่มมาอีกคน
การทำลายกฎเกณฑ์ของคนผู้นี้ได้ทิ้งความกลัวไว้ในใจ ในครั้งแรกกฎเกณฑ์ของเขาไม่ได้ชำนาญและลงรายละเอียดเยอะนัก เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากนัก ทว่าขณะที่เดินทางมาเรื่อยๆทักษะของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด กฎเกณฑ์ของเขาไม่เพียงแต่ต้องมีไหวพริบแต่ยังต้องคิดอย่างซับซ้อน
ครั้งแรกจักรพรรดิโบราณทำลายกฎเกณฑ์ได้ง่ายๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งทำให้เขาใช้เวลาผ่านกฎเกณฑ์มากขึ้น
การคงอยู่ของบุคคลลึกลับคนนั้นเริ่มมีความสำคัญขึ้นในใจเขา จักรพรรดิโบราณรู้สึกได้ว่าอย่างน้อยใจแง่ของความรู้ด้านกฎเกณฑ์นับว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญ เขาสัมผัสได้ว่าแม้คนผู้นี้จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับประสบการณ์นับพันปีของเขาก็ตาม แต่ความฉลาดหลักแหลมของกฎเกณฑ์ที่ทิ้งไว้นั้นทำให้เขาพูดไม่ออก
สิ่งที่ทำให้เขาแทบประหลาดใจก็คือบุคคลลึกลับคนนั้นดูเหมือนจะพึ่งเริ่มเรียนรู้กฎเกณฑ์ ถึงมันยากที่จะเชื่อได้แต่เขามั่นใจเรื่องนี้
ส่วนสำคัญที่สุดของรูปแบบกฎเกณฑ์ก็คือความยุ่งเหยิงและมีขนาดใหญ่ในทีแรก แต่ตอนนี้กฎเกณฑ์ให้เจอนั้นยากมากและกลับถูกปรับปรุงให้เป็นรูปแบบพิเศษของทั้งสองคน
การโจมตีอันรวดเร็วมาก วิธีการโจมตี เงื่อนไขการกระตุ้นและเวลาการตอบสนอง ในใจเขาพลันคิดว่าคนผู้นี้มีความลึกล้ำอย่างมากและกระทั่งตอนนี้สูงกว่าเขา
ในที่สุดเขาทำลายกฎเกณฑ์ที่ใช้แรงกายและความพยายามอย่างมหาศาลพร้อมกับเดินออกมาด้วยใบหน้ามืดหม่น
สายตาจ้องขึ้นไป เขาเดินมาได้สูงสองพันสามร้อยจ้าง หากเป็นเช่นกาลก่อนเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ง่ายๆในพริบตา ลืมไปว่าแม้เขาจะสามารถเหาะเหินได้เขายังต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
เขาจดจำได้ชัดเจนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนตอนที่มีเซียนขั้นตัดวิญญาณผู้หนึ่งแสดงพลังของสมบัติเอกลักษณ์ที่มีความสามารถเคลื่อนย้ายไปรอบๆภูเขาได้ เมื่อร่างเขากำลังหายวับไป แสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาพังทลายและขัดขวางวิชาเคลื่อนย้ายทันที
สมบัติวิเศษถูกใช้ออกมาราวกับของเล่น แต่มันหยุดสายฟ้าไว้ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้นก่อนที่จะโดนสายฟ้าฝ่าลงบนร่างกายผู้ใช้จนไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนเงียบกริบ การเหาะเหินในอากาศจะดึงดูดความสนใจของสายฟ้าม่วง ดังนั้นทุกคนจึงเลือกเดินทางผ่านพิ้นดินแทน
จักรพรรดิโบราณเดินทางต่อไปหนึ่งเดือน ระยะห่างระหว่างเขาและหวังหลินใกล้ขึ้นและใกล้มากขึ้น เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเข้าใกล้จนเห็นเซียนขั้นตัดวิญญาณผู้หนึ่งกำลังทำลายผ่านกฎเกณฑ์มา
วันนี้จักรพรรดิโบราณยืนห่างจากหวังหลินเพียงสิบฟุต สายตาเขาพลันเลื่อนไปที่ตำแหน่งที่หวังหลินนั่งอยู่พร้อมกับสายตาเรืองแสงประหลาด